เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
SUFFERING SHOP ผลิตภัณฑ์ระงับกลุ้มSALMONBOOKS
01 Onlife Sticker






  •            ผมได้ยินทฤษฎีนี้มาจากเพื่อนรุ่นน้อง ระหว่างที่เราสนทนากันในร้านกาแฟของบ่ายวันหนึ่งเธออธิบายถึงสมการง่ายๆ ของคำสองคำที่ผกผันกันนั่นคือคำว่า ‘ออนไลน์’ (online) กับ ‘ออนไลฟ์’ (onlife)
               เธอบอกว่าสองคำนี้เป็นสิ่งที่ไม่เคยไปด้วยกัน และมักจะอยู่ในทิศทางที่ตรงข้ามกันเสมอ
               “ในขณะที่เรากำลังออนไลน์ (online) เท่ากับเรากำลังออฟไลฟ์ (offlife) และถ้าเราอยากออนไลฟ์ (onlife) ขอให้เราจงออฟไลน์ (offline) เราไม่สามารถออนไลน์ (online) พร้อมๆ กับการออนไลฟ์ (onlife) ได้เมื่อสิ่งหนึ่งเปิด อีกสิ่งก็จะปิดลงโดยอัตโนมัติ”
               นี่คือทฤษฎีของเธอ
               ผมรู้จักคำว่า ‘ออนไลน์’ กับ ‘ออฟไลน์’ เป็นอย่างดีโดยไม่ต้องเปิดกูเกิลทรานสเลต หากตั้งแต่เกิดมา ผมไม่เคยได้ยินคำว่า ‘ออนไลฟ์’ กับ ‘ออฟไลฟ์’ มาก่อนเป็นสองคำที่ฟังแล้วค่อนข้างแปร่งหูมาก ผมคาดเดาว่ามันน่าจะเป็นศัพท์ที่เธอประดิษฐ์ขึ้นมาเพื่อใช้รองรับสมการที่เธอสร้างขึ้นเป็นแน่!
               แล้วอะไรคือการเปิดหรือปิดชีวิตในบริบทที่เธอกล่าวไว้ในวันนั้น? เธอกำลังพยายามสร้างทฤษฎีใหม่เพื่อเชื่อมโยงการเล่นออนไลน์กับปรัชญาชีวิตของเธอหรือเปล่า? ความหมายที่แท้จริงของสมการนี้คืออะไร?การที่ผมกดปุ่มเปิดอุปกรณ์สื่อสารเพื่อเชื่อมต่อกับโลกออนไลน์ มีค่าเท่ากับผมกำลังกดปุ่มปิดอะไรสักอย่างของชีวิตเลยเชียวหรือ? แล้วปุ่มเปิด-ปิดที่ว่านี้อยู่ตรงไหนกัน?
               ผมพยายามคิดทบทวนทำความเข้าใจถึงแนวคิดแปลกประหลาดของเธอด้วยการย้อนกลับไปนึกถึงช่วงเวลาที่ผมก้าวเข้าไปอยู่ในโลกออนไลน์ มันอาจจะเป็นเรื่องจริงก็ได้ เพราะบางครั้งผมรู้สึกเหมือนตัวเองวาร์ปเข้าไปมีชีวิตอยู่ในโลกอีกใบ ราวกับตัวผมได้หายไปจากโลกที่อาศัยอยู่ใบนี้จริงๆ!

               ณ ช่วงเวลาใดเวลาหนึ่งที่ผมเข้าไปมีชีวิตอาศัยอยู่ในโลกเสมือนใบนั้น สัมผัสการรับรู้ (awareness) ในโลกใบนี้ของผม ดูเหมือนจะค่อยๆ แผ่วเบาและซีดจางลงไป อารมณ์ความรู้สึกต่างๆ ของผมกำลังดำเนินชีวิตอยู่ในโลกใบนั้น ราวกับว่ามันมีตัวมีตนอยู่!
               และเมื่อผมเชื่อมต่ออยู่ใน ‘โลกใบนั้น’ อย่างลืมเวลาสัมผัสการรับรู้ด้วยประสาทสัมผัสทั้งห้าของผมก็เหมือนหลงลืมหน้าที่ปกติในการสัมผัสรับรู้กับ ‘โลกใบนี้’ ของมันไป คล้ายโลกทั้งใบที่ผมกำลังอาศัยอยู่ถูกกลืนหายไปต่อหน้าต่อตา โลกใบนี้ได้หายไปแล้วจากการรับรู้ของ
               ผมโดยไม่ทันได้สังเกตผมว่าตัวผมเอง (และคนจำนวนมากในโลก) ชอบทำอะไรหลายๆ อย่างพร้อมกัน (multi-tasking) มันคงเป็นเรื่องปกติมากในยุคนี้ที่เราทำกิจกรรมต่างๆ ควบคู่กันไปทั้งสองโลก ในขณะที่เรากำลังดำเนินกิจกรรมบางอย่างในโลกใบนี้ เราทั้งหลายก็จดจ่ออยู่กับกิจกรรมบางอย่าง
    ในโลกเสมือนจริงไปด้วย
               เราข้ามถนนในโลกนี้ ขณะที่เล่นโซเชียลฯ ในโลกนั้น
               เรากินข้าวกับเพื่อนในโลกนี้ ขณะกำลังแชตอยู่กับเพื่อนในโลกนั้น
               เราถ่ายรูปในโลกใบนี้ เพื่อใช้งานในโลกใบนั้น
               ฯลฯ
               ข้อสังเกตที่น่าสนใจของการเหยียบอยู่บนโลกทั้งสองใบในเวลาเดียวกันก็คือ ความรู้สึกของเรามักจะ ‘อิน’ อยู่ในโลกใบนั้นมากกว่า!
               เราถ่ายเทน้ำหนักความสำคัญให้กับการอยู่ใน‘โลกใบนั้น’ มากกว่าการดำรงอยู่ใน ‘โลกใบนี้’ อย่างเห็นได้ชัด
               นี่อาจเป็นสมมติฐานส่วนตัวของผมเองล้วนๆ—จากการแอบสังเกตผู้คนรอบตัว ผมคาดเดา (เอาเอง) ว่าที่เรารู้สึกอินกับโลกใบนั้นมากกว่า อาจเป็นเพราะโลกใบนั้นมีสิ่งเร้าให้ตัวเราต้องแอคทีฟต้องปฏิสัมพันธ์

