เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
Cardell brothers: origin storiesVanilla * twilight
After life (Zombie AU)


  • “ถ้าฉันเปลี่ยนเป็นไอ้พวกนั้น นายจะทำยังไง...”






    เบนชะงักมือที่กำลังโยนข้าวโยนของ แยกไม่ออกว่าประโยคนั้นถูกเปล่งออกมาด้วยความรู้สึกเช่นไร แต่ไม่คุ้นกับบางอย่างที่ถูกซ่อนไว้ภายใต้น้ำเสียง ปกติแล้วหมอนั่นมักชอบพูดล้อเล่นราวกับเห็นทุกสิ่งเป็นเรื่องตลก บางหนเขาอดคิดไม่ได้ว่าที่เบ็นยียวนกวนทุกสิ่งไปทั่วแบบนั้นเพราะอยากจะเย้ยหยันโลกแสนแย่ที่ตัวเองอยู่ แต่เขาบอกไม่ได้หรอกว่าในหัวกลวงเปล่าของพี่คิดสิ่งใด 






    บอกไม่ได้ว่าครั้งนี้เป็นแค่เรื่องล้อเล่นหรือคำถามกวนประสาทที่อยู่ๆ เจ้าของคำพูดก็เพ้อเจ้อขึ้นมาอย่างทุกทีหรือเปล่า 





    คิ้วสองข้างขมวดเข้าหากัน ขณะเบนยักไหล่ด้วยใบหน้าตายๆ แล้วตอบเหมือนไม่รู้สึกรู้สา “ก็ยิง”





    “โห ให้ตายเหอะว่ะ ใจร้ายจริงนะ” ฝาแฝดของเขาหัวเราะลั่น เสียงขึ้นจมูกนิดๆ ดังชัดท่ามกลางความเงียบของเมืองร้างไร้ลมหายใจ ร่างซ่อนอยู่ในเงามืดตรงมุมห้อง มองใบหน้าแทบไม่เห็น “แต่นายจะทำแบบนั้นจริงๆ ใช่ไหม”





    “เออ!” เบนทรุดตัวลงนั่งมองอีกคนที่ไม่ยอมนอนเสียที วันนี้เป็นเขาที่ต้องเป็นเวรสลับเฝ้ายามให้ก่อน เขาชักสีหน้า ไม่ว่าใครหน้าไหนได้ฟังก็คงจับความหงุดหงิดที่ฉายชัดได้ เขาไม่เข้าใจว่าหมอนั่นถามเพราะอยากวอนตายหรือยังไง ยิ่งฟังเบ็นพล่ามเท่าไหร่ เขาก็ยิ่งไม่ชอบใจจนต้องลงกับเศษหินดินทรายที่เกลื่อนพื้นกระเบื้องแตกๆ ฝุ่นดำสกปรกจับติดกับรองเท้าคอมแบทเมื่อเจ้าของออกแรงเตะระบายอารมณ์ กรวดหินกลิ้งไปมาก่อนหยุดใต้ฝ่าเท้า “เลิกพูดมากแล้วตามมาสักที พวกนั้นคงรอจะใจจะขาดว่าจะได้เจอผู้รอดชีวิต” 





    ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องซ่อนความเหยียดหยามไว้ใต้น้ำเสียง เขาถ่มน้ำลายรดพื้นแทนคำสรรเสริญพวกคนหลังกำแพง – เรื่องใจดีงามหวังช่วยเหลือคนเป็นเรื่องโกหกทั้งเพ มนุษย์พวกนั้นก็แค่ทำไปแกนๆ เสมือนจะยึดโยงสิ่งที่เรียกว่าความหวังของตนไว้ สร้างภาพดีงามว่าพวกตนไม่ได้ไร้หัวใจ ทั้งที่รู้อยู่เต็มอกว่าข้างนอกนี่เหลือแต่ซากเน่าเปื่อยเดินได้หรือไม่ก็กองกระดูก 





