เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
♡ THAI TRANSLATED : ALL ABOUT NU'EST ♡ka__taiiz
แปลบทสัมภาษณ์ NU'ESTW จากนิตยสาร WKOREA ฉบับเดือนกันยายน 2017
  • Q : พวกคุณกลับมาอีกครั้งด้วยยูนิต “NU’ESTW” โดยที่ W นั่นเป็นตัวย่อของการรอคอย ตอนนี้อะไรคือสิ่งที่แต่ละคนรอคอยมากที่สุด

    เจอาร์ : สิ่งที่ผมรอคอยมากที่สุดตอนนี้คือการได้พบกับแฟนๆของเราครับ พวกเรากำลังจะกลับมาในชื่อของ NU’EST อีกครั้งนึง หลังจากที่ไม่ได้ทำมานานครับ โดยตอนนี้พวกเรากำลังเตรียมการสำหรับอัลบั้มนั้นอยู่ครับ ผมคาดหวังในการตอบรับของแฟนๆในอัลบั้มนี้มากๆเลยครับ

    แบคโฮ : ในเดือนสิงหาคม พวกเราจะมีงานแฟนมีตติ้งครับ พวกเรามีความฝันมาตลอดว่าอยากจะจัดคอนเสิร์ตในฮอลล์ที่ใหญ่ๆ เพราะว่าพวกเรามีโชว์มากมายที่อยากจะโชว์ให้ดูครับ แล้วตอนนี้ก็ดูเหมือนว่าพวกเรากำลังเข้าใกล้ความฝันนั้นทีละนิดๆ ดังนั้นตอนนี้ผมจึงรอคอยงานแฟนมีตติ้งที่กำลังจะเกิดขึ้นด้วยใจที่สั่นรัวมากที่สุดเลยครับ

    อาร่อน : เนื่องจากว่าที่เป็นการโปรโมตแรกของพวกเราในยูนิตนี้ ผมก็เลยตื่นเต้นมากๆเลยครับผมต้องการที่จะแสดงภาพลักษณ์ที่ดีที่สุดให้แฟนๆของเราได้ดูครับ

    น้องเร็น : เนื่องจากเป็นเวลานานมากแล้วหลังจากที่พวกเราโปรโมทอัลบั้มล่าสุด ตอนนี้ผมอยากที่จะทำกิจกรรมเยอะๆเลยครับ ผมอยากที่จะขึ้นรายการเพลงเร็วๆ ผมคิดถึงเวทีมากจริงๆครับ


    Q : เจอาร์ แบคโฮ และเร็น พวกคุณทั้ง 3 คนไปออกรายการ PRODUCE101 และได้รับความนิยมจากที่นั่น เมมเบอร์อีกคนของ NU’EST ฮวังมินฮยอนก็ได้เดบิวท์กับ WANNAONE อะไรคือเหตุผลที่อาร่อนไม่ได้เข้าร่วมในรายการนี้

    อาร่อน : ตอนนั้นเข่าของผมบาดเจ็บครับ ก่อนหน้านั้นผมไม่สามารถเต้นได้เลย ผมต้องนั่งเก้าอี้เพื่อร้องเพลงตลอดเลยครับ เพราะแบบนั้นผมเลยต้องการเวลาในการรักษามันครับ แต่แน่นอนครับเพราะว่าเมมเบอร์ของเราได้เข้าร่วมรายการนั้น ผมเลยติดตามดูรายการตลอดและภูมิใจมากที่เมมเบอร์ของเราได้รับความรักและความนิยมมากแบบนั้นครับ

    น้องเร็น : หลังจากที่จบการถ่ายทำ ทุกครั้งที่พวกเรากลับมาถึงหอพัก พี่อาร่อนจะรอพวกเราพร้อมกับอาหารที่พี่เค้าทำให้พวกเราเสมอเลยครับ (/ปาดน้ำตาแปปค่ะ TT)


     Q : ตอนถ่ายทำรายการ PRODUCE101 เมมเบอร์ NU’EST อยู่ด้วยกันรึเปล่า ?

