Theme: Slow Burn
Pairing: Chwe Hansol x Boo Seungkwan
Rating: PG15
Warning:
- มีประเด็นเกี่ยวกับ PTSD ของทหารแบบเบาบาง
- เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องจริงแต่อย่างใด โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน
◍ ◍ แนะนำให้ฟังเพลง Silver Lining (Crazy ‘bout you) ของ Jessie J
Call me crazy,
Baby it’s true.
สำหรับอดีตแพทย์ทหารอย่างบู ซึงกวาน เขาค่อนข้างคุ้นชินกับการใช้ชีวิตที่นาน ๆ ทีจะมีเวลาเป็นส่วนตัวสักครั้ง ย้อนหลับไปสมัยที่เขาเรียนจบใหม่ ๆ และได้รับคำสั่งให้ประจำการที่ค่ายทหารแห่งหนึ่ง ชีวิตในตอนนั้นมีหลายหลากความรู้สึกสลับสับเปลี่ยนกันไป ไม่ว่าจะความอึกทึกแสนวุ่นวาย ความหวาดกลัว เสียงร้องไห้คร่ำครวญ หรือแม้กระทั่งความสิ้นหวัง... แน่นอนว่าสงครามเวรตะไลนั่นทิ้งบาดแผลเหวอะหวะไว้ให้เขา อย่างเช่น รอยกระสุนน่าเกลียดตรงต้นขาข้างซ้าย ประสิทธิภาพในการเดินที่แย่ลงจนน่าสมเพช และฝันร้ายที่หลอกหลอนเขาทุกครั้งยามหลับตาลง
ด้วยเหตุนี้ ชายหนุ่มจึงตัดสินใจลาออกจากงานที่เขาหลงผิดมาตลอดว่ามีเกียรตินักหนา และเริ่มต้นชีวิตใหม่... แม้อายุอานามจะปาไปสามสิบกว่าปีแล้ว
แต่ซึงกวานอาจหลงลืมไปอย่างหนึ่ง
ว่าสิ่งที่เขาคาดหวังมักจะไม่ตรงกับสิ่งที่เขาต้องเจอในความเป็นจริง
1
ย้อนกลับไปเมื่อต้นปีก่อน ครั้งแรกที่ซึงกวานยอมทิ้งชีวิตสันโดษที่บ้านเกิดเพื่อมาอยู่อะพาร์ตเมนต์ขนาดใหญ่ใจกลางกรุงโซล
ยอมทิ้งในสิ่งที่คิดมาตลอดว่าดีกับเขา แต่ไม่เลย การอยู่ตัวคนเดียวในขณะที่จิตใจไม่ค่อยจะสู้ดีนักเป็นสิ่งที่ไม่ควรทำอย่างยิ่ง จิตแพทย์เจ้าของไข้เคยพูดเช่นนี้กับเขา ประจวบเหมาะกับอี ซอกมิน รุ่นพี่สมัยเรียนได้แนะนำที่พักราคาไม่แพงนักใจกลางกรุงโซล โดยมีอาจารย์สอนศิลปะคนหนึ่งที่ค่อนข้างรักความเป็นส่วนตัวและมีอิสระในชีวิตสูงอาศัยอยู่ก่อนนั้นแล้ว
‘ถึงเขาจะดูแปล— เออ นั่นแหละ ฉันว่าพวกเธอน่าจะคุยกันรู้เรื่องนะ อายุพอ ๆ กันด้วย’ ซอกมินเอ่ยกับเขาแบบนั้น
ระหว่างที่เขาจัดของให้เข้าที่เข้าทาง ประตูห้องก็ถูกเปิดด้วยแรงไม่เบาหนัก ซึงกวานเงยหน้ามองใบหน้าของผู้มาใหม่อย่างงงงวย
“ห้อง... โอเคดีไหม?” ชายหนุ่มหน้านิ่ง(แต่หัวยุ่งเหยิงเสียเหลือเกิน)พูดกับเขาด้วยประโยคประมาณนี้เป็นครั้งที่สิบแล้วเห็นจะได้
“ดีมาก ๆ เลยครับ”
แล้วเขาก็ตอบประมาณนี้ไปห้าครั้ง ‘ผมชอบมากเลยครับ’ ไปสามครั้ง ‘เหมือนจะไม่มีปัญหาอะไรนะครับ’ และ ‘ห้องกว้างดีนะครับ’ ไปคนละครั้ง
“อืม”
ดวงตากลมมองคนตรงหน้าที่มองรอบ ๆ ห้องของเขา พร้อมกับบันทึกในใจว่า เวอร์น่อน หรือชเว ฮันซลคนนี้... น่ารำคาญ
ดูสิ ยังไม่ทันไรก็ก้าวเข้ามาถึงกลางห้องของเขาแล้ว
“เออ มีอะไรรึเปล่าครับ?”
