เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
My Storycjitkup
ม.ปลาย
  • คงเป็นความตลกของชีวิตที่คิดอะไรบ้าๆบอๆในตอนนั้น ถ้าคุณยังจำเรื่องราวที่ฉันเล่าให้พวกคุณรับรู้ไปในตอนแรกได้ล่ะก็นะ ฉันกับเขาได้แยกทางกันในที่สุด การที่เขาจะไปอยู่ต่างโรงเรียนยิ่งทำให้ฉันต้องหาวิธีปรับตัวให้ได้ และสิ่งที่ฉันเลือกทำในตอนนั้นก็คือ หาคนที่ฉันจะแอบชอบใหม่ ฉันคิดว่าฉันอาจจะเสพติดกับการชอบใครสักคนในรั้วโรงเรียน มันเหมือนเป็นแรงผลักดันให้ฉันอยากเรียนที่นี่ต่อ จะว่าฉันเป็นพวกบ้าผู้ชายก็ยังได้ และต่อไปนี้คือนิยายน้ำเน่าที่มันเคยเกิดขึ้นจริงกับชีวิตของฉัน

    ตอนนั้นฉันอยู่ม.สาม มันเป็นเทอมสองแล้วใกล้จะปิดเทอม ฉันกำลังคิดว่าฉันจะทำยังไงดีนะ ให้ฉันลืมเขาไปให้ได้ ฉันเดินอยู่แค่คนเดียว และฉันก็กำลังคิดอยู่ว่าฉันต้องหาใครสักคนมาแทนที่เขาให้ได้ และฉันก็เงยหน้าขึ้นมาเจอเด็กผู้ชายคนหนึ่ง เขาหน้าตาดีเลยทีเดียวล่ะ ฉันก็อะ ล็อกเป้า ฉันเลือกคนนี้แหละ ตั้งแต่ที่ฉันเจอฉันก็รู้สึกเหมือนจะลืมไปเลยว่าฉันกำลังเศร้ากับเด็กผู้ชายอีกคนที่กำลังย้ายออกจากโรงเรียนนี้ไป

    ฉันอยู่ม.สาม น้องเขาอยู่ม.หนึ่ง พวกเราอายุห่างกันอยู่สองปี ฉันขึ้นม.สี่ น้องขึ้นม.สอง และฉันก็ได้เริ่มรู้จักน้องเขาตั้งแต่ตอนนั้น รู้จักในความหมายของฉันก็คงเป็นรู้แค่ว่าน้องอยู่ห้องไหน และน้องชื่ออะไร ฉันยังคงไม่กล้าพอที่จะเริ่มกับอะไรพวกนั้น น้องเขาอยู่สีเหลือง และส่วนฉันก็เปลี่ยนมาอยู่สีเขียวตอน ขึ้นม.ปลาย 

    โรงเรียนของฉันในช่วงเช้าวันจันทร์จะมีการเข้าแถวตามแต่ละสี มันคงเป็นความพอดิบพอดีที่สีเหลืองกับสีเขียวมันอยู่คนละฟากกัน มันแบ่งโซนเป็นฝั่งหน้าและฝั่งหลัง ฉันอยู่ข้างหน้า ส่วนน้องอยู่ข้างหลัง สีของแต่ละห้องจะถูกกำหนดให้อยู่แบบนั้นตลอดสามปีไม่มีเปลี่ยน มันเป็นข้อบังคับที่ถูกกำหนดไว้ เด็กผู้ชายจะถูกจับให้ยืนอยู่ข้างหน้าสุด และเด็กผู้หญิงจะถูกจัดให้อยู่ข้างหลังสุดแบบเรียงตามลำดับไหล่ และด้วยความโชคดีของฉันที่เป็นคนที่สูงในกลุ่มของเด็กผู้หญิง เลยทำให้ฉันยืนอยู่ข้างหลังสุดและสามารถส่องเด็กผู้ชายอีกฟากได้อย่างสบายๆ และทำให้ฉันได้มองเห็นน้องคนนั้นอย่างชัดเจน (โรคจิตเป็นบ้า)

    ฉันแอบมองเด็กคนนั้นอยู่ปีกว่าๆ จนกระทั่งฉันขึ้นม.ห้า ส่วนน้องขึ้นม.สาม น้องเขาลงแข่งปิงปองให้กับสี ส่วนฉันก็เลือกลงแข่งปิงปองเหมือนกันแต่เป็นคนละรุ่นกับเขา และเราก็เริ่มได้รู้จักกัน เรามักจะได้เจอกันก็ตอนที่มีแข็งกีฬาในช่วงเย็นๆ ฉันชอบมานั่งเล่นอยู่แถวสนามบาสอยู่กับพวกเพื่อนผู้ชาย อันที่จริงฉันก็ลืมไปแล้วล่ะว่าฉันเป็นคนแอดเฟสบุ๊กของน้องเขาไปใช่ไหม แต่น่าจะใช่แหละ เราได้คุยกันเพิ่มขึ้นผ่านทางแชทนั้น

    พวกเราชอบคุยกันตอนช่วงเย็นหลังเลิกเรียนผ่านแชท เราคุยกันเรื่อยๆ (แต่อันที่จริงฉันก็คงเป็นฝ่ายชวนคุยซะมากกว่ามั้ง) ฉันไม่รู้ว่าฉันไปทำตัวเยอะแยะขนาดไหน จนทำให้วันหนึ่งฉันโดนเด็กคนนั้นทักขึ้นมาว่า 'พี่ชอบผมหรอ' ตอนนั้นฉันก็ฉุกคิดขึ้นมาแล้วล่ะว่า ถ้าฉันไม่สารภาพ ฉันก็คงกลับไปเป็นเหมือนเดิมกับในตอนแรกที่เคยเจอมาก่อนหน้า ฉันก็เลยตอบไปว่า พี่ชอบเราตั้งแต่ม.หนึ่งแล้ว น้องเขาก็โอเครับรู้และก็ยังคุยกันเหมือนเดิม

