แสงแดดยามเช้าพาดผ่านเข้ามาถึงเตียงนอนแล้วมันทำให้ฉันต้องปรับโฟกัสของสายตาสักครู่เพียงที่จะได้เห็นอะไรชัดเจนขึ้นฉันเฝ้ามองร่างไหวๆที่อยู่หน้ากระจกโต๊ะเครื่องแป้งร่างนั้นชำระร่างกายอย่างสะอาดหมดจด กลิ่นสบู่ และกลิ่นโคโลนอ่อนๆยังอบอวลลอยมาถึงตรงที่ฉันเฝ้ามองอยู่ เขายิ้มจากในกระจกให้เมื่อเห็นฉันแอบมองอยู่ฉันลุกออกจากเตียงเดินตรงไปที่เขาและทำการติดกระดุมเม็ดสุดท้ายให้เขาจุมพิตที่หน้าผากของฉันและโอบกอดฉันไว้ด้วยความรักที่มีให้แก่กัน
-----------------------------------
นิ้วเล็กเรียวไล่ละเลี่ยสัมผัสไปตามแผ่นไม้กระดานที่วางกั้นเป็นกำแพงสูงสูดดมกลิ่นไม้เก่าคร่ำครานั้นอย่างไม่วางวาย ฉันไม่รู้ว่าคนอื่นคิดอย่างไรแต่ฉันคิดว่ามันมีอะไรซ่อนอยู่ในสิ่งเหล่านั้น มีความเก่า มีประวัติมีร่องรอยเมื่อในอดีต มีความอบอุ่น ความรัก ความเสน่หาความกราดเกรี้ยวซ่อนอยู่ กลิ่นไม้ยังหอมติดจมูกอยู่เลยถ้าเราหวนกลับไปอยู่ในอดีตของสัมผัสนั้นได้จะมีความสุขเพียงใดที่ได้ดอมดมกลิ่นนั่น
“กลับได้แล้ว”เสียงใครคนหนึ่งตะโกนเรียกทำให้ฉันออกจากพะวังฉันตัดใจจากสัมผัสนั้นสัมผัสที่ทำให้ฉันเหมือนหลุดเข้าไปอยู่ในโลกที่เป็นอดีตที่ผ่านมาแล้ว
“สักวันฉันจะมีบ้านแบบนี้” ฉันเดินจากบ้านหลังนั้นออกมาที่ถนนเหลียวกลับไปมองแล้วมองอีกอย่างไม่วางตา รถเคลื่อนตัวออกไปช้าๆและลับตาไปจากบ้านทรงไทยโบราณนั้นจนเหลือเพียงแค่หมอกจางๆ
“น่ากลัวจะตาย เก่าก็เก่า วังเวงมาก ถ้าแกซื้อจริงๆนะฉันว่าฉันไม่กล้ามานอนกับแกด้วยหรอก” คนขับรถกล่าว
‘น่ากลัว’ ความน่ากลัวที่ปรุงแต่งมาจากความคิดและจิตใจนั้นมันมีอิทธิพลกับใครหลายๆคนจริงๆบางสิ่งบางอย่างมันเกิดการปลูกฝังในเยาว์วัยที่ทำให้เรากลัว แต่สุดท้ายแล้วพอเราโตขึ้นและพอที่จะรับรู้เหตุและผลของมันเราก็เกิดความเข้าใจขึ้นว่าอันที่จริงแล้วมันก็ไม่ได้น่ากลัวอย่างที่คิดไว้
“แม่อุ้ยเจ้า อันนี้เขาฮ้องว่าอะหยั่งเจ้า” เด็กน้อยหน้าหวานถามเสียงใส
“เขาฮ้องว่าปลาตะเพียน” หญิงชราตอบเด็กน้อย
“มันฮ้องว่าปลา ยะหยั่งบ่าอยู่ในน้ำเจ้า” เด็กน้อยถามต่อหญิงชรายิ้มรับกับคำถามของเด็กน้อย
“ปลาตะเพียน อันนี้มันเอาไว้แขวนตี้หน้าต่าง มันก็เลยบ่าอยู่หือในน้ำ”เด็กน้อยหยิบปลาตะเพียนสองตัวขึ้นมาเล่น วิ่งรอบตัวหญิงชรา อย่างสนุกสนาน
“งั้นแม่อุ้ยเอาอันนี้ กับ อันนี้ไปแขวนตี้ห้องข้าเจ้าตวยเน่อ”เด็กน้อยนั้นยังคงวิ่งเล่นไปรอบๆ ตัวหญิงชราจนเหนื่อยอ่อนและพร้อยหลับไปข้างๆหญิงชรา จนตะวันลับลาไปในที่สุด
“อันนี้เท่าไรคะคุณยาย” ฉันหยิบปลาตะเพียนตัวน้อยนั้นขึ้นมาสัมผัสกับมันอีกครั้ง
“20 จ๊ะ ช่อละ 20 บาท”
“งั้นหนูขอสองช่อนะคะ ไม่ต้องทอนค่ะ” ฉันหยิบเงินจากกระเป๋ายื่นให้คุณยาย
แสงสว่างยามค่ำคืนกลางเมืองใหญ่ ลมพัดไหวๆ อยู่ที่หน้าต่างปลาตะเพียนแกว่งไกวไปตามแรงลม บางครั้งแสงสีเสียงที่รายล้อมอยู่มองดูไกลสุดลูกหูลูกตามันทำให้เหมือนอยู่ในโลกแห่งความว่างเปล่าจนเกินบรรยาย นิ้วมือน้อยๆ ลูบไล้ปลาตะเพียนตัวเล็กนั้นอย่างทะนุถนอมกลิ่นของไม้ยังคงคละคลุ้งอยู่ภายในโสตประสาททำให้เหมือนตกอยู่ให้ห้วงแห่งกาลเวลาในอดีต
สัมผัสอันอ่อนโยนนั้นทำให้ฉันหวาบหวามในหัวใจ ความสัมพันธ์ที่บ่มเพาะกันมามันทำให้ฉันคิดไปไกลถึงขั้นสร้างสรรค์จินตนาการของอนาคตแต่แล้วความร้อนแรงของแสงอาทิตย์ก็แผดเผาให้เป็นจุลเหลือแต่เพียงความทรงจำที่บันทึกไว้
เราทุกคนต่างหวนหาอดีตด้วยกันทั้งนั้นแม้โลกยุคปัจจุบันจะเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็วก็ตามความสัมพันธ์อันฉาบฉวย ความรักที่มอบให้แก่กัน ความกราดเกรี้ยวผรุสวาทด่าทอกันไปมาการนิยมชื่นชมกันมันมักผ่านกันไปรวดเร็วจนบันทึกเป็นประวัติศาสตร์ หรือร่องรอยแห่งความทรงจำแทบไม่ทัน ลืมเลือนกันง่ายดายอย่างเหลือเชื่อแต่แล้วความรวดเร็วนี้มักมีคนไม่มากไม่น้อยจดจำมันได้เสมอ
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in