    พรางความจริงที่ไม่ว่าใครและใครต่างเห็นแก่ตัวเอาแต่เพียงตัวรอด 





    พวกเขาถูกส่งออกมาข้างนอกราวกับบรรณาการอาหารให้พวกไม่ยอมตายด้วยคำสั่งหลักคือตามหาคนที่ยังมีชีวิต พ่วงด้วยคำสั่งรองคือกู้สิ่งของจำเป็นที่ยังอาจใช้การได้กลับไป ทว่าแท้จริงแล้วจุดประสงค์หลักคงเป็นจุดประสงค์รองนั่นเสียมากกว่า และถ้าหากโชคดีพอจะบรรลุเป้าหมายจอมปลอมนั่นได้ พวกคนใจเสาะนั่นก็จะอ้างเอาบุญคุณที่ช่วยเหลือชีวิตเรียกขอทุกสิ่งจากผู้คนที่เพิ่งผ่านพ้นความตาย ตรวนเอาไว้ใช้งานเท่าที่จะใช้ได้





    เบนรู้เรื่องนี้ตั้งแต่ยังเป็นเด็ก เพราะเขากับพี่เคยเป็นผู้ถูกช่วยเหลือ





    ตอนนั้นฝาแฝดคาร์เดลเรียกได้ว่าอ่อนแอเกินจะอยู่ในโลกนี้ได้ แม้รอดมาได้ด้วยความเสียสละของพ่อและแม่ ถึงกระนั้นยมฑูตก็เกือบตามหาพวกเขาพบ เขายังจำได้ถึงกลิ่นสะอิดสะเอียนเน่าเปื่อยที่เกาะติดตามร่างกายเพราะตนเพียรหาอะไรก็ตามที่ใช้ได้ไว้พรางกลิ่นตัวเองกับพี่ชายให้เหมือนศพเดินได้ ไม่ให้พวกมันแยกออกว่าเป็นอาหาร เสียงน่าขนลุก และฝ่ามือของเบ็นที่คอยลากเขาให้ไกลจากเรื่องอันตราย ไม่รู้ว่าที่ทำแบบนั้นเป็นเพราะหมอนั่นยึดมั่นถือมั่นคำสั่งเสียของคนตายอย่างผู้ให้กำเนิด ไม่ก็รำคาญที่ต้องคอยมาหันมองข้างหลัง หรือว่าทั้งคู่รับรู้ว่าบัดนี้คำว่าครอบครัวก็เหลือเพียงแค่กันและกัน จากกันเมื่อไรก็ต้องอยู่ด้วยตัวเองเพียงคนเดียว





    พวกเขาหวังใจว่าจะพบสิ่งที่อบอุ่นปลอดภัยพอที่จะเรียกว่าบ้าน แต่ไม่ช้าไม่นานก็รู้ว่าหน้าที่ของพวกตนในที่แห่งนี้คือชดใช้ชีวิตที่ถูกช่วยมาด้วยชีวิต ต่อสู้ด้วยความเย็นชาไร้หัวใจ ไม่เหลือพื้นที่ไว้ให้ความเยาว์วัย หรือแม้กระทั่งอิสระและเสรีภาพ มีแต่ต้องทำตามคำสั่งเพื่อเอาตัวรอด 





    จะดีกว่าการตะเกียกตะกายในโลกข้างนอกด้วยตัวเองก็เพียงแค่ไม่ต้องระแวงว่าจะมีอะไรมาลากเอาไปเป็นอาหาร 





    “ถ้าอย่างนั้น นายกับฉันคงทำคนพวกนั้นผิดหวังเพราะปืนกับของพวกนี้ก็ได้” เป็นเสียงของเบ็นที่ดึงเขาออกจากอดีต เขาหันไปมองหน้าคนพูด แปลกใจที่วันนี้ไม่ถูกฝีปากร้ายกาจนั่นขัดแข้งขัดขาเหมือนทุกที ดวงตาสีน้ำเงินถอดแบบพิมพ์เดียวกันกับของเขาเด่นชัดท่ามกลางความมืด วันนี้เหมือนมันจะวาวกว่าปกติจนคล้ายตาแมว “แต่อย่างน้อยนายก็คงพอใจ จำได้ตอนที่เจอไอ้ของเวรๆ พวกนี้ นายยิ้มกว้างจนปากจะฉีกกว่านั้นไม่ได้แล้วมั้ง”





    “ไอ้บ้า อย่าปากมาก” เขาพ่นลมออกจากจมูก ตั้งใจให้ดูฉุนเฉียว ไม่มีทางเสียหรอกที่เขาจะยอมรับว่าหมอนั่นพูดถูกถ้าตัดเรื่องข้อความประชดประชันในประโยค “แบกไปแล้วปิดปากเงียบๆ เลย!”