    หลังจากที่ฉันได้บอกความในใจกับเด็กคนนั้นไปก็เหมือนอะไรหลายๆอย่างเริ่มเปลี่ยนทีละนิด ตอนนั้นมันใกล้ช่วงสอบพอดี เราก็สนิทกันระดับหนึ่งถึงขั้นที่ให้เบอร์โทรศัพท์กันได้แล้วล่ะนะ น้องเขาก็โทรมาหาฉันตอนเย็นแล้วบอกว่า มาติวสอบให้ผมหน่อยดิ ฉันก็แบบ..โอเค จะไปหาที่บ้านก็แล้วกัน

    บ้านของน้องเขาอยู่หลังโรงเรียน เป็นร้านอาหารตามสั่ง ตอนฉันเข้าไปที่บ้านก็เจอป๊า อาม่าแล้วก็อากง อาม่าน่ารักมากๆ ตะโกนเรียกน้องเขาออกมาเพื่อมาหาฉัน น้องมันตั้งโต๊ะอยู่ตรงหน้าบ้านเพื่อที่จะให้ติวข้อสอบ ฉันบอกว่าฉันคงสอนให้ได้แค่วิชาคณิตศาสตร์ เพราะฉันเรียนศิลป์คำนวณ น้องมันก็ไม่ว่าอะไร ตอนแรกฉันก็ไม่ได้เอะใจอะไรนักหรอก แต่ว่าพอน้องออกมาจากบ้านแต่งตัวซะหล่อแถมกลิ่นน้ำหอมก็อย่างฟุ้ง ฉันไม่ได้สนใจอะไรเลยจนกระทั่งไปถามเพื่อนว่า แค่ฉันไปติวสอบให้น้อง จำเป็นต้องฉีดน้ำหอมแรงขนาดนั้นเลยหรอวะ?

    อะ ฉันลืมเล่าไปว่าน้องเขาก็หน้าตาดีในระดับหนึ่ง แถมยังคนรู้จักเยอะอีกต่างหาก ส่วนฉันก็ยังคงเป็นเด็กผู้หญิงโนเนมที่ยังคงชอบเล่นปิงปองและสิงอยู่ที่สนามกับพวกเด็กผู้ชายในห้องอยู่เหมือนเดิม

    หลังจากครั้งแรกที่ไปที่บ้าน ก็เลยทำให้มีครั้งที่สองครั้งที่สามอีกเรื่อยๆ อาม่าแกบอกว่าชอบฉันมากทำให้หลานชายของเขาตั้งใจเรียนขึ้น ฉันก็ดีใจที่ได้ยินแบบนั้นนะ พวกเรายังคงคุยกันอยู่เรื่อยๆจนน้องใกล้จะจบม.สาม น้องเขาก็ไม่ได้เป็นเด็กเก่งอะไรมาก ตอนแรกจะไม่ยอมเรียนต่อม.ปลายที่นี่ แต่ฉันก็คะยันคะยอบอกเรียนต่อที่นี่ไม่ได้หรอ (ลึกๆแล้วก็กลัวว่าจะเป็นแบบคร้้งก่อนอยู่เหมือนกัน) จนสุดท้ายแล้วน้องก็สอบติดสายศิลป์-ญี่ปุ่นและเรียนต่อม.สี่ต่อ

    ความสัมพันธ์ของพวกเราเริ่มเปลี่ยนไปตอนช่วงปิดเทอมที่น้องจะขึ้นม.สี่ และฉันจะขึ้นม.หก พวกเราคุยกันเยอะขึ้นมากกว่าเดิม และฉันก็ชอบไปหาน้องเขาที่บ้านบ่อยๆ (แรดจริงๆ) ฉันชอบอ้างว่าอยากกินกับข้าวที่บ้านน้องเขา แต่จริงๆก็นะ เพราะฉันอยากเจอก็เลยไปหา

    มีอยู่วันหนึ่งช่วงเย็นหลังเลิกเรียน ฉันก็ไปหาน้องเขาที่บ้าน น้องมันก็นั่งเล่นคอมอยู่แล้วอยู่ดีๆเรียกฉันไปนั่งอยู่ข้างๆละดึงมือฉันไปจับ แล้วถอดแหวนหยกตรงนิ้วโป้งละมาใส่ตรงนิ้วนางข้างขวาของฉันแล้วพูดว่า 'ใส่ได้พอดีเลย'  ให้ตายเถอะพระเจ้าตอนนั้นฉันใจสั่นยิ่งกว่าอะไร แต่น้องมันก็บอกว่า ผมไม่ให้แหวนวงนี้หรอกนะ แต่เดี๋ยวจะพาไปซื้อแหวนด้วยกันที่ถนนคนเดิน

    ความรู้สึกของเรามันเริ่มคลุมเครือจนทำให้ฉันเริ่มอยากหาคำตอบของความสัมพันธ์ ฉันจำไม่ได้หรอกนะว่าในตอนนั้นเราคุยกันว่ายังไงกันบ้าง แต่ในที่สุดแล้วเราก็ตกลงเป็นแฟนกันในที่สุด
Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in