เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
my writings.kurobakana
[SF] Call me crazy, baby it’s true.


  • Theme: Slow Burn




    Pairing: Chwe Hansol x Boo Seungkwan


    Rating: PG15


    Warning:

    - มีประเด็นเกี่ยวกับ PTSD ของทหารแบบเบาบาง

    - เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องจริงแต่อย่างใด โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน



    ◍ ◍ แนะนำให้ฟังเพลง Silver Lining (Crazy ‘bout you) ของ Jessie J














    Call me crazy,

    Baby it’s true.







    สำหรับอดีตแพทย์ทหารอย่างบู ซึงกวาน เขาค่อนข้างคุ้นชินกับการใช้ชีวิตที่นาน ๆ ทีจะมีเวลาเป็นส่วนตัวสักครั้ง ย้อนหลับไปสมัยที่เขาเรียนจบใหม่ ๆ และได้รับคำสั่งให้ประจำการที่ค่ายทหารแห่งหนึ่ง ชีวิตในตอนนั้นมีหลายหลากความรู้สึกสลับสับเปลี่ยนกันไป ไม่ว่าจะความอึกทึกแสนวุ่นวาย ความหวาดกลัว เสียงร้องไห้คร่ำครวญ หรือแม้กระทั่งความสิ้นหวัง... แน่นอนว่าสงครามเวรตะไลนั่นทิ้งบาดแผลเหวอะหวะไว้ให้เขา อย่างเช่น รอยกระสุนน่าเกลียดตรงต้นขาข้างซ้าย ประสิทธิภาพในการเดินที่แย่ลงจนน่าสมเพช และฝันร้ายที่หลอกหลอนเขาทุกครั้งยามหลับตาลง

     


    ด้วยเหตุนี้ ชายหนุ่มจึงตัดสินใจลาออกจากงานที่เขาหลงผิดมาตลอดว่ามีเกียรตินักหนา และเริ่มต้นชีวิตใหม่... แม้อายุอานามจะปาไปสามสิบกว่าปีแล้ว


    แต่ซึงกวานอาจหลงลืมไปอย่างหนึ่ง

     


    ว่าสิ่งที่เขาคาดหวังมักจะไม่ตรงกับสิ่งที่เขาต้องเจอในความเป็นจริง






    1


    ย้อนกลับไปเมื่อต้นปีก่อน ครั้งแรกที่ซึงกวานยอมทิ้งชีวิตสันโดษที่บ้านเกิดเพื่อมาอยู่อะพาร์ตเมนต์ขนาดใหญ่ใจกลางกรุงโซล


    ยอมทิ้งในสิ่งที่คิดมาตลอดว่าดีกับเขา แต่ไม่เลย การอยู่ตัวคนเดียวในขณะที่จิตใจไม่ค่อยจะสู้ดีนักเป็นสิ่งที่ไม่ควรทำอย่างยิ่ง จิตแพทย์เจ้าของไข้เคยพูดเช่นนี้กับเขา ประจวบเหมาะกับอี ซอกมิน รุ่นพี่สมัยเรียนได้แนะนำที่พักราคาไม่แพงนักใจกลางกรุงโซล โดยมีอาจารย์สอนศิลปะคนหนึ่งที่ค่อนข้างรักความเป็นส่วนตัวและมีอิสระในชีวิตสูงอาศัยอยู่ก่อนนั้นแล้ว



    ‘ถึงเขาจะดูแปล— เออ นั่นแหละ ฉันว่าพวกเธอน่าจะคุยกันรู้เรื่องนะ อายุพอ ๆ กันด้วย’ ซอกมินเอ่ยกับเขาแบบนั้น




    ระหว่างที่เขาจัดของให้เข้าที่เข้าทาง ประตูห้องก็ถูกเปิดด้วยแรงไม่เบาหนัก ซึงกวานเงยหน้ามองใบหน้าของผู้มาใหม่อย่างงงงวย


    “ห้อง... โอเคดีไหม?” ชายหนุ่มหน้านิ่ง(แต่หัวยุ่งเหยิงเสียเหลือเกิน)พูดกับเขาด้วยประโยคประมาณนี้เป็นครั้งที่สิบแล้วเห็นจะได้


    “ดีมาก ๆ เลยครับ”


    แล้วเขาก็ตอบประมาณนี้ไปห้าครั้ง ‘ผมชอบมากเลยครับ’ ไปสามครั้ง ‘เหมือนจะไม่มีปัญหาอะไรนะครับ’ และ ‘ห้องกว้างดีนะครับ’ ไปคนละครั้ง



    “อืม”



    ดวงตากลมมองคนตรงหน้าที่มองรอบ ๆ ห้องของเขา พร้อมกับบันทึกในใจว่า เวอร์น่อน หรือชเว ฮันซลคนนี้... น่ารำคาญ


    ดูสิ ยังไม่ทันไรก็ก้าวเข้ามาถึงกลางห้องของเขาแล้ว


    “เออ มีอะไรรึเปล่าครับ?” 