เงียบ...
ซึงกวานขมวดคิ้วเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายไม่ตอบ หนำซ้ำยังไม่หยุดกวาดสายตาไปรอบ ๆ ห้องของเขาแต่อย่างใด
ถ้าเป็นคนอื่นคงจะถามตรง ๆ ไปแล้วว่า ‘รู้จักคำว่ามารยาทไหม?’
โชคดีเหลือเกิน... ที่ซึงกวานไม่ใช่คนแบบนั้น
เขาเลยลงมือจัดของต่อ
“นี่ก็จะสี่โมงแล้ว คุณไม่หิวเหรอ?”
“ยังนะครับ”
“อืม แต่ผมหิว...”
เยี่ยม อดีตแพทย์ทหารคิดในใจแล้วเงยหน้าขึ้นมามองชายหนุ่มลูกครึ่งอย่างไม่เข้าใจเป็นครั้งที่เท่าไรแล้วไม่รู้ของวัน
“ครับ?”
“เห็นว่าขาซ้ายของคุณไม่ค่อยดี ลุก ๆ นั่ง ๆ แบบนั้นตั้งแต่เช้าก็คงไม่โอเคเท่าไร” เขามองมือที่ยื่นมาตรงหน้าสลับกับหน้าของอีกฝ่าย คล้ายกับว่าเขาโดนสะกดจิต จึงยื่นมือให้รูมเมทหมาด ๆ ทั้งที่อยากจะถามถึงความเชื่อมโยงระหว่างขาที่เจ็บของเขากับความอยากอาหาร แล้วไหนจะเรื่องที่รู้ว่าขาซ้ายเขามีปัญหานี่อีก “ผมรู้จักร้าน ๆ หนึ่ง เจ้าของร้านเป็นคนรู้จักของคุณนายคิม รสชาติไม่แย่เท่าไรด้วย”
ซึงกวานมองตามแผ่นหลังของอาจารย์หนุ่มที่เดินไปหยิบโอเวอร์โค้ทสีเข้มบนราวมาสวมใส่เสร็จสรรพ ก่อนจะหันมาเลิกคิ้วให้เขา
“รออะไรอยู่ล่ะ?”
เขาจะทำอย่างไรได้ นอกจากเดินตามอีกฝ่ายไป
2
“ซึงกวาน!”
รูมเมทสองสัปดาห์ตะโกนดังลั่น และตอนนี้เจ้าตัวก็ได้ยืนอยู่ในห้องนอนของเขาแล้ว
ซึ่งเขาเองก็เพิ่งจะเดินออกจากห้องน้ำมา
“บ้าเอ้ย!” ร่างสมส่วนรีบทบชุดคลุมอาบน้ำจนมั่นใจว่าปกปิดร่างกายของเขาจนมิดชิด ดวงตากลมตวัดมองเพื่อนร่วมชายคาอย่างไม่พอใจ
“ผมบอกกี่ครั้งแล้ว ฮันซล ห้องผมไม่ใช่สวนสาธารณะ นึกจะเข้าก็เข้ามาเลยแบบนี้ ถึงผมจะเป็นผู้ชาย แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าคุณจะก้าวเข้ามาในพื้นที่ส่วนตัวของผมได้ตามใจชอบนะ”
คนถูกตำหนิเลิกคิ้ว ก่อนจะทิ้งตัวบนโซฟา
“ก็เรื่องนี้ด่วนจริง ๆ”
“ไม่ ฮันซล อย่าทำหน้าแบบนั้นด้วย มันทำให้ผมคิดว่าคุณไม่รู้สึกอะไรกับสิ่งที่ผมพูดเลย”
“เธอไม่คิดบ้างเหรอว่า—”
ซึงกวานกลอกตาอย่างเหนื่อยใจ เขาตัดสินใจเดินไปดันคนตัวสูงกว่าจนอีกฝ่ายพ้นธรณีประตูห้องนอนของเขา
“ซึงกวานอา—”
“ผมขอแต่งตัวก่อน”
“เปลี่ยนใหม่เหรอ?”
