ทำไมต้อง
ไม่รู้สิ ถ้าสี่ปีก็สี่ปี ห้าปีก็ห้าปี แต่
อาจจะสี่หรือห้าปีมั้ง ไม่รู้สิ... เลื่อนลอยอย่างบอกไม่ถูก
แสงอาทิตย์ถูกเมฆก้อนหนาบดบัง ลมยังคงขยันพัดไม่หยุดหย่อน เส้นผมเธอปลิวไสว จินตนาการว่าคงพัดเอากลิ่นหอมจากเส้นผมลอยมาเข้าจมูก แต่ความจริงกลับเรียบง่าย ผมไม่ได้กลิ่น ไม่ได้โรแมนติกอะไรเช่นนั้น
“เธอเคยบอกไม่ใช่หรือว่าไม่ชอบคำว่าไม่รู้สิน่ะ” แล้วผมก็พูดออกไป เธอชะลอฝีเท้า หันมองมา
“ก็เหมือนที่เธอชอบบ่น เวลาถามใครว่าทำอะไรอยู่ แล้วคนนั้นตอบกลับมาก่อนว่า เปล่า แล้วค่อยบอกว่าทำอะไรอยู่นั่นไง เธอก็ว่ามันสิ้นเปลืองถ้อยคำไม่ใช่หรือ” ผมอธิบาย
“ก็ถูก มันสิ้นเปลืองจริงๆ” เสียงเธอเบา เบาพอๆ กับเสียงลม
ผมถามเธอต่อว่าเหตุใดต้องอยู่ยาวนานเป็นปีด้วย เธอไม่ได้ให้เหตุผล เพียงแต่บอกว่านี่เป็นสิ่งจำเป็นในชีวิต เป็นประเพณีของครอบครัว บางครอบครัวอาจให้ความสำคัญกับการกินข้าวร่วมกันในเย็นวันอาทิตย์ บางครอบครัวอาจเป็นการไปเที่ยวต่างประเทศด้วยกันปีละครั้ง หรือบางครอบครัวอาจเป็นความเคร่งครัดต่อพิธีไหว้บรรพบุรุษ แต่กับครอบครัวของเธอ คือสิ่งที่กำลังจะทำอยู่ตอนนี้
แม้ไม่ได้มีอะไรเป็นพิเศษและวาดฝันถึงอนาคต แต่เราก็รักกันดี มอบพื้นที่ส่วนตัวให้แก่กันอย่างพอเพียง พื้นที่ส่วนรวมก็ราบรื่น และตลอดมาเราแทบไม่เคยทะเลาะ หากก่อนหน้านี้หนึ่งสัปดาห์ เธอโทร.มาหาแล้วบอกว่าถึงเวลาที่เธอต้องไปแล้ว และเมื่อถึงเวลาเธอจะกลับมา
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in