เรามีโอกาสเข้าไปงาน Workshop การเขียนหนังสือเล่าเรื่องเที่ยว ที่จัดขึ้นโดยสำนักพิมพ์  Minimore   โดยมีเมนเทอร์ที่มาแชร์ประสบการณ์การเที่ยวและการเขียนให้ฟัง คือ คุณเบ๊นท์ ธนชาติ และคุณต่อ คันฉัตร  เมนเทอร์ทั้งสองมีผลงานด้านการเขียนหนังสือท่องเที่ยวมาแล้วมากมาย งานนี้เจ๋งแน่ๆ 
งาน Workshop นี้เด็ดตรงที่มีการคัดคนเข้าไปฟัง  โดยให้ผู้สมัครเขียนเรื่องเล่าจากประสบการณ์ท่องเที่ยวที่แต่ละคนไปเที่ยวมา  ทำให้เราได้ไปแอบอ่านประสบการณ์ท่องเที่ยวของคนอื่นที่น่าตื่นตาตื่นใจกว่าของเรามากกก ตั้งแต่ไปอินเดียข้ามถึงไปดินแดนโหดสัสรัสเซีย  และสุดท้ายสำนักพิมพ์เขาจะคัดคนเขียนบทความเข้างาน Workshop ประมาณ 50 คน  เราก็เป็นผู้รอดชีวิตในนั้นเลยมีเรื่องกลับมาเล่า
อนึ่ง...  เราได้รับคำเตือนก่อนไปร่วมงานว่า แอร์หนาวแสรดด เลยขนเสื้อกันหนาวเตรียมมาท้าลมหนาวเต็มที่  แต่น่าจะเพราะประเทศไทยมีแต่หน้าร้อนกับร้อนมาก  บวกกับคนมาร่วมงานเยอะ  ที่มาช่วยกันสร้างมวลอากาศร้อนจนทำให้แอร์ที่เตือนกันว่าหนาวจัดนี่ง่อยไปเลย  บรรยากาศในงานจึงอบอุ่นมากๆ
เริ่มต้นงานด้วย บก.แบงค์ และ บก.กาย จากสำนักพิมพ์แซลม่อน มาเล่าเรื่องมุมมองของ บก. อยากได้รูปแบบต้นฉบับหนังสือท่องเที่ยวอย่างไร  นี่คือคำแนะนำครับ
- การลงทุนทำหนังสือนั้นใช้ทุนมาก จึงต้องเลือกงานเขียนที่ดูมีจุดขายที่น่าสนใจ
 - งานเขียนที่ดีควรมี Theme บวกกับ Style การเขียนของนักเขียนเอง
 - ไม่เขียนแบบไกด์บุคที่บอกขั้นตอนการเที่ยวแบบ 1-2-3 หนังสือเที่ยวที่จะเขียนคือ บันทึกประสบการณ์ที่มีคุณค่า โดยมี Theme ที่น่าสนใจมาครอบเรื่องไว้
 - ควรมีจุดประสงค์ในการไป  ไป....เพื่อ.....  เช่น  ไปออสเตรีย เพื่อ ตามรอยหนัง Before Sunset
 - เล่าเรื่องต้องสื่อสารกับคนอ่านด้วย  อย่าลง Emotion จนคนอ่านไม่เข้าใจ  ถ้าจะได้สาระด้วยก็ดี
 - เขียนเรื่องให้เป็นการเดินทางของคนอ่านด้วย
 