คนถูกทักขมวดคิ้ว “อะไรนะ?”
“แชมพู?” คนตัวสูงกว่างึมงำขณะส่งเสียงฟุดฟิดบนผมที่เปียกหมาด ๆ ของเขา ก่อนจะขยับมาที่ซอกคอ “ไม่สิ ครีมอาบน้ำ กลิ่นซีตรัสเหรอ หอมดีนี่ วันหลัง—”
ซึงกวานปิดประตูใส่หน้าอีกฝ่ายทันที
3
ซึงกวานหลับตาลงขณะเอนกายอ่างอาบน้ำ ช่วงเวลาแสนสงบเช่นนี้หาไม่ได้ง่าย ๆ นับตั้งแต่วันที่เขาได้หารค่าเช่าอะพาร์ตเมนต์คนละครึ่งกับชเว ฮันซล
เพราะวันนี้อาจารย์หนุ่มมีตารางต้องไปสอนที่มหาวิทยาลัย กว่าจะทำโน่นนี่นั่นเสร็จก็คงค่ำ ๆ เขาที่ขอลาครึ่งวันจึงมีเวลาแช่น้ำอย่างสงบไปยา—
“อยู่นี่เอง”
ซึงกวานถอนหายใจ เขาคร้านที่จะบ่นเรื่องพื้นที่ส่วนตัวกับคน ๆ นี้แล้ว เลยตั้งความหวังว่าสักวันฮันซลจะเข้าใจและยอมผละไปเอง
นั่นแหละ เขาหวังมากเกินไป
“ออกไป ฮันซล”
เงียบ
“ผมกำลังอาบน้ำอยู่”
เงียบ
“เลิกจ้องผมได้แล้ว”
เงียบ
“ชเว ฮันซล”
“ว่า?“
“ฮันซล!”
“อืม เรื่องอะไรล่ะ?” ใบหน้าหล่อเหลามองเขาสลับกับเสื้อผ้าในตะกร้าตรงมุมห้อง หากสังเกตดี ๆ จะเห็นคราบเลือดบนเสื้อเชิ้ตสีฟ้าที่เขาเพิ่งถอดไปเมื่อครู่ใหญ่ ๆ สายตาของฮันซลยังคงจับจ้อง ไม่ได้คาดคั้น แต่เว้าวอน รอคอยสิ่งที่จะหลุดจากปากของเขา
เขาคงใจดีกับคน ๆ นี้เกินไปอย่างที่คุณนายชเวบอกจริง ๆ
“มัน... ไม่ใช่เรื่องของคุณ”
“ฉันชอบยุ่งเรื่องคนอื่นด้วยสิ”
ด้วยเพราะอยู่ด้วยกันมากว่าสามเดือน ทำให้ซึงกวานพอรู้นิสัยของคนที่ยืนค้ำหัวเขาบ้าง ฮันซลไม่ใช่คนที่อ่านยากอย่างที่คิด ตรงกันข้าม ผู้ชายคนนี้กลับอ่านออกง่ายมาก ๆ เหมือนเด็ก
“ผมคิดว่าคุณรู้แล้ว”
“ก็ใช่ว่าสิ่งที่ฉันได้ยินมาจะถูกเสมอไป”
ดื้อด้าน ซึงกวานคิด ก่อนจะถอนหายใจอีกครั้ง
“ฮันซล”
เงียบ
“ผม... อยากฟังคุณเล่นไวโอลิน”
“เพลง?”
