เรื่องนี้เกิดขึ้นเมื่อช่วงเดือนมกราคม ปี 2015 ค่ะ ก็ผ่านมาหนึ่งปีนิด ๆ แล้ว เราได้มีโอกาสไปเรียนภาษาที่กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ เป็นระยะเวลาสั้น ๆ หนึ่งเดือน ซึ่งนับว่าเป็นหนึ่งเดือนที่มีค่าที่สุดในชีวิตของเราตอนนี้เลย อาจเพราะตัวเราเองใฝ่ฝันอยากไปประเทศนี้มาตั้งแต่เด็ก ๆ เพราะซีรี่ส์ ภาพยนตร์ หรือวรรณกรรมของประเทศนี้ทำให้เราอยากไปเยือนประเทศนี้สักครั้ง อาจจะแค่วันหรือสองวัน แต่โชคดีที่โอกาสครั้งนี้ทำให้เราได้ "ใช้ชีวิต" อย่างคนลอนดอนไปหนึ่งเดือนเต็ม ๆ เลย
มีขั้นตอนมากมายที่เราต้องทำก่อนการเดินทางไปลอนดอนค่ะ ซึ่งสำหรับเราที่ไปกันเป็นหมู่คณะก็แบ่งออกเป็นสองเรื่องใหญ่ ๆ 1. เอกสาร 2. ทีม ค่ะ เอกสารที่ว่าคือเอกสารจำเป็นต่าง ๆ ที่เราต้องทำเรื่องยื่นเพื่อขอวีซ่าเข้าประเทศอังกฤษ ในส่วนนี้เอเจนซี่ของเราเป็นคนจัดการให้ค่ะ ส่วนเรื่องทีมที่ว่า คือกลุ่มเพื่อนของเราที่จะต้องเดินทางด้วยกันตลอดระยะเวลาหนึ่งเดือน
หลายคนอาจสงสัยว่าการไปอยู่แบบนั้นเพราะไปอยู่อย่างไร เราจะแบ่งกันเป็นคู่ ๆ อยู่กับโฮสต์แฟมิลี่ที่ทางโรงเรียนภาษาของลอนดอนจัดให้ค่ะ ซึ่งรายละเอียดนี้จะกล่าวในบทต่อ ๆ ไป เอาเป็นว่าไม่ได้ไปอยู่กันโดดเดี่ยวลำพังค่ะ แต่จะได้ใช้ชีวิตแบบเขาตั้งแต่ตื่นนอนยันเข้านอนเลยค่ะ
เราเดินทางกลางเดือนมกราคม ปี 2015 ซึ่งเป็นช่วงฤดูหนาวของประเทศอังกฤษค่ะ ทุกคนได้รับคำสั่งให้เตรียมเสื้อโค้ตไปด้วย (แต่ไม่ต้องเอาไปเยอะมาก) เพราะแต่ละคนก็เจอความหนาวมาไม่เท่ากัน พอตรวจสอบอุณหภูมิแล้วก็เล่นเอาเหงื่อตก เพราะอยู่เลขหลักเดียวตลอด ได้แต่ภาวนากันว่าวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่ที่ทุกคนโดนบังคับให้ไปฉีดจะออกฤทธิ์ได้ดีตลอดเวลาที่อยู่ที่นั่น
คณะเดินทางของเรามีนักศึกษาตาดำ ๆ กัน 24 คน อาจารย์ 1 คน และพี่ ๆ จากเอเจนซี่ 2 คน เดินทางโดยสายการบิน Air India ที่ต้องเปลี่ยนเครื่องที่กรุงเดลี ประเทศอินเดีย และใช้เวลาเดินทางประมาณ 14 ชั่วโมง (เอาจริง ๆ ก็จำไม่ได้แม่นหรอกค่ะ มันก็ผ่านมาเป็นปีแล้วเนอะ 555)
ทว่าแท้จริงแล้วเราใช้เวลามากกว่านั้นไปโขเลยค่ะ ด้วยสาเหตุสำคัญคือ... เครื่องดีเลย์
ปัญหาเครื่องดีเลย์เริ่มขึ้นตั้งแต่ยังไม่ก้าวออกจากสุวรรณภูมิเลยค่ะ... ดีเลย์ไปสามชั่วโมง ทำให้กว่าจะไปถึงกรุงนิวเดลี เครื่องที่เราต้องนั่งก็ได้ล่วงหน้าไปก่อนแล้วเรียบร้อย...