    เงียบ...



    ซึงกวานขมวดคิ้วเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายไม่ตอบ หนำซ้ำยังไม่หยุดกวาดสายตาไปรอบ ๆ ห้องของเขาแต่อย่างใด


    ถ้าเป็นคนอื่นคงจะถามตรง ๆ ไปแล้วว่า ‘รู้จักคำว่ามารยาทไหม?’


    โชคดีเหลือเกิน... ที่ซึงกวานไม่ใช่คนแบบนั้น



    เขาเลยลงมือจัดของต่อ


    “นี่ก็จะสี่โมงแล้ว คุณไม่หิวเหรอ?”


    “ยังนะครับ”


    “อืม แต่ผมหิว...”


    เยี่ยม อดีตแพทย์ทหารคิดในใจแล้วเงยหน้าขึ้นมามองชายหนุ่มลูกครึ่งอย่างไม่เข้าใจเป็นครั้งที่เท่าไรแล้วไม่รู้ของวัน


    “ครับ?”


    “เห็นว่าขาซ้ายของคุณไม่ค่อยดี ลุก ๆ นั่ง ๆ แบบนั้นตั้งแต่เช้าก็คงไม่โอเคเท่าไร” เขามองมือที่ยื่นมาตรงหน้าสลับกับหน้าของอีกฝ่าย คล้ายกับว่าเขาโดนสะกดจิต จึงยื่นมือให้รูมเมทหมาด ๆ ทั้งที่อยากจะถามถึงความเชื่อมโยงระหว่างขาที่เจ็บของเขากับความอยากอาหาร แล้วไหนจะเรื่องที่รู้ว่าขาซ้ายเขามีปัญหานี่อีก “ผมรู้จักร้าน ๆ หนึ่ง เจ้าของร้านเป็นคนรู้จักของคุณนายคิม รสชาติไม่แย่เท่าไรด้วย”



    ซึงกวานมองตามแผ่นหลังของอาจารย์หนุ่มที่เดินไปหยิบโอเวอร์โค้ทสีเข้มบนราวมาสวมใส่เสร็จสรรพ ก่อนจะหันมาเลิกคิ้วให้เขา



    “รออะไรอยู่ล่ะ?”



    เขาจะทำอย่างไรได้ นอกจากเดินตามอีกฝ่ายไป





    2


    “ซึงกวาน!”


    รูมเมทสองสัปดาห์ตะโกนดังลั่น และตอนนี้เจ้าตัวก็ได้ยืนอยู่ในห้องนอนของเขาแล้ว


    ซึ่งเขาเองก็เพิ่งจะเดินออกจากห้องน้ำมา



    “บ้าเอ้ย!” ร่างสมส่วนรีบทบชุดคลุมอาบน้ำจนมั่นใจว่าปกปิดร่างกายของเขาจนมิดชิด ดวงตากลมตวัดมองเพื่อนร่วมชายคาอย่างไม่พอใจ


    “ผมบอกกี่ครั้งแล้ว ฮันซล ห้องผมไม่ใช่สวนสาธารณะ นึกจะเข้าก็เข้ามาเลยแบบนี้ ถึงผมจะเป็นผู้ชาย แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าคุณจะก้าวเข้ามาในพื้นที่ส่วนตัวของผมได้ตามใจชอบนะ”


    คนถูกตำหนิเลิกคิ้ว ก่อนจะทิ้งตัวบนโซฟา


    “ก็เรื่องนี้ด่วนจริง ๆ”


    “ไม่ ฮันซล อย่าทำหน้าแบบนั้นด้วย มันทำให้ผมคิดว่าคุณไม่รู้สึกอะไรกับสิ่งที่ผมพูดเลย”


    “เธอไม่คิดบ้างเหรอว่า—”


    ซึงกวานกลอกตาอย่างเหนื่อยใจ เขาตัดสินใจเดินไปดันคนตัวสูงกว่าจนอีกฝ่ายพ้นธรณีประตูห้องนอนของเขา


    “ซึงกวานอา—”


    “ผมขอแต่งตัวก่อน”


    “เปลี่ยนใหม่เหรอ?”


