The Blind Side เป็นภาพยนต์ที่สร้างจากเรื่องจริงของ Michael Oher (ไมเคิล ออร์) นักอเมริกันฟุตบอลผิวสีชื่อดังของทีม Baltimore Ravens ซึ่งถ้าใครหลายคนเป็นแฟนของกีฬาชนิดนี้ ชื่อของไมเคิลก็คงจะเป็นชื่ออันดับต้นๆที่พวกเขานึกถึงอย่างแน่นอน
.
โดยภาพยนต์เรื่องนี้มีชื่อไทยว่าแม่ผู้นี้มีแต่รักแท้ ซึ่งพอได้อ่านไปพร้อมๆกับดูใบปิดหรือโปสเตอร์ของหนังก็ทำให้รู้สึกอิ่มฟูในใจอย่างบอกไม่ถูกเลยทีเดียวซึ่งอันที่จริงจะเรียกว่าเราตั้งใจกดเปิดหนังเรื่องนี้ขึ้นมาดูก็คงไม่ผิดเพราะครั้งแรกที่เห็นซีนเล็กๆที่ผู้ใช้คนหนึ่งในแอพพริเคชั่นติ๊กต๊อกตัดมาให้เราชมก็เรียกความรู้สึกอยากรู้ที่มาที่ไปของหนังเรื่องนี้ขึ้นมาทันที
The Blind Side
.
และแม้ว่าในเรื่องจะเป็นการพบกันครั้งแรกระหว่างไมเคิลกับครอบครัวทูฮีแต่เรารับรู้ได้เลยว่าทั้งคุณและคุณนายทูฮีดูจะเป็นดูไมเคิลเป็นพิเศษจนไปถึงขั้นตกลงที่จะเป็นพ่อแม่บุญธรรมให้กับเขาและแน่นอนว่าคุณนายทูฮีไม่ใช่คนที่สักแต่จะเอาลูกเขามาอย่างเดียวแต่เธอกลับเดินทางไปอีกฝั่งของเมืองที่เต็มไปด้วยอาชญากรรมซึ่งเป็นบ้านเกิดของไมเคิลเพื่อจะไปขอไมเคิลกับแม่ของเขาด้วยตัวเอง
.
เอาจริงๆตอนดูก็มีคิ้วขมวดบ้างนะว่าเฮ้ยคนอะไรจะแสนดีแบบนี้วะ อยู่ดีๆก็ขับรถมาเจอเด็กที่ไหนก็ไม่รู้เดินหนาวอยู่ข้างถนนเสร็จแล้วก็ชวนมานอนพักที่บ้าน ไม่พอยังอยากจะอุปถัมภ์ไปอีก อะไรจะใจบุญปานนั้นวะ ซึ่งในเรื่องเราก็จะเห็นฉากที่คุณนายทูฮีนั่งคุยกับเพื่อนๆในร้านอาหารและเพื่อนคนอื่นๆไม่เห็นด้วยกับการกระทำแบบนั้น พร้อมกับพูดถึงที่มาที่ไปของไมเคิลไปจนถึงยกเรื่องลูกสาวของลีห์ แอนด์ขึ้นมาเพื่อให้เธอเปลี่ยนใจแต่สิ่งที่เธอทำไม่ใช่การคล้อยตามคำพูดของเพื่อน แต่เป็นการปกป้องลูกบุญธรรมของตัวเองคนที่เธอรู้ดีที่สุดว่าเขาเป็นแบบไหน และจะไม่มีวันเป็นแบบไหนนั่นจึงทำให้เราคิดได้ว่า มันไม่ใช่เพราะลีห์ แอนน์ เป็นคนใจบุญแต่เป็นเพราะระยะเวลาที่ได้รู้จักไมเคิลเธอรับรู้ถึงความจิตใจดี และความเป็นเด็กดีของไมเคิลแล้วต่างหาก
และไมเคิลก็ตอบแทบครอบครัวบุญธรรมของเขาด้วยการเป็นเด็กที่ทั้งเก่งและดีจริงๆ
.
สำหรับเราคำว่าโอกาส คือสิ่งที่ครอบครัวทูฮีมีให้กับไมเคิลโดยไม่ได้หวังอะไรตอบแทน นอกจากให้เด็กคนหนึ่งมีชีวิตที่ดีมากขึ้นกว่าที่เป็นมาซึ่งพวกเขามักจะถามไถ่ถึงความรู้สึก และความต้องการของไมเคิลอยู่เสมออะไรที่เขาไม่ชอบ พวกเขาก็จะไม่ทำ และอะไรที่เขาชอบ พวกเขาก็พร้อมให้การสนับสนุนอย่างเต็มที่นั่นเลยทำให้เรานึกย้อนกลับมามองตัวเองว่ามันถึงเวลาหรือยังที่เราจะหมอบ โอกาสที่เราสามารถทำได้ให้กับใครหลายคนที่ไม่มีสิ่งนั้น มันอาจจะจริงที่เราไม่สามารถให้ได้เท่ากับที่ครอบครัวทูฮีให้กับไมเคิลแต่โอกาสเล็กๆน้อยๆในแบบที่เรามีอาจจะช่วยเปลี่ยนชีวิตของใครบอกคนไปตลอดกาลเลยก็ได้นะ
ตลอด 2 ชั่วโมงของหนังเรื่องนี้ทำให้เรายิ้มอิ่มอกอิ่มใจอย่างบอกไม่ถูกจนสามารถหาคำตอบให้กับตัวเองได้ว่าในวัยที่ย่างเข้าสู่คำว่า ผู้ใหญ่ อย่างที่ใครเขาเรียกกันนี้ เราจะทำตวให้สมกับคำนั้นในแบบไหน จริงอยู่ที่เราไม่ได้มีเงินทองมากมายเท่ากับใครที่จะสามารถหยิบยื่นให้อย่างง่ายดาย แต่การเป็นผู้ใหญุ่ที่รู้จักเคารพสิทธิ และเสรีภาพทางความคิดของคนที่อายุน้อยกว่า และนำความคิดเห็นเหล่านั้นมาพัฒนา ปรับปรุง หรือใช้เป็นแนวทางในการดำเนินชีวิต ซึ่งสำหรับเรามองว่ามันไม่ได้น่าอายเลยสักนิด แต่มันคือเครื่องพิสูจน์แล้วว่าที่ผ่านมาเราเติบโตในฐานะผู้ใหญ่ได้เป็นอย่างดีต่างหาก
.
หลายคนอาจจะมองว่า ไมเคิลนั้นโชคดีที่ได้พบเจอกับครอบครัวทูฮี แต่เราว่าครอบครัวทูฮีเองก็โชคดีเช่นกันที่ผลผลิตของคำว่า ให้โอกาส ในฐานะผู้ใหญ่ของพวกเขา เติบโตงอกเงยสวยงามสมบูรณ์จนได้ชื่อว่าพวกเขาเป็นความสุขและความสำเร็จของกันและกันอย่างไม่มีข้อสงสัยเลยทีเดียว
สวัสดี
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in