ณ จุด ๆ นั้นไม่รู้จะหงุดหงิดดีไหมค่ะ คือเราดีดมาก... ตอนนั้นมัวแต่ดีใจว่าได้มาเหยียบแผ่นดินอินเดียด้วย (แม้จะแค่ในสนามบิน) ความโชคดีคือถึงแม้เราจะโดนเครื่องบินเท แต่สายการบินมีโรงแรมให้บริการ นอนฟรี อาหารฟรี เพราะเป็นความเสียหายที่เขาต้องรับผิดชอบค่ะ
/me จุดพลุ
สรุปว่าอาหารมื้อแรกในต่างประเทศก็เป็นอาหารอินเดีย ซึ่งเราชอบ ฮือ ขณะที่คนอื่นบอกว่าเครื่องเทศมันจัดไป เราก็ชอบมากค่ะ เป็นคนอยู่ง่ายกินง่าย
โรงแรมที่พักอยู่ในสนามบิน หน้าตาดูดีมาก และที่สำคัญ มันกลายเป็นสถานที่สุดท้ายที่มีสายชำระ... หลังจากนั้นเราก็จะไม่เจอสิ่งนี้อีกเลยตลอดหนึ่งเดือน...
มาถึงอินเดียแล้วก็อดพูดถึงสนามบินบ้านเขาไม่ได้ค่ะ สนามบินนานาชาติอินทิรา คานธี ณ กรุงนิวเดลี ประเทศอินเดีย ใหญ่โตและกว้างขวางพอสมควร (อย่าเทียบกับสุวรรณภูมิค่ะ อันนั้นก็ไม่รู้จะใหญ่ไปทำไมนักหนา) ห้องน้ำห้องท่าสะอาดดีค่ะ สิ่งที่ประหลาดอยู่สักหน่อยสำหรับเราคือตอนตรวจร่างกายนี่แหละค่ะ เขาแบ่งแถวเป็นสองแถว ชาย กับหญิง ผลคือ... ประชากรหญิงอันล้นหลามต้องยืนต่อกันเข้าไปถึงแม้จะต้องรอนานแค่ไหนก็บ่นไม่ได้ค่ะ และถึงแม้แถวผู้ชายจะไม่เหลือใครแล้วเราก็ไปตัดแถวต่อทางนั้นไม่ได้อีกเช่นกัน แบ่งอย่างชัดเจน ผู้หญิงเวลาแสกนร่างกายก็ต้องมีม่านกั้น ค่อนข้างยุ่งยากวุ่นวาย แต่คิดว่าน่าจะเป็นเพราะหลักความเชื่อและศาสนาของเขาด้วยค่ะ
ข้อดีของที่นี่นอกจากโรงแรมดีแล้ว คือดิวตี้ฟรีที่นี่ของถูกกว่าอังกฤษค่ะ ถึงขั้นมีป้ายโฆษณาเลยว่า ซื้อที่นี่ถูกกว่าอังกฤษกี่ปอนด์ กี่เพนนี สินค้าหลายอย่างขายแทบจะเหมือนอังกฤษเลย บุหรี่ เหล้า ซื้อที่นี่ถูกกว่า หนังสือก็ถูกกว่าค่ะ (เราซื้อ Looing for Alaska ของ John Green จากที่นี่ แต่ปัจจุบันก็ยังอ่านไม่จบสักทีค่ะ 555) ร้านอาหารก็มีมากหน้าหลายตา แม้ภาษาอังกฤษของคนที่นี่จะฟังยากไป(ไม่)สักหน่อยก็ตามค่ะ
เราผ่านพ้นคืนนั้นมาอย่างสุขสันต์ โรงแรมสะอาด ห้องน้ำดี เตียงนุ่ม มี free wi-fi พอเช้าวันต่อมาเราก็ออกเดินทางจากกรุงนิวเดลีมุ่งหน้าสู่กรุงลอนดอนด้วยความตื่นเต้นค่ะ
หนึ่งเดือนหลังจากนี้จะเป็นยังไงนะ...
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in