    คนถูกทักขมวดคิ้ว “อะไรนะ?”


    “แชมพู?” คนตัวสูงกว่างึมงำขณะส่งเสียงฟุดฟิดบนผมที่เปียกหมาด ๆ ของเขา ก่อนจะขยับมาที่ซอกคอ “ไม่สิ ครีมอาบน้ำ กลิ่นซีตรัสเหรอ หอมดีนี่ วันหลัง—”


    ซึงกวานปิดประตูใส่หน้าอีกฝ่ายทันที





    3


    ซึงกวานหลับตาลงขณะเอนกายอ่างอาบน้ำ ช่วงเวลาแสนสงบเช่นนี้หาไม่ได้ง่าย ๆ นับตั้งแต่วันที่เขาได้หารค่าเช่าอะพาร์ตเมนต์คนละครึ่งกับชเว ฮันซล



    เพราะวันนี้อาจารย์หนุ่มมีตารางต้องไปสอนที่มหาวิทยาลัย กว่าจะทำโน่นนี่นั่นเสร็จก็คงค่ำ ๆ เขาที่ขอลาครึ่งวันจึงมีเวลาแช่น้ำอย่างสงบไปยา—



    “อยู่นี่เอง”



    ซึงกวานถอนหายใจ เขาคร้านที่จะบ่นเรื่องพื้นที่ส่วนตัวกับคน ๆ นี้แล้ว เลยตั้งความหวังว่าสักวันฮันซลจะเข้าใจและยอมผละไปเอง



    นั่นแหละ เขาหวังมากเกินไป



    “ออกไป ฮันซล”


    เงียบ


    “ผมกำลังอาบน้ำอยู่”


    เงียบ



    “เลิกจ้องผมได้แล้ว”



    เงียบ



    “ชเว ฮันซล”


    “ว่า?“


    “ฮันซล!”


    “อืม เรื่องอะไรล่ะ?” ใบหน้าหล่อเหลามองเขาสลับกับเสื้อผ้าในตะกร้าตรงมุมห้อง หากสังเกตดี ๆ จะเห็นคราบเลือดบนเสื้อเชิ้ตสีฟ้าที่เขาเพิ่งถอดไปเมื่อครู่ใหญ่ ๆ สายตาของฮันซลยังคงจับจ้อง ไม่ได้คาดคั้น แต่เว้าวอน รอคอยสิ่งที่จะหลุดจากปากของเขา



    เขาคงใจดีกับคน ๆ นี้เกินไปอย่างที่คุณนายชเวบอกจริง ๆ



    “มัน... ไม่ใช่เรื่องของคุณ”



    “ฉันชอบยุ่งเรื่องคนอื่นด้วยสิ”


    ด้วยเพราะอยู่ด้วยกันมากว่าสามเดือน ทำให้ซึงกวานพอรู้นิสัยของคนที่ยืนค้ำหัวเขาบ้าง ฮันซลไม่ใช่คนที่อ่านยากอย่างที่คิด ตรงกันข้าม ผู้ชายคนนี้กลับอ่านออกง่ายมาก เหมือนเด็ก



    “ผมคิดว่าคุณรู้แล้ว”



    “ก็ใช่ว่าสิ่งที่ฉันได้ยินมาจะถูกเสมอไป” 



    ดื้อด้าน ซึงกวานคิด ก่อนจะถอนหายใจอีกครั้ง



    “ฮันซล”



    เงียบ



    “ผม... อยากฟังคุณเล่นไวโอลิน”



    “เพลง?”



    “อะไรก็ได้”



    อาจารย์หนุ่มยังคงมองเขาอยู่



    “ผมฟังได้หมด”


    ฮันซลตอบรับในลำคอ แต่ก็ยังไม่ละสายตาจากเขาอยู่ดี ผ่านไปหลายนาทีก่อนที่จะยอมเดินออกจากห้องน้ำ(ของเขา)ไป


    คืนนั้น ซึงกวานได้ยินเพื่อนร่วมห้องเล่นไวโอลิน น่าจะเป็นสักบทประพันธ์ของ Bach* ยันรุ่งสาง