    เจอาร์ : พวกเราก็อยู่ด้วยกันตอนที่ถ่ายทำรายการ ระหว่างการเดินทางไปกลับ และหลังจากถ่ายทำรายการพวกเราก็ยังอยู่ด้วยกันที่หอของเราเหมือนเมื่อก่อนหน้านี้ครับ

    อาร่อน : ครับ แล้วก็ตอนที่เด็กๆไปถ่ายทำรายการกัน ผมเองก็มีหน้าที่เฝ้าหอพักของพวกเราครับ ผมเหงามากเลย ผมคอยเอาแต่ถามผู้จัดการของเราว่ามันจะจบเมื่อไหร่ เด็กๆของเราจะกลับบ้านตอนไหนผมไม่นอนแล้วก็รอคอยพวกเค้ากลับบ้านครับ ตอนที่ผมดูรายการผมเห็นเด็กๆของเราทำได้ดีผมก็คอยเชียร์พวกเค้าตลอดครับเพื่อให้เค้ามีพลังและกำลังใจครับ


    Q : แล้วแบบนี้ใครเป็น one-pick ของอาร่อนกัน ?

    อาร่อน : ตั้งแต่รอบที่ให้เลือกโหวตแค่สองคน ผมก็เลิกโหวตไปเลยครับ 5555555’


    Q : นอกจากกอาร่อนแล้วเมมเบอร์คนอื่นๆที่เข้าร่วมรายการรู้สึกว่าได้รับหรือสูญเสียอะไรกันบ้างไหม ?

    น้องเร็น : ผมรู้สึกเสียใจนิดหน่อย เพราะผมได้รับแอร์ไทม์ที่ค่อนข้างน้อย ช่วงเวลาที่ผมเล่นและแกล้งกันกับเด็กฝึกคนอื่นๆ ไม่ได้ถูกนำมาเสนอให้เห็นเลยครับ แต่หลังจากนั้น PD ก็มาปลอบใจและพูดกับผมว่า  โปรดิวเซอร์แห่งชาติอยากเห็นพวกเราแข่งขันกันอย่างดุเดือดมากกว่าครับ (เหรอคะ...อันจุนยองพีดีนิม/มองแลงงงงง)  แต่ผมก็ไม่รู้นะครับว่าด้านนั้นของผมได้ถูกถ่ายเอาไว้บ้างรึเปล่า แต่ไม่เป็นไรครับเพราะว่าตอนนี้ผมสามารถแสดงออกให้ทุกคนรู้ว่าผมเป็นแบบไหนได้ ผ่านทางการโปรโมทกับ NU’EST ของเราครับ

    แบคโฮ : ผมไม่ได้รู้สึกว่าผมสูญเสียหรือเสียใจอะไรเลยครับ ผมคิดว่าผลลัพธ์มันออกมาดีเกินคาดด้วยซ้ำไปครับ แต่ผมก็รู้สึกเสียใจกับแฟนๆของเราที่ชอบพวกเรามาก่อนที่เราจะไปออกรายการนิดหน่อยครับ เพราะงั้นผมเลยต้องทำทุกอย่างให้ดีขึ้นเพื่อที่จะได้ไม่ต้องมาเสียใจทีหลังครับ

    เจอาร์ : ผมเองก็ไม่ได้รู้สึกเสียใจอะไรเลยครับการเข้าร่วมรายการ พวกเราค่อนข้างที่จะแตกต่างจากเด็กฝึกคนอื่นๆ การกลับไปเป็นเด็กฝึกอีกครั้งหลังจากที่เดบิวท์มาแล้วหลายปี มันทำให้ผมรู้สึกเหมือนโกงอยู่หน่อยๆเหมือนกันครับ แต่มันก็เป็นเพียงทางเลือกเดียวที่จะทำให้พวกเรายังอยู่รอดต่อไปได้ครับ (TT)


    Q : ในส่วนของเจอาร์ คุณได้ทิ้งความประทับใจที่ดีเอาไว้ด้วย ไม่ใช่แค่การแสดงให้เห็นถึงทักษะของคุณเพราะคุณยังคอยช่วยเหลือเด็กฝึกคนอื่นๆด้วยเสมอ

    เจอาร์ : ส่วนนึง เป็นเพราะว่าผมเองมีประสบการณ์ที่ได้รับมาจากการทำกิจกรรมกับวงของเรามาก่อนด้วยครับ ผมคิดว่าการแสดงบนเวทีเป็นสิ่งที่จะอยู่ไปอีกนานครับ และผมก็ต้องการให้การแสดงของผมเป็นที่จดจำไปตลอดครับ แต่มันไม่ใช่สิ่งที่ผมจะสามารถทำมันได้เพียงคนเดียวครับ นิสัยของผมคือไม่ใช่คนที่จะเอาตัวรอดไปคนเดียวครับ


