เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
To my shame ซึ่งต้องละอาย #fictober2020phyaphal
02 oct - ปัจจุบัน
  • "บ้านเลขที่ 10 นะ"  รูบี้พูดแม้จะยังไม่เงยหน้าขึ้นจากเอกสารบนตัก ผมกวาดตามองตรอกถนนคับแคบที่ไม่เอื้อให้รถสองคันสวนผ่านกันได้ ก่อนจะบังคับรถให้ชะลอลงเมื่อรถจักรยานขับสวนมา "ได้ยินใช่ไหมยาสมิน"

    "ได้ยินครับ" ผมกล่าวในลำคอ สมาธิยังคงเพ่งอยู่กับการจราจรวัดใจเบื้องหน้า

    "นายยังใหม่อยู่มาก วันนี้ฉันจะสัมภาษณ์เอง แค่นั่งฟังก็พอ" เธอกล่าวเมื่อเรามาถึงหน้าบ้านเลขที่ 10

    สังกะสีผุผังเป็นรูจนน่าสงสัยว่าหากเป็นช่วงฤดูฝนคนในบ้านจะทำอย่างไร รถของผมถูกนำไปจอดเทียบริมฟุตบาท อดนึกไม่ได้ว่าไม่ควรนำมันมาให้เกะกะด้วยจริง ๆ

    เธอเคาะประตูบ้านเบา ๆ อาจเพราะกลัวมันถล่มลงมา ภายในบ้านเงียบกริบ พวกเราหันมามองหน้ากัน แล้วเธอก็เป็นฝ่ายตะโกนป้องปาก "มีใครอยู่ไหมคะ พวกเรามาจากสำนักข่าวเดลี่โพสต์ค่ะ"

    ผมได้ยินเสียงฝีเท้าเบากริบดังจากข้างใน ประตูถูกแง้มเปิดออก ผู้เป็นเจ้าของบ้านคือชายวัยกลางคนที่ใบหน้าเริ่มมีร่องรอยความเหนื่อยล้าปนเปื้อนด้วยความเฉยชา

    "คุณโธเบียสใช่ไหมคะ" เขาพยักหน้าแล้วเดินตรงเข้าไปด้านใน มองเมินฝ่ามือของรูบี้ที่ยื่นออกมาโดยสิ้นเชิง

    บ้านชั้นเดียว พื้นปูนเย็นเฉียบ ภายใต้แสงสลัวมีข้าวของถูกวางอย่างระเกะระกะ

    คุณโธเบียสทิ้งตัวลงนั่งกับพื้น ไม่มีเก้าอี้แม้สักตัว รูบี้นั่งลงตรงข้าม ตามมาติด ๆ ก็คือผม

    "ดิฉันรูบี้นะคะ" เธอแนะนำตัวอย่างไม่เป็นทางการ ปรายตามองโธเบียสที่แลดูเหม่อลอยเล็กน้อย แล้วกล่าวต่อ "ขอแสดงความเสียใจด้วยนะคะ"

    โธเบียสดึงตัวเองกลับมา เขามองหน้ารูบี้ จากนั้นจ้องในตาผม แววตาของดำดิ่งไม่ต่างอะไรจากบ่อน้ำไร้ก้น

    "ช่วยเล่าเหตุการณ์ในวันนั้นให้ฟังทีได้ไหมคะ" รูบี้มองข้ามไหล่โธเบียสไปยังแผ่นกระดาษที่ปรากฏร่องรอยของการเหยียบย่ำ

    สีเทียนสดใสถูกลากเป็นสองมนุษย์ก้างปลา คนหนึ่งสูงใหญ่ คนหนึ่งเล็กจ้อย

    โธเบียสมองตาม ดวงตาของเขาแดงก่ำ สันกรามถูกขบจนนูนเด่น เขาเอ่ยดสียงเบาหวิวเสียดใจ "เบลามี..."