หลังจากที่ บก. ได้ให้คำแนะนำกับเราแล้ว  ก็มาถึงช่วงเมนเทอร์ทั้งสอง  คุณต่อ คันฉัตร  และ เบ๊นท์ ธนชาติ ขึ้นเวทีมาเต้นบนเวที  โดยมีคุณนิดนก พิธีกรในงานที่คอยควบคุมและกำกับความฮา 
เข้าสู่โหมดจริงจัง เมนเทอร์ทั้งสองเริ่มเล่าประสบการณ์การเขียนหนังสือ ซึ่งงาน Workshop แบ่งเป็นสองช่วง ช่วงแรกคือ  Trip To Write ไปเที่ยวต้องเที่ยวอย่างไรให้ได้งานเขียน  และช่วงที่สอง Type To Live กลับมาเขียนต้นฉบับเพื่อความอยู่รอด ( จากหนี้บัตรเครดิต )
Trip To Write ช่วงไปเที่ยวให้ได้เรื่องเขียน
-     ก่อนการเดินทาง ควรเตรียมแผนเที่ยวไว้  มี Theme ในการเขียนไว้ในใจ แต่พอจริงๆแล้วสถานการณ์ก็จะพาไปเอง นั่นหมายความว่าเราอาจจะได้ Theme ใหม่ระหว่างทาง
 -     ความซวยในทริป การผิดแผน  จะเป็นกลายเรื่องเล่าที่สนุกได้ ( เราไม่แน่ใจว่า คนเราเห็นความ ชิฟฮายของคนอื่นเป็นเรื่องสนุก หรือ  คนเราชอบเรื่องที่ Unexpected  กันแน่  ที่พอจะอธิบายพฤติกรรมของคนอ่านในเรื่องนี้  55 )
 -     หาข้อมูลก่อนไปเที่ยว  พอไปเที่ยวถึงที่ก็จะพอนึกเรื่องราวออก ทำให้มีเรื่องไว้เขียนระหว่างทาง  
 -     ระหว่างเที่ยว ให้เขียนเรื่องราวลงในไดอารี่ประจำวัน มีวินัยในการเขียนนะ
 -     ภาพถ่ายก็เป็นความทรงจำหนึ่ง  ที่สามารถอธิบายเป็นเรื่องราวได้
 -     การบันทึกเรื่องราว สามารถใช้วิธีโพส Facebook ไว้  พอกลับมาเขียนบท ก็มานั่ง Rewrite ใหม่
 - เรื่องเล่าจะดูน่าสนใจ  หากเราไปที่ที่ยังไม่มีค่อยมีคนไป 
 -     แต่ก็อย่าไป Anti Landmark ที่ท่องเที่ยวฮิตๆ ที่คนไปเที่ยวกันบ่อยๆ ก็ไปได้  แต่พยายามหามุมมองต่างจากมุมมหาชน  เก็บมาเล่าเรื่อง  
 -     จาก Feedback  ของคนอ่านส่วนใหญ่ที่ตอบอีเมล์กลับมาหานักเขียน  ส่วนใหญ่จะจำเรื่องเล่าที่ซวยๆได้  ความซวยจึงเป็นเรื่องเล่าชั้นดี
 -     เมื่อเดินทางกลับมาถึงบ้าน  เขียนรายละเอียดออกมาให้หมด แล้วทิ้งไว้ 1 - 2 อาทิตย์ แล้วค่อยกลับมาเขียนใหม่   ค่อยมาลงดีเทลใหม่อีกรอบ
 - ที่ต้องทิ้งระยะเวลาไว้เพื่อไม่ให้เราจมไปกับงานเขียน  เมื่อเวลาผ่านไป ความคิดเราเปลี่ยน เราก็จะมองเห็นจุดที่แก้งานเขียนให้ดีขึ้นได้
 