    Q : สำหรับเมมเบอร์คนอื่นๆ เจอาร์เป็นคนที่เกิดมาพร้อมพรสวรรค์ที่ช่วยเหลือและสอนคนอื่นเป็นอย่างดีหรือว่าเค้าได้รับมันมาจากการที่เป็นลีดเดอร์ของ NU’EST ?

    น้องเร็น : สำหรับเจอาร์ผมคิดว่าเค้าได้รับมันมาจากการพัฒนาและฝึกฝนครับ

    แบคโฮ : เจอาร์เป็นคนที่เรียนรู้ท่าเต้นได้เร็วที่สุดครับ หลังจากที่เค้าได้เรียนรู้มันในเวลาที่พวกเราฝึกซ้อมกัน และมีบางอย่างที่ยังไม่โอเค เค้าจะเป็นคนที่บอกจุดนั้นกับพวกเราแล้วก็แก้ไขไปพร้อมๆกันครับเค้าเป็นลีดเดอร์ที่มีความเป็นลีดเดอร์อ่ะครับ

    เจอาร์ : สำหรับผมแล้ว ผมเอาชนะทุกอย่างด้วยการพยายามทำมันอย่างหนักครับ เพราะตั้งแต่ตอนที่ผมเป็นเด็กฝึกผมรู้สึกแย่มากๆที่ผมไม่รู้ว่าจะต้องทำแบบไหน อะไร ยังไง เหมือนผมกำลังพ่ายแพ้ให้กับตัวเองครับ ผมเลยไม่ชอบมันมากๆเลย

    แบคโฮ : เพราะว่าเค้าไม่ได้เก่งมาตั้งแต่เกิด แต่เค้าพยายามทำทุกอย่างทีละขั้นๆไป พื้นฐานของเค้าก็เลยแน่นมากครับ เค้าดูมั่นคงขึ้นและก็รู้ว่าควรจะทำยังไงให้ออกมาดีด้วยครับ

    เจอาร์ : ผมเป็นคนที่คิดว่าไม่มีอะไรที่เป็นไปไม่ได้อ่ะครับ ถ้าผมคนที่ไม่ได้มีพรสวรรค์อะไรทำอะไรไม่ได้สักอย่างยังสามารถทำมันได้ เด็กฝึกคนอื่นๆก็ต้องทำมันได้เหมือนกันครับ ผมสามารถแชร์สิ่งต่างๆให้คนอื่นได้ครับหลายอย่างครับ เพราะผมเคยผ่านการโดนพูดว่า “ไลน์เต้นของนายมันดูไม่สวยเอาซะเลย นายไม่รู้วิธีการดึงเอาพลังของนายออกมาเหรอ” มาก่อนครับ


    Q : เนื่องจากที่คุณมีทักษะที่สะสมมากมายขนาดนั้น คุณก็เลยเชื่อมั่นในตัวเองมากแน่ๆ?

    เจอาร์ : ผมไม่ได้เชื่อมั่นในตัวของผมเองเท่าไหร่ครับ แต่ผมเชื่อมั่นใจทุกๆคนที่อยู่รอบตัวผมและเมมเบอร์ของผมครับ


    Q : ในระหว่างที่พวกคุณกำลังเตรียมตัวสำหรับการคัมแบ็คครั้งนี้เมมเบอร์ได้พูดคุยกันเรื่องอะไรบ้าง ?