    “เสียใจด้วยนะไอ้น้องชาย นายต้องเลือกเอาแค่บางอย่าง” มีวันไหนที่ฝาแฝดคนพี่จะไม่ขัดใจเขาคงเป็นไปไม่ได้ ในใจเบนเริ่มบ่นกระปอดประแปดสวดยับถึงความขี้เกียจยิ่งกว่าตัวเป็นขน ก่อนจะรีบสวนกลับทันควัน





    “เรียกแบบนั้นทำบ้าอะไร เรื่องสิ! ก็นายเป็นคนแบก ไม่เดือดร้อนแรงฉันสักหน่อยนี่” 





    ลึกลงไปแล้วมีความพอใจบางอย่าง ไม่ใช่ว่าเขาชอบใจที่ได้ทะเลาะให้เปลืองแรงและเวลา แต่นึกยินดีที่บรรยากาศน่าตะขิดตะขวงเมื่อครู่มลายไปในอากาศ ที่คำถามน่าสงสัยไม่ได้ถูกเอ่ยถึงอีกต่อไป 





    เบ็นมองหน้า ไม่เถียงอะไรเขาอีก ก่อนบอกเหตุผลด้วยน้ำเสียงจริงจัง เป็นครั้งแรกในรอบหลายปีที่มันหนักแน่นจนไม่อยากเชื่อหู และใจความก็ทำให้เขานึกอยากให้หมอนั่นแค่ปากพล่อยล้อเล่น





    “เพราะฉันจะไม่อยู่แล้ว” 












    มือของแฝดคาร์เดลคนน้องสั่นเหมือนเมื่อครั้งลั่นกระสุนนัดแรกตอนอายุไม่พ้นยี่สิบ ในวันที่โลกยัดเยียดสัญชาตญาณเอาตัวรอดให้กับมนุษย์ในวัยที่ยังไม่สมควรรู้จักกับความตาย ก่อนที่ปืนจะร่วงลงไปโดยที่ยังไม่มีสิ่งใดหลุดออกจากรังเพลิง





    “นายเคยบอกว่าจะทำ...” 





    เบ็นอยู่นั่น นั่งนิ่งอยู่ตรงนั้น สารรูปแทบดูไม่ได้ – ยังเป็นคนคนเดิมกับที่เบนนึกเกลียด ปอยผมสีน้ำตาลเปียกชื้นแนบติดหน้าผาก เขาจำได้ว่ามันเคยเป็นสีอื่นจากยาย้อมผม นึกถึงความดันทุรังน่าหัวเราะเยาะนั่นได้ดี ว่าแค่เพราะไม่อยากเหมือนกันกับเขา หมอนั่นถึงยินดีทำเรื่องบ้าบอขนาดไหน ไหนจะเสื้อยืดสีขาวเก่าๆ ที่ตกเป็นจำเลยให้เขาต่อว่า ทำเสียงเย้ยใส่ว่าแยกไม่ถูกว่าเป็นสีใด แม้กระทั่งสัมผัสของเนื้อผ้าสากๆ เหม็นอับติดจมูกเวลาโดนล็อกคอก็ยังติดผิว 





    มองไปแล้วคนตรงหน้าไม่ได้เปลี่ยนไปเลยถึงแม้จะมีบาดแผลอัปรีย์บนแขนข้างหนึ่ง ทว่าดูเหนื่อยล้าเหลือเกิน