    "โธเบียส" รูบี้เรียกสติ

    "ผมไม่เหลืออะไรแล้ว ไม่เหลืออย่างแท้จริง"

    รูบี้มองเขา ไม่ปรากฏความสงสารอยู่ในแววตา "ทำไมคุณถึงพาลูกไปตาย"

    ความเงียบงันครอบงำไปทั่วบ้าน

    "ผมไม่อยากให้ลูกต้องเติบโตบนโลกอันแสนเน่าเฟะใบนี้ คงจะดีกว่าถ้าได้ฝังเขาไว้ในในทุ่งดอกไม้ ให้เบลามีได้มีแต่ความสุขไปทั่วทั้งชีวิต"

    "เพราะอะไรถึงทำให้คุณอยากตาย"

    "ตั้งแต่มีโรคระบาดนั่น ผมถูกไล่ออกจากงาน เงินเก็บทั้งหมดของผมถูกส่งลงไปในขวดสุรา ความสุขฉาบฉวยอย่างเดียวที่ผมจะมีได้ในแต่ละวัน เมียของผม... เธอคงทนไม่ไหว จึงหอบข้าวของหนีไป ปล่อยเบลามีไว้กับผมเพียงลำพัง"

    น้ำเสียงของเขา ใบหน้าของเขา ทุกอย่างบนตัวเขาบีบกลั่นความน่าอดสูออกมา ไหล่ของเขาสั่นไหว และโธเบียสก็เอามือกุมใบหน้า "ความหวังสุดท้ายของผมคือเงินเยียวยา... แต่มันไม่มาถึง ผู้นำที่ประชาชนไม่ได้เลือกสูบรีดผมจนตัวเขาฟูฟ่องไปด้วยเงินปึกใหญ่ ในขณะที่ผม... มองไม่เห็นทางออก"

    "ค่ำคืนนั้นไร้แสงดาว จิตใจของผมสงบนิ่ง เบลามีในอ้อมกอดผมเองก็เช่นกัน ดวงตาของเขาสุกสกาวน่ามองยิ่งกว่าสิ่งใด พวกเราทิ้งตัวลงบนผืนน้ำ แทรกซึมเป็นหนึ่งเดียวกับธรรมชาติ"

    โธเบียสหัวเราะเย้ยหยัน "เบลามีได้รับการปลดปล่อยแล้ว แต่ผมถูกฉุดรั้งขึ้นมาอีกครั้ง" เขาส่ายหน้า "อย่างน้อยเบลามีก็ปลอดภัย โลกใบนี้ไม่คู่ควรกับเขาจริง ๆ"

    ผมสังเกตได้ว่ารูบี้ดูแข็งกร้าวขึ้น เธอถามคำถามสุดท้าย "คุณเคยสำนึกผิดไหม"

    "ไม่มีวัน"


    "ผู้ชายคนนั้นมันเห็นแก่ตัว" เธอกล่าวขึ้นขณะดึงเข็มขัดนิรภัยเสียบเข้าสลัก รูบี้ดูหัวเสียเป็นอย่างมาก

    "เหรอครับ" ผมกลับเห็นต่าง "คุณไม่คิดว่าเขาทำเพื่อลูกเหรอ" ถ้าหากมีคนบอกว่าโลกใบนี้กำลังจะล่มสลาย สิ่งแรกที่ผมคิดจะทำคือโห่ร้องให้ก้องฟ้า

    "ยาสมิน" เธอเรียกชื่อผม ทั้งยังเอียงใบหน้ามามองเขม็ง "เขาทำเพื่อตัวเอง โธเบียสฆ่าตัวตาย และเขาก็พรากชีวิตเบลามีไปด้วยเพื่อจะได้ไม่รู้สึกผิดบาปในโลกหน้า"

    ผมเงียบไปอึดใจ "เรื่องนั้นให้โธเบียสเป็นคนตอบคงจะดีกว่า"

    "เบลามียังเด็ก" เธอมองออกไปด้านนอกหน้าต่าง "โลกใบนี้เลวร้ายก็จริง แต่ใครจะไปรู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้นในอนาคต ชีวิตของเบลามีเป็นของเบลามีแต่เพียงผู้เดียว เขาควรจะเป็นคนได้ตัดสินใจว่าควรจะมีชีวิตอยู่หรือควรตายจากไป"

    "ไม่แน่ว่า... เบลามีตัวน้อยอาจเป็นกุญแจสำคัญที่พลิกผันโลกใบนี้ให้ดีขึ้นก็เป็นได้" เธอเสริม

    สุดท้ายแล้วเรื่องนี้ก็ไม่มีคำตอบที่แน่ชัด เว้นเสียแต่ว่าเบลามีจะฟื้นคืนชีพขึ้นมาจากก้นทะเล

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in