    แบคโฮ : “กินข้าวกันยัง ? ป่ะ ไปกินข้าวกันเถอะ” อะไรแบบนี้ครับ เหมือนที่เราพูดกันอยู่ทุกวันครับ

    เจอาร์ : เราได้พูดกันถึงวิธีการที่เราต้องเผชิญกับความยากลำบากในช่วงเวลาเหล่านั้นครับ เพราะว่าพวกเรารู้ดีว่าแต่ละคนผ่านเวลาที่ยากลำบากมามากจริงๆ ผู้คนรอบข้างตัวพวกเราบอกว่าพวกเราประสบความสำเร็จแล้วในตอนนี้  แต่ผมคิดว่ามันจะแตกต่างออกไปตามอัลบั้มต่อๆไปของพวกเราครับเพราะว่าตอนนี้ทุกคนคาดหวังกับพวกเราไว้เยอะมาก แต่ถ้าสิ่งที่ออกมาไม่ได้เป็นไปตามที่ทุกคนคาดหวังไว้ ทุกคนอาจจะผิดหวังกับมันได้มากขึ้นครับ ถึงแม้ว่าเราจะไม่ได้มีเวลามากในการทำอัลบั้มนี้แต่พวกเราก็ทำอัลบั้มนี้ออกมาเหมือนว่ามันคือสิ่งสุดท้าย ด้วยหัวใจของพวกเราเลยครับ


    Q : ช่วยพูดถึงเสน่ห์ของเพลง “If you” ที่เป็นเพลงพิเศษหน่อย

    เจอาร์ : เพลงนี้เป็นเพลงที่ได้นักแต่งเพลงทีม Kiggen ที่ทำเพลง Daybreak ให้กับผม มินฮยอน และชเวจินคยองร้องครับ เพลงนี้เป็นเพลงบัลลาด แต่มันก็มีความสดชื่นและเบาสบาย จนทำให้ทุกคนสามารถฟังมันได้แม้ในวันที่อากาศร้อนๆครับ

    น้องเร็น : แฟนๆให้ความสนใจกับเนื้อเพลงมากครับ ตอนที่เราอ่านคอมเม้น มีบางคนบอกว่าพวกเขาร้องไห้ด้วยตอนที่ฟังไปถึงท่อนแรกของเพลง พวกเขาบอกว่ามันเหมือนกับว่าเพลงนี้เหมือนสถานการณ์ของพวกเราในตอนนี้อ่ะครับ


    Q : พวกคุณอ่านคอมเม้นกันบ้างไหม? เพราะว่ามันก็มีคอมเม้นในแง่ลบด้วย มันอาจจะรับมือได้ยากหน่อยเวลาที่เข้าไปอ่านคนดังบางคนตั้งใจที่จะไม่อ่านมันเลยด้วย

    น้องเร็น : ผมคิดว่ามันเป็นไปไม่ได้ที่จะไม่อ่านมันครับ เพราะว่าชีวิตและงานของพวกเราอยู่ได้ด้วยแฟนๆ เวลาที่พวกเราอ่านเจอคอมเม้นที่แย่ๆ เราจะมองว่ามันเป็นสิ่งที่เราต้องพยายามที่จะแก้ไขมันอย่างหนักครับ แน่นอนว่ามันน่ากลัวเวลาที่ต้องอ่านคอมเม้นแย่ๆแบบนั้น แต่พวกเราก็จะดึงตัวเองขึ้นมาอีกครั้งได้ครับ

    แบคโฮ : ผมเป็นคนที่ไม่ได้ใส่ใจอะไรเป็นพิเศษกับคอมเม้นที่แย่ๆหน่ะครับ อาจจะเป็นเพราะว่าเมื่อก่อนตอนที่เราโปรโมทก็ไม่ได้มีคนสนใจมากเท่าไหร่อยู่แล้ว คอมเม้นที่แย่ๆเหล่านั้นก็เป็นความสนใจรูปแบบนึงนี่ครับ


    Q : หลังจากไปออกรายการ PRODUCE101 แล้ว เพลงเก่าของพวกคุณ "HELLO" ก็กลับเข้ามาในชาร์ทเพลงอีกครั้งนึง แล้วกลายเป็นประเด็นให้พูดถึงกันว่า 'ทำไมฉันถึงเพิ่งมารู้จักวงเก่งๆแบบนี้ในตอนนี้กันนะ' พวกคุณรู้สึกยังไงกันบ้าง ?

