ความซวยของคนดูทั่วไปอาจเพิ่มดีกรีขึ้นไปอีก หากเป็นกรณีนักเรียนกลุ่มใหญ่สองโรงเรียนมาเจอกัน ตอนประจันหน้ากันหน้าโรงก็เขม่นกันไปทีนึงแล้ว แต่พอเข้าโรงแล้วจะลุกขึ้นมาต่อยตีกันมันก็ดูฮาร์ดคอร์เกินไป เด็กพวกนี้เลยสู้กันด้วยสงครามจิตวิทยาแทน เช่น แข่งกันหัวเราะดังๆ ใครดังกว่าชนะ หรือแข่งหัวเราะล่วงหน้า ประมาณว่าตัวละครยังพูดมุกไม่จบ แต่กูอ่านซับไตเติลเสร็จก่อนใคร พวกกูชิงฮาก่อนเลย เป็นไงล่ะ กูไวกว่ามึง (ส่วนคนดูคนอื่นๆ นี่ฮาแน่นอน)
ครั้งหนึ่ง ผมก็เคยเป็นมนุษย์ประเภทที่แห่ไปดูหนังกับกลุ่มเพื่อนเหมือนกัน (เด็กชายคันฉัตรก็มีชีวิตวัยเด็กที่ปกติกับเขาอยู่บ้าง) แต่พบว่าปัญหาคือ เราต้องดูหนังตามมติของเสียงส่วนใหญ่ เช่น ตอนนั้น The Lord of the Rings มาแรงมาก เพื่อนๆ พูดถึง โฟรโด้ เลโกลัส แกนดัลฟ์ ภาษาเอลฟ์ห่าเหวอะไรของมันไม่รู้ แถมพากันไปดูตั้งแต่วันแรกที่หนังเข้าโรง ผมก็ตามไปกับเขาด้วย ผลคือ...กูหลับทั้งเรื่อง
หรือครั้งหนึ่งที่ยกพวกกันไปมาบุญครอง ผมอยากดู Erin Brockovich เพราะจูเลีย โรเบิร์ตส์ ได้รางวัลออสการ์จากหนังเรื่องนี้ แต่พวกเพื่อนก็ทำหน้ายี้ว่าทำไมกูต้องดูอีป้านี่ด้วย ดูเรื่อง Gladiator ดีกว่า ผมก็ยี้บ้างว่า โอ๊ย จะดูทำไมหนังผู้ชายกล้ามๆ สู้กัน แค่คิดก็เหม็นเหงื่อแล้ว เถียงกันอยู่นานสรุปไปลงเอยที่ทางเลือกที่สาม นั่นคือ Komodo โคตรเหี้ยมดึกดำบรรพ์ล้างโลก หนังเกี่ยวกับตะกวดยักษ์แดกมนุษย์ (อืม...)
ช่วงนั้นเองที่ผมเริ่มตระหนักได้ว่าผมไม่เหมาะกับการดูหนังเป็นหมู่คณะ ไอ้ครั้นจะดูคนเดียวที่มาบุญครองก็ไม่ได้อีก เพราะเวลาไปเจอกันที่โรงหนัง ถ้าเพื่อนเห็นผมเดินคนเดียว เพื่อนก็จะถามว่า “มาดูคนเดียวเหรอ” ด้วยน้ำเสียงเหมือนเราไปฆ่าใครตายมา ซึ่งมึงก็เห็นกูยืนอยู่คนเดียวใช่มั้ยล่ะ หรือกูมีวิญญาณตามมาด้วย แล้วพอตอบไปว่า “อื้อ มาคนเดียว” เพื่อนจะถามด้วยสีหน้าตกใจว่า “อ้าว ทำไมมาคนเดียวล่ะ!” เอ้า แล้วกูมาคนเดียวไม่ได้เหรอไงวะ บางทีก็อยากจะตอบไปเลยว่า “ก็เพราะกูรำคาญพวกมึงไง!” แต่ก็กลัวจะหักหาญน้ำใจกันเกินไป
ด้วยเหตุนี้เอง ผมเลยตัดสินใจหนีจากมาบุญครองไปดูที่แกรนด์อีจีวี ซึ่งมีบรรยากาศเงียบสงบกว่า อาจจะด้วยลุคของห้างฯ ที่ดูหรู ราคาตั๋วที่ค่อนข้างสูงทำให้ไม่ค่อยมีเด็กมัธยมเท่าไหร่ (หรือถ้ามีก็พวกโรงเรียนคุณหนู) ส่วนใหญ่จะเป็นเด็กมหา’ลัย ไม่ก็วัยทำงาน ผมจำได้ว่ายุคนั้น แกรนด์อีจีวีแทบจะเป็นโรงแรกๆ ในกรุงเทพฯที่ราคาตั๋วหนังพุ่งไปถึง 120-140 บาท ซึ่งตัวผมเองก็ยอมจ่ายเพื่อจะได้หลบลี้หนีหน้าจากเพื่อนๆ และไม่ต้องคอยตอบคำถามว่าทำไมถึงมาดูหนังคนเดียว
โรงหนังแกรนด์อีจีวียังมีนวัตกรรมช็อคโลกอย่างเก้าอี้คู่ฮันนีมูนซีตราคา 600 บาท (เฉลี่ยแล้วก็คนละ 300 บาท) ซึ่งตอนนั้นเป็นอะไรที่ฮือฮามาก ชนิดที่ว่าทางโรงหนังเอาเก้าอี้ตัวอย่างมาตั้งโชว์หน้าโรง เผื่อคนผ่านไปผ่านมา จะเกิดความรู้สึกอยากลองนั่งสักครั้งหนึ่งในชีวิต
เด็กมัธยมก็ได้แต่มองด้วยสายตาปลงๆ ว่าชาตินี้เราไม่มีทางได้นั่งหรอก ส่วนตัวผม เห็นครั้งแรกก็รู้สึกว่านี่มันเก้าอี้นวดไฟฟ้าชัดๆ และงงว่าทำไมคนเราจะต้องจ่ายแพงขนาดนั้นเพื่อเก้าอี้นั่งดูหนังด้วยฟะ (แต่ใครจะไปนึกว่า วันหนึ่งเราจะมีเก้าอี้โรงหนังที่ราคาทะลุไปถึงพันกว่าบาทอย่างทุกวันนี้)
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in