  •            โต้ตอบอยู่ตลอดเวลา และเมื่อกิจวัตรธรรมดาในโลกใบที่เราแสนจะคุ้นชินไม่มีอะไรน่าตื่นเต้น
    สดใหม่ หรือดึงดูดใจเท่ากับกิจกรรมมากมายที่หลั่งไหลมาให้เราอย่างรวดเร็วและได้ดั่งใจในโลกใบนั้น เราจึงหันเหความสนใจไปกับกิจกรรมในโลกใบนั้นอย่างไม่ทันรู้ตัว
               เราใช้ ‘ความคิด’ เข้าไปสัมผัสแวะเวียนในโลกใบนั้นด้วยความกังวลถึงมันบ่อยๆ อย่างเช่น เรามักกังวลถึงข้อความต่างๆ ที่คั่งค้างรอคอยการตอบกลับของเราอยู่ทำให้รู้สึกไม่สบายใจลึกๆ ที่เหมือนมีใครรอการสื่อสารจากเราอยู่ตลอดเวลา คอยพะวงว่ามีใครกำลังพูดถึงเราบ้างจากสเตตัสที่เพิ่งส่งมันเข้าไปในโลกใบนั้นการที่เรารู้สึกว่ามีสิ่งใหม่ๆ เกิดขึ้นให้อัพเดตทุกนาทีแล้วเราไม่อยากพลาด หรือกระทั่งการตามอ่านคอมเมนต์ที่ยืดยาวเป็นอนันต์ไม่มีวันจบสิ้น ฯลฯ
              เมื่อความคิดของเราจดจ่ออยู่กับ ‘โลกใบนั้น’ เป็นส่วนใหญ่ สัมผัสการรับรู้ที่เชื่อมโยงเรากับโลกใบนี้จึงถูกลดความสำคัญอย่างชัดเจน สัญญาณชีวิตของเราที่เคยเชื่อมต่อกับผู้คนและสิ่งต่างๆ ในโลกใบนี้ จืดชืดแผ่วเบาจนคล้ายไม่มีความหมาย เหมือนเราปิดปุ่มระบบการมีปฏิสัมพันธ์ของเรากับโลกใบนี้ไปโดยปริยาย
              ข้าวผัดกะเพราจานอร่อยในโลกใบนี้ หากเรารับประทานขณะที่กำลังเชื่อมต่อกับโลกใบนั้น อาจกลายเป็นอาหารเม็ดที่ไร้รสชาติ การใช้เวลาอยู่กับคนรักขณะที่กำลังเชื่อมต่อกับโลกใบนั้น อาจทำให้เราลืมสัมผัสความรักที่กำลังส่งให้เราอยู่ในโลกใบนี้ ทั้งที่บางทีสิ่งสำคัญในชีวิตของเรา อาจไม่ได้อยู่ในโลกใบนั้นเลยก็ได้
              เรามักจับความผิดปกติของสัญญาณอินเทอร์เน็ตได้อย่างรวดเร็วว่ายังใช้งานดีอยู่หรือเปล่า แต่กลับหลงลืมจับสัญญาณชีวิตที่กำลังทำงานติดๆ ดับๆ รอการกลับมาเชื่อมต่อของเรา
              เราเชื่อมต่อกับโลกออนไลน์จนอาจหลงลืมออนไลฟ์ในโลกที่ดำเนินชีวิตอยู่จริงๆ สัมผัสกับมันได้จริงๆ
              เราอาจลืมไปว่า เราจะรู้สึก ‘มีชีวิต’ (alive) เพราะเราได้ ‘อยู่กับชีวิต’ (consciousness) ได้อยู่กับโลกใบนี้ที่สัมผัสและรับรู้ได้จริง โลกที่มีมิติทางกายภาพรองรับประสาทการรับรู้ทั้งห้าได้กลับมาใช้
    ฟังก์ชั่นของมนุษย์ในการรู้สึกสัมผัส มองเห็น รับรู้ และดมกลิ่น ได้รู้สึกกับชีวิต ได้เชื่อมตัวเรากับสิ่งต่างๆในโลก
              ชีวิต (ชีวา) ของเราจึงเกิดขึ้น!
              เรารับรู้ได้ว่า ‘เรามีชีวิตอยู่จริงๆ’ เพราะได้เชื่อมโยงชีวิตกับสิ่งอื่นๆ ในดาวเคราะห์ดวงนี้ การปฏิสัมพันธ์ต่างๆ ระหว่างเรากับสิ่งต่างๆ ในโลกย่อมเป็นตัวสะท้อน‘การมีอยู่ของเรา’ ได้จริง เมื่อเราสัมผัสกับชีวิตของเราเมื่อเราไม่ได้หลงลืมชีวิต ไม่ได้จมจ่อมอยู่แต่ในโลกแห่งความคิดที่วนเวียนอยู่ในโลกเสมือนจริงใบนั้น เมื่อกลับมารู้สึกถึงชีวิตเราในตอนนี้ (nowness) ได้ นั่นอาจทำให้ชีวิต (ชีวา) ของเราที่เคยเบื่อหน่ายชืดชากลับมาสดใสได้อีกครั้ง
              จริงอยู่ที่โลกใบนั้นก็ทำให้เรามีชีวิต (ชีวา) ได้ไม่แพ้กัน และก็มีอะไรหลายอย่างน่าสนใจมากมาย แต่การที่เราเพลิดเพลินกับการมีปฏิสัมพันธ์กับสิ่งต่างๆ ในโลกใบนั้น บันเทิงอยู่กับข้อมูลมหาศาลที่ผ่านเข้าผ่านออกสมองของเราเป็นว่าเล่น สนใจอยู่กับรสชาติของความคิดเห็น (และรสชาติของการเปรียบเทียบ) มากเกินไปอาจทำให้เราสนุกอยู่กับการให้โลกชื่นชมเรา จนเราอาจลืมชื่นชมโลก และคงน่าเสียดาย ถ้าเราจะสูญเสียรสชาติของชีวิตไปเพราะไม่ได้กลับมาอยู่ในโลกใบนี้บ้าง
        