    4



    ฮันซลชื่นชอบงานศิลป์เกี่ยวกับร่างกายมนุษย์เป็นอย่างมาก ไม่ว่าจะเป็นงานวาดหรืองานปั้น



    ย้อนกลับไปครั้งแรกที่เจอหัวกะโหลกในตู้เย็น ซึงกวานจำได้ดีว่าเขาแทบเสียสติ ไม่ใช่เพราะหวาดกลัว(เขาค่อนข้างชินกับโครงสร้างร่างกายมนุษย์ที่ไม่มีชีวิตแล้วระดับหนึ่ง) แต่เพราะฮันซลวางมันบนชั้นที่เขาเก็บของสดไว้



    ความตั้งใจที่จะทำอาหารในเช้าวันนั้นถูกปาทิ้งลงถังขยะทันที


    แม้จะอยู่ด้วยกันมาเกือบปีหนึ่งแล้ว แพทย์หนุ่มก็ไม่อาจทำใจให้ชินได้ ก็ยังดีที่อีกฝ่ายเลือกเปลี่ยนที่วางเป็นชั้นเกือบล่างสุด และตอนนี้เขาพอจะทำใจหยิบเบียร์กระป๋องที่วางอยู่ไม่ห่างกันมาเปิดแล้วยกขึ้นดื่มได้โดยตะขิดตะขวงใจ



    “ดื่มแต่เช้า?”



    เขาหันไปหาเจ้าของประโยคนั้น เห็นอีกฝ่ายกำลังพ่นควันสีขุ่นอยู่ข้างหน้าต่างบานใหญ่ ผมเผ้ารุงรังยังคงเป็นเอกลักษณ์ของผู้ชายคนนี้เสมอ ใบหน้าหล่อเหลาดูอิดโรย คงเป็นเพราะโต้รุ้งวาดรูปอะไรสักอย่างอยู่กระมัง



    “สูบแต่เช้า?”



    ฮันซลขยี้บุหรี่ในมือกับที่เขี่ยบุหรี่ข้าง ๆ นั้น และยิ้มให้เขา ชายหนุ่มเห็นอย่างนั้นจึงทิ้งกระป๋องเบียร์ที่ตนยังดื่มไม่ถึงครึ่งด้วยเช่นกัน



    บรรยากาศยามเช้าราบเรียบเหมือนทุก ๆ วันที่ผ่านมา หากแต่วันนี้เป็นวันหยุดของแพทย์หนุ่ม ขณะทำมื้อเช้าง่าย ๆ ซึงกวานก็วางแผนการพักผ่อนตามประสาคนรักสันโดษเงียบ ๆ ในใจ



    “ซึงกวาน”



    เจ้าของหันไปตามเสียงเรียก แต่ไม่ทันจะขานรับหรือเอ่ยประโยคคำถามใดออกไป น้ำเสียงทุ้มต่ำติดเนื่อย ๆ ก็เอ่ยออกมาทีเดียวจบ



    “วันนี้ว่างใช่ไหม ช่วยเป็นแบบให้หน่อยสิ”



    เยี่ยม






    5


    แม้อาการ PTSD** ของเขาจะดีขึ้นบ้าง จากที่ฝันร้ายมาเยือนทุกคืนก็ค่อย ๆ เปลี่ยนเป็นสองหรือสามครั้งต่ออาทิตย์ จนกระทั่งเหลือแค่นาน ๆ ครั้ง แต่นั่นก็ขึ้นอยู่กับสภาพจิตใจของเขาในช่วงนั้นด้วย



    เขาไม่ได้ฝันถึงมันมาเกือบสองเดือนแล้ว



    แต่คืนนี้ไม่เป็นเช่นนั้น อาจเป็นเพราะเมื่อเย็นที่ผ่านมาเขาทะเลาะกับฮันซล ซึงกวานจึงถูกฝันร้ายปลุกให้สะดุ้งตื่นขึ้นมาในกลางดึก



    ภาพในความฝันชัดเจนเกินไป แม้จะรู้สึกตัวแล้ว เขายังคงได้ยินเสียงร้องโหยหวนดังระงมผสานเสียงห่ากระสุนดังลั่น เขาพยายามอย่างหนักที่จะช่วยยื้อลมหายใจของทหารหนุ่มคนนั้น ทุกจังหวะที่ปั้มหัวใจ มือทั้งสองถูกย้อมอาบไปด้วยลิ่มเลือดสีสด ครั้งแล้วครั้งเล่า เขาพยายามไม่สนใจดวงตาเบิกโพลงของนายทหารที่จ้องมองมายังเขาขณะที่เขาปั้มหัวใจอย่างบ้าคลั่ง ทุกอย่างช่างชัดเจน ภาพความล้มเหลวของเขาช่างชัดเจน... ชายหนุ่มพยายามกลั้นเสียงสะอื้นไห้ พลางไขว่คว้าร่างที่อยู่ข้างกายด้วยความเคยชิน แต่กลับพบเพียงความว่างเปล่า