    ตอนเห็นรอยม่วงปนเขียวคล้ำช้ำเลือดหนองน่าสะอิดสะเอียนเป็นครั้งแรก เขานึกไม่ออกว่าเป็นอย่างไร เหมือนฝันร้ายที่พอกะพริบตายามตื่นก็ยังคงอยู่ไม่ไปไหน นึกด่าตัวเองที่โง่เง่าไม่ทันสังเกต พาลด่าหมอนั่นที่ไม่ปริปากบอก โกรธจัดจนกระทั่งลงมือลงไม้กับเบ็นถึงจะรู้ว่าตัวเองไม่มีแรงพอที่จะทำให้ฝ่ายนั้นระคายแม้สักนิด สุดท้ายแล้วก็ไม่รู้จะทำสิ่งอื่นใดให้มีปาฏิหาริย์ที่ไม่มี 





    เขาถ่วงเวลามาได้พักหนึ่งหลังจากได้รู้ความจริง ได้แต่นั่งมองอยู่จากฝั่งตรงข้าม ไม่ได้ขยับไปไหน ตลอดวันแทบจะข่มตาหลับไม่ลง ทั้งที่ไม่อยากยอมรับ แต่ยิ่งนานมากขึ้นเท่าไหร่ เบ็นก็ดูจะสภาพแย่ลงขึ้นทุกขณะ รอยคล้ำเริ่มปรากฏให้เห็นตรงอื่นนอกจากบาดแผลต้นเหตุ เบนอยากหลอกตัวเองเสียเต็มประดาว่าฝาแฝดคนพี่ไม่ได้เป็นอะไร ไม่เคยมีวันที่ความเงียบระหว่างทั้งคู่ทิ้งตัวอ้อยอิ่งยาวนานเท่านี้ แม้จะมีเสียงโต้ตอบกลับมาบ้าง แต่มันก็เบาลงทุกที และเขาไม่อยากนึกถึงวันที่มันจะเงียบไป





    วันที่จะเหลือแค่เบน คาร์เดล... ไม่ใช่ฝาแฝดคาร์เดล





    ก่อนหน้านี้ไม่ใช่ว่าไม่เคยคิดถึงมัน ในเมื่อชีวิตที่พวกเขามีเป็นสิ่งไม่แน่นอน เหตุการณ์แบบนี้คงเกิดขึ้นเข้าสักวัน แต่เบนไม่นึกว่ามันจะมาถึงเร็วกว่าที่ทันจะตั้งตัว แต่อย่างไรก็ดี หมอนั่นไม่มีสิทธิเห็นแก่ตัวตัดสินใจเป็นคนที่เดินจากไปก่อน 





    พี่ชายของเขายื่นคำขาดให้การุณฆาต ยืนยันว่าตนเต็มใจที่จะตาย ทิ้งอัตตาทั้งหลายเอ่ยคำขอร้องที่ไม่เคยหลุดจากปาก บอกว่ายังอยากตายในฐานะที่เป็นตัวเอง หมอนั่นก็ยังเป็นหมอนั่น แม้จะพูดเรื่องคอขาดบาดตายก็ยังไม่วายยั่วโทสะ - ‘ไม่เอาว่ะ คิดสภาพไปกินสมองคนอื่นมันไม่น่าอร่อย ยิ่งเป็นสมองนายยิ่งน่าจะยี้น่าดู





    มีสัญญะบางอย่างอยู่ใต้ประโยคนั้น – ฆ่าฉันก่อนที่ฉันจะฆ่านาย





    เบนคิดว่าพระเจ้าที่ใครต่อใครว่าเมตตาคงจะชอบทำเรื่องตลกร้ายเสียมากกว่า เขาถึงต้องมาอยู่ตรงนี้จ่ออาวุธสังหารเข้าหาพี่ชายตัวเอง ใช้กระสุนที่หวังว่าจะไม่ต้องได้ใช้ 





    ทุกครั้งที่สู้มันจะถูกเก็บไว้เป็นอย่างสุดท้าย รอยขูดขีดบนผิวโลหะสองชิ้นที่ปลายนิ้วสัมผัสแตะต้องนั้นจะเตือนใจเขาว่าห้ามใช้มันกับสิ่งอื่น จนกว่าเวลานั้นจะมาถึง 





    “เกลียดกันอยู่แล้วนี่ ไม่น่ายากนี่หว่า เป็นนายไงที่ต้องอยู่”





    “...”





    “ปกติปากหมาใส่กันจะเป็นจะตาย นี่นึกห่วงกันมาตอนนี้หรือไง น่าขนลุก”





    “...”