    น้องเร็น : ในเรื่องนั้น นอกจากเรื่องของความสามารถและส่วนประกอบอื่นๆแล้ว อีกสิ่งหนึ่งที่มีอยู่ด้วยคือโชคชะตาครับ  ความจริงที่ว่าเราไม่สามารถเป็นที่รู้จักได้จนมาถึงตอนนี้นั้นเป็นเรื่องของโชคชะตาที่เราไม่สามารถทำอะไรได้ครับ แต่ความจริงที่ว่าตอนนี้เราสามารถผ่านมันมาได้นั้นก็เป็นเหมือนผลงานของพระเจ้าเลยครับ

    เจอาร์ :  ผมรู้สึกโล่งใจมากเลยครับ เพราะว่าพวกเราฝากชีวิตของพวกเราไว้ในทุกๆอัลบั้มที่เราทำมันจนถึงตอนนี้ครับ ถ้าผลงานที่เราทำมีคุณภาพที่ไม่ดีพวกเราคงต้องรู้สึกอายและผิดหวังมากๆเลยครับ แต่ตอนนี้พวกเราได้รับความสนใจอีกครั้ง พวกเรารู้สึกขอบคุณที่ชอบเพลงที่พวกเราทำเอาไว้ในตอนนั้นครับ ในการทำอัลบั้มใหม่ในครั้งนี้พวกเราก็รู้สึกกดดันบ้างครับ แต่ถ้าในฐานะคนที่มีส่วนร่วมในการเขียนเพลงด้วยนั้น แบคโฮน่าจะเป็นคนที่กดดันที่สุดครับ

    แบคโฮ : ถึงแม้ว่าเราจะยังไม่ได้ตัดสินใจกันว่าจะมีกี่เพลงในอัลบั้มนี้นั้น แต่ผมก็กำลังอยู่ในขั้นตอนการเตรียมเพลงอยู่ครับ (เขียนเนื้อเพลง) ในตอนนี้พวกเราอยู่ในขั้นตอนที่แต่ละคนกำลังหาสิ่งที่ตัวเองชอบและพยายามดึงเสน่ห์ของแต่ละคนออกมาให้ได้ดีที่สุดครับ ให้เหมือนกับตอนที่พวกเราต้องหาวิธีทำงานเวลาที่พวกเราอยู่ด้วยกันครับ


    Q : ถ้าคุณเป็นคนทำเพลง อย่างนั้นคุณก็ต้องรู้จักโทนเสียงของเมมเบอร์แต่ละคนเป็นอย่างดี ช่วยบอกเราถึงจุดแข็งของแต่ละคนได้ไหม ?

    แบคโฮ : เจอาร์เป็นคนที่สามารถควบคุมความบาลานซ์ของเสียงเค้าได้ดีครับ แล้วเค้าก็ยังสื่ออารมณ์ออกมาได้เป็นอย่างดีอีกด้วยครับ ส่วนเร็น เสียงของเค้าเป็นเอกลักษณ์มากและมีเสน่ห์มากครับ ผมกำลังหาวิธีการที่จะดึงเอาส่วนนั้นของเค้าออกมาให้ได้มากที่สุดครับ และพี่อาร่อนเค้าสามารถทำได้ดีทั้งในส่วนของการแรพและร้อง ดังนั้นพี่เค้าเลยเป็นคนสามารถทำอะไรได้เยอะมากครับ ส่วนตัวผมเองนั้น ผมสามารถร้องไฮโน๊ตได้และผมคิดว่าเสียงของผมก็มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวด้วยเหมือนกันครับ


    Q : ในรายการ PRODUCE101 แบคโฮคุณเป็นคนที่มีบุคลิกที่แน่วแน่และดูน่ากลัวในบางครั้ง เวลาที่คุณอยู่ในวงคุณก็เป็นคนแบบนั้นด้วยรึเปล่า ?

    แบคโฮ : ถึงผมจะไม่ใช่ลีดเดอร์ แต่ผมก็คิดว่าในบางครั้งผมก็ต้องมีความมั่นใจและกล้าแสดงออกความคิดเห็นต่างๆครับ เพื่อให้ลีดเดอร์เค้าสามารถจัดการเรื่องต่างๆภายในทีมได้ดีขึ้น สำหรับผม ถ้าผมไม่สามารถแสดงออกความคิดเห็นเรื่องต่างๆได้ ผมว่านั่นเราไม่ได้เลือกลีดเดอร์หรอกครับ เรากำลังเลือกพระราชามากกว่าครับ

    เจอาร์ : สำหรับผมเองในฐานะลีดเดอร์เอง ผมก็ชอบที่จะให้มีการถกเถียงกันแบบนี้ครับ เพราะว่าในบางครั้งอาจจะมีบางเรื่องบางอย่างที่ผมพลาดหรือลืมมันไปจะได้มีคนพบมันครับ ในขณะที่ลีดเดอร์คือคนที่ทำงานเบื้องหน้า พระราชาคือคนที่ทำงานเบื้องหลังครับ


    Q : พวกคุณคิดว่าจุดแข็งที่ทำให้ NU'EST เป็นวงที่แตกต่างจากวงอื่นยังไง ?