    เขาได้ยินเสียงฝีเท้าหนัก ๆ เดินตรงมาที่ห้องของเขา เสียงสบถที่คุ้นเคยเต็มไปด้วยความไม่พอใจที่ไม่สามารถเปิดประตูเข้ามาได้ดังใจคิดเพราะเขาล็อคประตูไว้ ซึงกวานเกือบลุกไปเปิดแล้ว หากไม่ได้ยินเสียงไขกุญแจดังขึ้นมาก่อน



    ทุกอย่างเกิดขึ้นรวดเร็วหลังจากนั้น ผู้มาใหม่ถือวิสาสะรวบร่างของเขาไปกอด กระซิบคำปลอบประโลมแสนแข็งทื่ออยู่ข้างหูครั้งแล้วครั้งเล่า ซึงกวานลืมทุกความบาดหมางและถ้อยคำร้ายกาจเมื่อเย็นวาน เขากระชับร่างของอีกคนไว้และร้องไห้ออกมาอย่างไม่อาย




    เมื่อตื่นขึ้นมาอีกครั้ง เขาเห็นดวงตาแดงก่ำของฮันซล เห็นแววตาที่เต็มไปด้วยความเจ็บปวดทอดมองมายังเขา ขอบตาดำคล้ำบอกเขาเป็นอย่างดีว่าเมื่อคืนชายหนุ่มคนนี้ไม่ได้นอนเลย



    “ผมขอโทษที่ทำให้คุณ—”



    “ฉันขอโทษ”



    ขอบตาของซึงกวานร้อนผ่าว ก่อนจะหลับตาลงยามอีกฝ่ายขยับใกล้จนหน้าผากของเขาทั้งสองแนบชิดกัน



    “ขอโทษ... ฉันขอโทษ...”



    คนตัวเล็กกว่าเอื้อมไปจับมือสั่นเทาของอีกคนหนึ่งไว้



    “...ขอโทษเหมือนกัน”






    0



    “เป็นหมอในคลินิกก็ไม่ได้แย่นะครับ ถ้าไม่นับอุบัติเหตุตอนนั้น ผมก็ยังโอเคกับมันอยู่”



    “เออ ๆ ฉันจำได้ วันนั้นหมอควอนโทรหาคนโน้นคนนี้ไปหมด แม้แต่ฉันก็ด้วย เขาโทรหาฮันซลด้วยนี่” ซอกมินหัวเราะ “เออใช่ แล้วนายได้ติดต่อเขาอยู่ไหม?”



    “ฮันซล? เออ ผมยังอยู่กับเขานะ”



    “จริง?” คนอายุมากกว่าเอ่ยถามอย่างไม่เชื่อ



    “ครับ”



    “สี่ปีแล้ว”



    “อา ใช่ครับ” ซึงกวานมองปฏิกิริยาของรุ่นพี่หนุ่มแล้วหัวเราะ “ฮยองดูตกใจนะ”



    “เอาจริงคือฉันกลัวนายโดนไล่ตะเพิดตั้งแต่วันที่ฉันพานายไปหาเขาแล้วด้วยซ้ำ จีซูฮยองยังด่าฉันเลยที่แนะนำให้นายไปอยู่กับน้องชายเขาน่ะ”



    “แต่ฮยองก็ยังแนะนำให้ผมอยู่ดี”



    “เอ้า! ที่พักตรงนี้มันดีจริง ๆ นะ นายก็เห็น แถมตัวนายก็ดูน่าจะเข้ากับเขาได้ ไม่มีใครจะกล้าใจร้ายกับบู ซึงกวานหรอก จริงไหม?”



    “ก็มีนะครับ เมื่อปีก่อนก็เกือบย้ายออกเหมือนกันนะครับ”



    “อ้าว ทะเลาะกันเหรอ?”