    “ฆ่าฉันเหอะว่ะ...ฆ่าฉัน...” เขาไม่นึกว่าไอ้บ้าดีเดือดที่ทำทุกอย่างเพื่อรักษาชีวิตจะมีวันที่เพ้อหาความตายราวกับเรียกหาคนรัก “ฆ่า...”





    มือไม่มั่นคงเอื้อมไปคว้าวัตถุที่จะทำลายชีวิตตัวเองให้เป็นธุลี ใช้แรงทั้งหมดที่พอมียัดมันกลับเอาฝ่ามือที่สั่นเทาพอกัน เบนได้แต่ตะโกน





    “.........ฆ่า”





    “หุบปาก!”





    .

    .

    .

    .

    .





    คำพูดสุดท้ายที่ฝาแฝดคนพี่ทิ้งไว้บนโลกคือ ‘คำพูดแบบนั้นแย่สมเป็นนายดี’ ไม่ใช่คำพูดที่เหมาะจะลาตาย ไม่ใช่แม้แต่นิดเดียว ฝ่ามือที่กุมอยู่อุ่นจนร้อน ทว่าไม่ใช่อุณหภูมิจากร่างกาย แต่เป็นเลือดแดงฉานที่เปรอะมือทั้งคู่ ทุกสิ่งที่มองผ่านด้วยตากลายเป็นภาพพร่าเบลอ มองไม่เห็นแม้สีอื่น 





    ในวูบแรกไม่ใช่ความเศร้าโศกเสียใจ แต่เป็นความอาฆาต





    เบนไม่รู้ว่าควรโกรธสิ่งใด – ไอ้บ้านั่นกล้าดียังไงมาบังคับให้เขาอยู่





    เขานึกอยากก่นด่าแม้เจ้าของวาจาจะไม่อยู่ให้บ่นว่าอีกต่อไปแล้ว ต่อว่าว่าคำพูดงั่งๆ ที่พูดออกมาไม่คิดทิ้งรอยลึกไว้ในใจแค่ไหน จากนั้นความจริงที่ว่าเขาจะไม่ได้ยินเสียงที่เกลียดนักหนาอีกต่อไปก็เหมือนจะกดทับตัวตนของเขาให้จมลงในความเสียใจ ความรู้สึกชาแล่นจากศีรษะจรดปลายเท้า 





    เสียงที่เปล่งออกจากปากเป็นคำพูดไม่ได้ศัพท์ แผ่วจนแทบรับรู้ไม่ได้ แต่มันดังลั่นในหัวของเบนผสมกับน้ำเสียงหลอกหลอนของพี่ชาย เสมือนว่าเสียงนั้นดังพอจนสามารถส่งให้ถึงทั้งคนเป็นและตายทั้งหมดที่ยังอยู่บนโลก 





    ถึงแม้จะรู้สึกว่าฝ่ามือไม่อาจออกแรงขยับไปไหน แต่เขาก็จำใจฝืน ใช้ฝ่ามือแตะแนบลงบนเปลือกตา ปิดดวงตาเบิกโพล่งให้หลับอย่างสงบ 





    ในวันนี้จะเป็นวันที่เขาจำไว้...ว่าจะมีเพียงครั้งเดียวที่ตนทำตามใจหมอนั่น 





    น่าแปลกที่อยู่ดีๆ เขาก็นึกย้อนและเข้าใจขึ้นมาได้ ว่าเหตุใดวันนั้นจึงเห็นดวงตาของอีกฝ่ายวาวกว่าปกตินัก และสงสัยว่าเบ็นจะเห็นภาพเหมือนอย่างที่เขาเห็นตอนนี้ไหม





    เบนมองกระสุนอีกนัดที่อยู่ในฝ่ามือเปื้อนดิน และรู้ว่าต้องทำสิ่งใดต่อไป





    เขากระซิบ แผ่วเบาจนแทบไม่มีเสียงเล็ดลอดออกจากริมฝีปาก บอกกล่าวแก่ผู้ล่วงลับ “นายก็รู้ว่าฉันไม่ชอบทำตามที่นายบอกง่ายๆ หรอก”




เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in