“อะไรก็ได้”
อาจารย์หนุ่มยังคงมองเขาอยู่
“ผมฟังได้หมด”
ฮันซลตอบรับในลำคอ แต่ก็ยังไม่ละสายตาจากเขาอยู่ดี ผ่านไปหลายนาทีก่อนที่จะยอมเดินออกจากห้องน้ำ(ของเขา)ไป
คืนนั้น ซึงกวานได้ยินเพื่อนร่วมห้องเล่นไวโอลิน น่าจะเป็นสักบทประพันธ์ของ Bach* ยันรุ่งสาง
4
ฮันซลชื่นชอบงานศิลป์เกี่ยวกับร่างกายมนุษย์เป็นอย่างมาก ไม่ว่าจะเป็นงานวาดหรืองานปั้น
ย้อนกลับไปครั้งแรกที่เจอหัวกะโหลกในตู้เย็น ซึงกวานจำได้ดีว่าเขาแทบเสียสติ ไม่ใช่เพราะหวาดกลัว(เขาค่อนข้างชินกับโครงสร้างร่างกายมนุษย์ที่ไม่มีชีวิตแล้วระดับหนึ่ง) แต่เพราะฮันซลวางมันบนชั้นที่เขาเก็บของสดไว้
ความตั้งใจที่จะทำอาหารในเช้าวันนั้นถูกปาทิ้งลงถังขยะทันที
แม้จะอยู่ด้วยกันมาเกือบปีหนึ่งแล้ว แพทย์หนุ่มก็ไม่อาจทำใจให้ชินได้ ก็ยังดีที่อีกฝ่ายเลือกเปลี่ยนที่วางเป็นชั้นเกือบล่างสุด และตอนนี้เขาพอจะทำใจหยิบเบียร์กระป๋องที่วางอยู่ไม่ห่างกันมาเปิดแล้วยกขึ้นดื่มได้โดยตะขิดตะขวงใจ
“ดื่มแต่เช้า?”
เขาหันไปหาเจ้าของประโยคนั้น เห็นอีกฝ่ายกำลังพ่นควันสีขุ่นอยู่ข้างหน้าต่างบานใหญ่ ผมเผ้ารุงรังยังคงเป็นเอกลักษณ์ของผู้ชายคนนี้เสมอ ใบหน้าหล่อเหลาดูอิดโรย คงเป็นเพราะโต้รุ้งวาดรูปอะไรสักอย่างอยู่กระมัง
“สูบแต่เช้า?”
ฮันซลขยี้บุหรี่ในมือกับที่เขี่ยบุหรี่ข้าง ๆ นั้น และยิ้มให้เขา ชายหนุ่มเห็นอย่างนั้นจึงทิ้งกระป๋องเบียร์ที่ตนยังดื่มไม่ถึงครึ่งด้วยเช่นกัน
บรรยากาศยามเช้าราบเรียบเหมือนทุก ๆ วันที่ผ่านมา หากแต่วันนี้เป็นวันหยุดของแพทย์หนุ่ม ขณะทำมื้อเช้าง่าย ๆ ซึงกวานก็วางแผนการพักผ่อนตามประสาคนรักสันโดษเงียบ ๆ ในใจ
“ซึงกวาน”
เจ้าของหันไปตามเสียงเรียก แต่ไม่ทันจะขานรับหรือเอ่ยประโยคคำถามใดออกไป น้ำเสียงทุ้มต่ำติดเนื่อย ๆ ก็เอ่ยออกมาทีเดียวจบ
“วันนี้ว่างใช่ไหม ช่วยเป็นแบบให้หน่อยสิ”
เยี่ยม
5
แม้อาการ PTSD** ของเขาจะดีขึ้นบ้าง จากที่ฝันร้ายมาเยือนทุกคืนก็ค่อย ๆ เปลี่ยนเป็นสองหรือสามครั้งต่ออาทิตย์ จนกระทั่งเหลือแค่นาน ๆ ครั้ง แต่นั่นก็ขึ้นอยู่กับสภาพจิตใจของเขาในช่วงนั้นด้วย
เขาไม่ได้ฝันถึงมันมาเกือบสองเดือนแล้ว
แต่คืนนี้ไม่เป็นเช่นนั้น อาจเป็นเพราะเมื่อเย็นที่ผ่านมาเขาทะเลาะกับฮันซล ซึงกวานจึงถูกฝันร้ายปลุกให้สะดุ้งตื่นขึ้นมาในกลางดึก