    “ครับ... แต่ตอนนี้โอเคแล้วนะครับ ไม่มีปัญหาอะไรแล้ว”



    “ดีแล้วล่ะ เห็นนายสบายดี ฉันก็ดีใจ หน้าตาสดใสขึ้นด้วย เรื่องทรอม่าคงจะดีขึ้นแล้วสิท่า”



    ซึงกวานยิ้ม 



    “ผมไม่ได้ฝันแบบนั้นมานานแล้วครับฮยอง ไม่ได้ทานยาแล้วด้วย”



    “ดีใจด้วยซึงกว— อ้าว ฮันซล หวัดดี”



    ชายหนุ่มเลิกคิ้วระหว่างหันไปมองคนที่เพิ่งบอกเขาว่าจะไปหาซื้อหนังสือสักเล่มสองเล่มและสีน้ำมัน คนที่เพิ่งบอกเขาว่า ‘เจอกันที่ห้อง’ ... สลับกับสีหน้าตลก ๆ ของซอกมิน



    “อยากกินอะไรไอ้น้องชาย เดี๋ยวฉันเลี้ยงเอง” หลังจากตั้งสติได้ ซอกมินจึงสั่งโน้่นสั่งนี่มาเพิ่ม ก่อนที่บทสนทนาแสนเคอะเขินค่อย ๆ ดำเนินต่อไปจนคนอายุมากที่สุดหมดแรงจะยื้อ ระคนทนความอึดอัดไม่ไหว จึงขอตัวไปทำธุระสักที่ในอีกไม่กี่นาทีต่อมา



    ดวงตากลมมองคนที่เดินข้างกายตน เวอร์น่อน หรือชเว ฮันซล ลูกครึ่งอเมริกันเกาหลี ผู้ชายที่สูงกว่าเขาไม่กี่เซน อายุน้อยกว่าไม่กี่เดือน อาจารย์สอนศิลปะที่ค่อนข้างรักความเป็นส่วนตัวและมีอิสระในชีวิตสูง(มาก) นิสัยน่ารำคาญ เอาแต่ใจ ดูไม่น่าคบค้าเท่าไร คนที่เขาตั้งใจว่าใช้ชีวิตร่วมชายคาด้วยในระยะเวลาสั้น ๆ 



    แต่ก็นั่นแหละนะ สิ่งที่เขาคาดหวังมักจะไม่ตรงกับสิ่งที่เขาต้องเจอในความเป็นจริงอยู่แล้ว




    “วันนี้เป็นแบบให้ฉันด้วยนะ”



    อืม เยี่ยมจริง ๆ









    End.












    Johann Sebastian Bach เป็นนักประพันธ์ดนตรีชาวเยอรมัน แปะผลงานของเขาเผื่ออยากฟังกัน

    ** Post Traumatic Stress Disorder (PTSD) เป็นโรคที่เกิดความผิดปกติทางจิตใจหลังจากผ่านเหตุการณ์เลวร้ายในชีวิตมา กรณีของซึงกวานในเรื่องนี้คือสงครามและการสูญเสียนะคะ





    ◍ ◍ talk with me free wifi :


    - อารมณ์อยากแต่งฟิคกลับมาแล้ว มาพร้อมกับเรื่องใหม่แบบเขียนใหม่เลย เย้เฮ้


    - ได้แรงบันดาลใจนิดหน่อยจาก Silver Lining Playbook กับเพลงข้างบน ชอบความที่คนซึ่งขาดในบางสิ่งสองคนมาเจอกันและเติมเต็มซึ่งกันและกันมากๆ บวกกับอยากแต่งอะไรที่เนิบนาบด้วย ไม่รู้ว่าจะน่าเบื่อมั้ย แต่อยากเขียนมากๆ โทนหนังรักยุโรป 55555


    - อยากเขียนฝั่งน้องฮันซลมาก แต่น่าจะเขียนยาก 5555 คือเราวางคาร์เขาเป็น asexual มาตั้งแต่ต้น จนกระทั่งมาเจอน้องบูเนี่ยแหละ ที่ชอบเข้าไปหาเขาที่ห้องนอนหรือห้องน้ำ ไม่ได้ไม่คิดอะไรนะ คิดตลอดเลย 55555 ดังนั้น ฝั่ง slow burn ก็คือน้องบูนั่นเอง


    - ดูแลรักษาสุขภาพกันด้วยนะคะ


    - มีอะไรติชมกันได้ที่ #kurofics ในทวิตภพหรือจะคอมเมนต์ตรงนี้ก็ได้นะคะ น้อมรับฟังเสมอ



    - enjoy reading ♡







Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in