               เมื่อโลกเสมือนจริงถูกเปิด (online) โลกจริงๆที่ผมกำลังอาศัยอยู่ก็ถูกปิดลง (offlife)
               นั่นหรือเปล่าคือสิ่งที่เธอกำลังหมายความ

  • / Product

    Onlife Sticker

    สติกเกอร์เพิ่มสัญญาณชีวิต


              Onlife Sticker คืออุปกรณ์ที่จะช่วยเพิ่มระดับสัญญาณชีวิตของท่านให้ชัดเจนมากยิ่งขึ้น เพียงนำสติกเกอร์ออนไลฟ์ไปแปะไว้กับแอพพลิเคชั่นต่างๆที่พาท่านเข้าสู่โลกออนไลน์ สติกเกอร์จะเป็นตัวกลางในการกางกั้นระหว่างตัวท่านกับโลกเสมือนที่ท่านมักเดินเข้าไปอยู่ในนั้นทุกวัน
              แผ่นสติกเกอร์ทำจากเนื้อกระดาษที่มีความหนา 0.5 มิลลิเมตร ซึ่งหนามากพอที่จะปิดกั้นการเข้าสังคมของท่านได้อย่างสบาย นอกจากท่านจะไม่สามารถ Access เข้าไปในสังคมโลกเสมือนใบนั้นได้โดยง่าย (หากไม่ลอกสติกเกอร์ออก) ฟังก์ชั่นพิเศษของสติกเกอร์จะช่วย‘ปิดบัง’ ตัวเลข Notifications ต่างๆ ให้หายไป ทำให้ท่านไม่รู้เลยว่ามีข้อความอะไรรอท่านอยู่บ้าง? เป็นจำนวนกี่ข้อความ? เพราะความรู้สึกพะวง ‘เหมือนมีอะไรรออยู่’ ตลอดเวลา อาจทำให้ท่านรู้สึกไม่เป็นอิสระและไม่สามารถตัดขาดจากสิ่งเหล่านี้ไปสู่ชีวิตปกติทั่วไปได้ แต่ด้วยฟังก์ชั่นพิเศษนี้ จะทำให้ท่านรู้สึกเบาสบายใจได้มากยิ่งขึ้น
              เมื่อท่านไม่สามารถเข้าสู่โลกออนไลน์ได้ ท่านจะมีเวลาเหลือเฟือในการกลับมาสัมผัสกับโลกจริงๆ ที่ท่านอยู่อาศัยอีกครั้ง









เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in