ภาพในความฝันชัดเจนเกินไป แม้จะรู้สึกตัวแล้ว เขายังคงได้ยินเสียงร้องโหยหวนดังระงมผสานเสียงห่ากระสุนดังลั่น เขาพยายามอย่างหนักที่จะช่วยยื้อลมหายใจของทหารหนุ่มคนนั้น ทุกจังหวะที่ปั้มหัวใจ มือทั้งสองถูกย้อมอาบไปด้วยลิ่มเลือดสีสด ครั้งแล้วครั้งเล่า เขาพยายามไม่สนใจดวงตาเบิกโพลงของนายทหารที่จ้องมองมายังเขาขณะที่เขาปั้มหัวใจอย่างบ้าคลั่ง ทุกอย่างช่างชัดเจน ภาพความล้มเหลวของเขาช่างชัดเจน... ชายหนุ่มพยายามกลั้นเสียงสะอื้นไห้ พลางไขว่คว้าร่างที่อยู่ข้างกายด้วยความเคยชิน แต่กลับพบเพียงความว่างเปล่า
เขาได้ยินเสียงฝีเท้าหนัก ๆ เดินตรงมาที่ห้องของเขา เสียงสบถที่คุ้นเคยเต็มไปด้วยความไม่พอใจที่ไม่สามารถเปิดประตูเข้ามาได้ดังใจคิดเพราะเขาล็อคประตูไว้ ซึงกวานเกือบลุกไปเปิดแล้ว หากไม่ได้ยินเสียงไขกุญแจดังขึ้นมาก่อน
ทุกอย่างเกิดขึ้นรวดเร็วหลังจากนั้น ผู้มาใหม่ถือวิสาสะรวบร่างของเขาไปกอด กระซิบคำปลอบประโลมแสนแข็งทื่ออยู่ข้างหูครั้งแล้วครั้งเล่า ซึงกวานลืมทุกความบาดหมางและถ้อยคำร้ายกาจเมื่อเย็นวาน เขากระชับร่างของอีกคนไว้และร้องไห้ออกมาอย่างไม่อาย
เมื่อตื่นขึ้นมาอีกครั้ง เขาเห็นดวงตาแดงก่ำของฮันซล เห็นแววตาที่เต็มไปด้วยความเจ็บปวดทอดมองมายังเขา ขอบตาดำคล้ำบอกเขาเป็นอย่างดีว่าเมื่อคืนชายหนุ่มคนนี้ไม่ได้นอนเลย
“ผมขอโทษที่ทำให้คุณ—”
“ฉันขอโทษ”
ขอบตาของซึงกวานร้อนผ่าว ก่อนจะหลับตาลงยามอีกฝ่ายขยับใกล้จนหน้าผากของเขาทั้งสองแนบชิดกัน
“ขอโทษ... ฉันขอโทษ...”
คนตัวเล็กกว่าเอื้อมไปจับมือสั่นเทาของอีกคนหนึ่งไว้
“...ขอโทษเหมือนกัน”
0
“เป็นหมอในคลินิกก็ไม่ได้แย่นะครับ ถ้าไม่นับอุบัติเหตุตอนนั้น ผมก็ยังโอเคกับมันอยู่”
“เออ ๆ ฉันจำได้ วันนั้นหมอควอนโทรหาคนโน้นคนนี้ไปหมด แม้แต่ฉันก็ด้วย เขาโทรหาฮันซลด้วยนี่” ซอกมินหัวเราะ “เออใช่ แล้วนายได้ติดต่อเขาอยู่ไหม?”
“ฮันซล? เออ ผมยังอยู่กับเขานะ”
“จริง?” คนอายุมากกว่าเอ่ยถามอย่างไม่เชื่อ
“ครับ”
“สี่ปีแล้ว”
“อา ใช่ครับ” ซึงกวานมองปฏิกิริยาของรุ่นพี่หนุ่มแล้วหัวเราะ “ฮยองดูตกใจนะ”
“เอาจริงคือฉันกลัวนายโดนไล่ตะเพิดตั้งแต่วันที่ฉันพานายไปหาเขาแล้วด้วยซ้ำ จีซูฮยองยังด่าฉันเลยที่แนะนำให้นายไปอยู่กับน้องชายเขาน่ะ”
“แต่ฮยองก็ยังแนะนำให้ผมอยู่ดี”
“เอ้า! ที่พักตรงนี้มันดีจริง ๆ นะ นายก็เห็น แถมตัวนายก็ดูน่าจะเข้ากับเขาได้ ไม่มีใครจะกล้าใจร้ายกับบู ซึงกวานหรอก จริงไหม?”
“ก็มีนะครับ เมื่อปีก่อนก็เกือบย้ายออกเหมือนกันนะครับ”
“อ้าว ทะเลาะกันเหรอ?”