Type To Live  ช่วงกลับมาเขียนให้เป็นต้นฉบับ
- มีคำถามว่า หนังสือเล่าเรื่องเที่ยว ต่างจาก Pantip อย่างไร
 - หนังสือนั้นเขียนเล่าประสบการณ์ชวนให้คนอ่านไปเที่ยว ใส่ความคิดในเวลานั้นๆลงไปในเนื้อเรื่อง แต่ไม่ได้ลงรายละเอียดถึงขั้นตอนการไปเที่ยว ไปอย่างไร ขึ้นรถไฟไปลงสถานีไหน ฯ
 - ถ้าจะหาขั้นตอนการไปเที่ยว ไปอ่านใน Pantip ได้ ตอนนี้มี 100 วิธีในการนั่งรถไฟในญี่ปุ่นแล้ว
 - การเขียนหนังสือ คือการเล่า Journey ให้เชื่อมกับ Culture แบบเนียนๆ
 - การเชื่อมโยงกับ Culture แบบเนียนๆ  ต้องหาจุดเชื่อมโยงให้เจอ  เช่น ทริปเกาหลี มีเรื่องเล่าเกี่ยวกับซีรีย์เกาหลีไว้ในใจแล้ว แต่ไม่รู้ว่าจะลงเรื่องอย่างไร  แต่พอดีที่พักมีทีวี ...  โยงเข้าเป๊ะ
 - สิ่งที่เนื้อเรื่องที่ต้องมีคือ เรื่องเล่าที่มีประโยชน์ต่อคนอ่าน ( Fact ) และ ความคิดส่วนตัวต่อเรื่องที่เจอ ( Experience ) 
 - Objective คือ Fact  ส่วน Subjective คือ Experience 
 - ถ้าจะใส่ Fact ลงไปในเรื่อง  ต้องเป็น Fact ที่สนุก !
 - เราสามารถสลับเนื้อเรื่องที่เจอได้ ไม่ต้องเรียงตาม Timeline เสมอไป
 - บางจุดก็ต้องทำ Research หาข้อมูลเพิ่ม  ทำให้เนื้อเรื่องมันดีขึ้น
 - มีภาพถ่ายในเรื่องเล่า จะทำให้เนื้อเรื่องมีน้ำหนักขึ้น ( แค่รูปถ่ายจากกล้องมือถือก็โอนะ )
 - ถ้าสถานที่ๆไปเที่ยวห้ามถ่ายรูป  ก็ถ่ายซะ  ถ้ารูปนั้นสำคัญต่อการเขียนเรื่อง
 - การเล่าเรื่องต้องชัดเจนในการเล่าความรู้สึกของตัวเอง  ความคิดของเราในช่วงเวลานั้น
 - ต่อมาเป็นคำถามเรื่องวิธีการเขียน Outline
 - วางเรื่องไว้ว่าจะเจออะไรบ้าง  เขียนมาเป็นบูเลตแต่ละบทๆ  ต่อจากนั้นเขียนเรื่องย่อยลงไปในแต่ละบูเล็ต ว่าเจออะไรเพิ่ม  มีจุดขายอะไร เป็นรายละเอียดคร่าวๆ
 - เรียงบทควรเรียงตามอารมย์ของเรื่อง ซึ่งจะพีคขึ้นเรื่อยๆ เหมือนค่อยๆขึ้นภูเขา
 - แต่ละบทต้องมีวิธีจบ  อย่าจบแบบลอยๆ ไม่มีข้อสรุป เช่น จบด้วยคำพูดหล่อๆ จบด้วยคำถาม  จบแบบกวนตีน ฯ 
 - ยังไงก็ต้องปรับแก้บท บก. จะช่วยดูว่าเราขาดอะไรไป
 - บก. จะมองภาพใหญ่ของหนังสือออกออก นักเขียนจะจมอยู่กับเรื่องที่เขียน  มองไม่ออก
 - ความยากของการเขียนหนังสือ อยู่ที่การเขียน Outline ส่ง บก.  และ บทแรกที่จะเขียน
 - เล่มหนึ่งควรมี 15 บท  บทละ 3 หน้ากระดาษไมโครซอฟเวิร์ด  ( ซีเรียสป่าววะ ไม่ต้องเป๊ะก็ได้มั้ง)
 - การเอาประสบการณ์มาเล่า ควรเป็นเรื่องที่เข้าใจง่าย  อย่า Niche เกินที่คนส่วนใหญ่จะเข้าใจ
 - หากจะเอาประสบการณ์คนอื่นมาเล่าประกอบเรื่อง  ควรเอาคนใกล้ตัวเรา คนอ่านจะอินง่ายกว่า
 - หากประสบการณ์นั้นที่จะเอามาเล่าเป็นของคนไกลตัวมากๆ ก็เมกให้เป็นคนใกล้ตัวซะ 
 - การอ่านหนังสือ  จะเป็นการ up material ให้ตัวเอง
 - การเขียนหนังสือต้องเขียนให้ต่อเนื่อง
 - แรงบรรดาลในในการเขียน  คือหนี้บัตรเครดิตที่ต้องจ่าย ( By คุณต่อ คันฉัตร  555 )
 - หากเขียนไม่ออก  ก็ออกไปทำอะไรอย่างอื่น  แล้วค่อยกลับมาเขียน  อย่าจมกับเรื่องเขียนมาก
 - การเขียนหนังสือให้เก่ง  คือเขียนออกมาเลย  เขียนอย่างมีวินัย  และ Believe in not yet scene นึกถึงจุดหมายปลายทางที่ยังมาไม่ถึง เช่น วันที่เขียนหนังสือสำเร็จ
 - ดู Target กลุ่มผู้อ่านหนังสือเราด้วย  เขียนให้เขาเข้าใจง่าย  รู้ในสิ่งที่เขาอยากอ่าน
 - เขียนไปเรื่อยๆ สร้างเป็น Portfolio ของเรา
 - ไม่ต้องคาดหวังผลลัพธ์มากว่าคนจะชอบไหม  เพราะมีหลายสิ่งให้ทำต่อไป  เราต้องก้าวต่อไป
 
ก่อนจบงาน  เมนเทอร์ทั้งสอง  ได้เลือกเรื่องเล่าที่ดีที่สุด 6 เรื่อง มาคุยให้เราฟังว่าเป็นตัวอย่างที่ดีควรอย่างไร   ซึ่งจากการสังเกตเรื่องทั้ง 6 นี้  มีรูปแบบ แบบนี้
- หัวข้อเรื่องมีจุดขาย 
 - เนื้อเรื่องก็มี Theme
 - มีรูปประกอบ 
 - ภาษาเขียนสวย อ่านสนุก  
 - มีเรื่องซวยในทริป !!! แล้วเอามาเล่าให้ฟัง
 
สุดท้ายนี้ ขอขอบคุณทีมงานสำนักพิมพ์ Minimore  ที่จัดงานดีๆ อาหารเที่ยงอร่อยๆ ให้ความรู้เจ๋งๆกับนักอยากเขียนนะครับ  ความรู้ในวันนี้น่าจะได้เอาไปปรับใช้ในการเขียนครั้งต่อๆไปในอนาคต ;)
ปล. เข้าไปอ่านเรื่องที่เข้ารอบ Session 1 ได้ที่ https://minimore.com/session/01/result
				
				
				
				
				 
			
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in