“ครับ... แต่ตอนนี้โอเคแล้วนะครับ ไม่มีปัญหาอะไรแล้ว”
“ดีแล้วล่ะ เห็นนายสบายดี ฉันก็ดีใจ หน้าตาสดใสขึ้นด้วย เรื่องทรอม่าคงจะดีขึ้นแล้วสิท่า”
ซึงกวานยิ้ม
“ผมไม่ได้ฝันแบบนั้นมานานแล้วครับฮยอง ไม่ได้ทานยาแล้วด้วย”
“ดีใจด้วยซึงกว— อ้าว ฮันซล หวัดดี”
ชายหนุ่มเลิกคิ้วระหว่างหันไปมองคนที่เพิ่งบอกเขาว่าจะไปหาซื้อหนังสือสักเล่มสองเล่มและสีน้ำมัน คนที่เพิ่งบอกเขาว่า ‘เจอกันที่ห้อง’ ... สลับกับสีหน้าตลก ๆ ของซอกมิน
“อยากกินอะไรไอ้น้องชาย เดี๋ยวฉันเลี้ยงเอง” หลังจากตั้งสติได้ ซอกมินจึงสั่งโน้่นสั่งนี่มาเพิ่ม ก่อนที่บทสนทนาแสนเคอะเขินค่อย ๆ ดำเนินต่อไปจนคนอายุมากที่สุดหมดแรงจะยื้อ ระคนทนความอึดอัดไม่ไหว จึงขอตัวไปทำธุระสักที่ในอีกไม่กี่นาทีต่อมา
ดวงตากลมมองคนที่เดินข้างกายตน เวอร์น่อน หรือชเว ฮันซล ลูกครึ่งอเมริกันเกาหลี ผู้ชายที่สูงกว่าเขาไม่กี่เซน อายุน้อยกว่าไม่กี่เดือน อาจารย์สอนศิลปะที่ค่อนข้างรักความเป็นส่วนตัวและมีอิสระในชีวิตสูง(มาก) นิสัยน่ารำคาญ เอาแต่ใจ ดูไม่น่าคบค้าเท่าไร คนที่เขาตั้งใจว่าใช้ชีวิตร่วมชายคาด้วยในระยะเวลาสั้น ๆ
แต่ก็นั่นแหละนะ สิ่งที่เขาคาดหวังมักจะไม่ตรงกับสิ่งที่เขาต้องเจอในความเป็นจริงอยู่แล้ว
“วันนี้เป็นแบบให้ฉันด้วยนะ”
อืม เยี่ยมจริง ๆ
End.
* Johann Sebastian Bach เป็นนักประพันธ์ดนตรีชาวเยอรมัน แปะผลงานของเขาเผื่ออยากฟังกัน
** Post Traumatic Stress Disorder (PTSD) เป็นโรคที่เกิดความผิดปกติทางจิตใจหลังจากผ่านเหตุการณ์เลวร้ายในชีวิตมา กรณีของซึงกวานในเรื่องนี้คือสงครามและการสูญเสียนะคะ
◍ ◍ talk with me free wifi :
- อารมณ์อยากแต่งฟิคกลับมาแล้ว มาพร้อมกับเรื่องใหม่แบบเขียนใหม่เลย เย้เฮ้
- ได้แรงบันดาลใจนิดหน่อยจาก Silver Lining Playbook กับเพลงข้างบน ชอบความที่คนซึ่งขาดในบางสิ่งสองคนมาเจอกันและเติมเต็มซึ่งกันและกันมากๆ บวกกับอยากแต่งอะไรที่เนิบนาบด้วย ไม่รู้ว่าจะน่าเบื่อมั้ย แต่อยากเขียนมากๆ โทนหนังรักยุโรป 55555
- อยากเขียนฝั่งน้องฮันซลมาก แต่น่าจะเขียนยาก 5555 คือเราวางคาร์เขาเป็น asexual มาตั้งแต่ต้น จนกระทั่งมาเจอน้องบูเนี่ยแหละ ที่ชอบเข้าไปหาเขาที่ห้องนอนหรือห้องน้ำ ไม่ได้ไม่คิดอะไรนะ คิดตลอดเลย 55555 ดังนั้น ฝั่ง slow burn ก็คือน้องบูนั่นเอง
- ดูแลรักษาสุขภาพกันด้วยนะคะ
- มีอะไรติชมกันได้ที่ #kurofics ในทวิตภพหรือจะคอมเมนต์ตรงนี้ก็ได้นะคะ น้อมรับฟังเสมอ
- enjoy reading ♡
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in