    แบคโฮ : เมื่อก่อนผมคิดว่าเป็นวิชวลนะ .... 55555555555'  จริงๆความบาลานซ์ของพวกเราสี่คนก็ลงตัวดีนะครับ

    อาร่อน : และนอกเหนือจากนั้น ผมคิดว่าเป็นบุคลิกของพวกเราที่แตกต่างกันครับ

    น้องเร็น : พวกเรามีอายุที่ใกล้เคียงกันครับ ถึงแม้ว่าพี่อาร่อนจะโตกว่าพวกเราสองปี แต่พี่เค้ามาจากต่างประเทศพวกเราเลยใช้ชีวิตเหมือนเพื่อนกันครับ พวกเราเลยเข้ากันได้ดีกว่ากลุ่มที่แบ่งแยกตามลำดับอายุครับ และผมก็คิดว่าแฟนๆก็คงมีความสุขที่เห็นพวกเราอยู่ด้วยกันแบบนี้ครับ


    Q : ในอนาคตถ้ามีโอกาสทำงานเดี่ยว แต่ละคนอยากจะทำงานแบบไหน ?

    แบคโฮ : ผมเป็นคนที่ชอบใช้ชีวิตตอนกลางคืนครับ ผมเลยคิดว่าถ้าได้ทำรายการแบบ Night Goblin ที่จงฮยอนกำลังทำอยู่ตอนนี้ก็คงน่าสนุกดี แล้วผมก็ยังสนใจรายการแบบ I Live Alone แล้วก็ Law Of The Jungle ด้วยครับ

    อาร่อน : ผมยังไม่ค่อยได้แสดงมุมมองที่หลากหลายเท่าไหร่นัก ผมก็เลยอยากจะลองทำทุกๆอย่างเลย ช่วงนี้ผมได้ร่วมโปรโมทเพลง LOOP ร่วมกับเรนะซึ่งเป็นเพลงโปรโมทของเธอครับ ผมได้รับรู้ถึงเสน่ห์ของรายการวิทยุอีกครั้งนึง สำหรับผมรายการวิทยุเป็นที่ที่สบายใจที่ผมจะได้แบ่งบันเรื่องราวของผมครับ

    น้องเร็น : ผมมีความความสนใจเรื่องของการแสดงมากๆเลยครับ แต่ผมหวังว่ามันจะไม่ใช่เรื่องโรแมนซ์เพราะผมคิดว่าผมยังค่อนข้างขาดความรู้สึกในเรื่องนั้นอยู่ครับ รุ่นพี่คยองริ Nine Muses ได้แสดงบทบาทนี้ในซีรีส์เว็บดราม่าเรื่อง I'm Not A Girl Anymore ตอนที่ผมได้ดูการแสดงของรุ่นพี่แล้ว ผมรู้เลยว่าตัวผมเองยังขาดความสามารถในเรื่องนี้อยู่มากเลยครับ ผมคิดว่าผมน่าจะทำได้ดีในการรับบาทของนักเรียนในซิทคอมหรือบทบาทอื่นๆที่สามารถใช้ประสบการณ์ในชีวิตมาเป็นส่วนประกอบช่วยได้ครับ


    Q : แม้แต่วงที่มีชื่อเสียงในประเทศของเรา การมีกิจกรรมก็ไม่ใช่เรื่องที่ง่ายเลยที่จะทำมัน โดยเฉพาะในญี่ปุ่น พวกคุณเคยทำกิจกรรมในต่างประเทศมาค่อนข้างเยอะ มีอะไรที่ประทับใจเป็นพิเศษไหม ?

    อาร่อน : ในตอนที่เราไปโปรโมทที่อเมริกาใต้ครับ พวกเราไม่มีล่ามที่จะแปลให้เรา แต่ยังดีที่ผู้โปรโมทงานยังพูดภาษาอังกฤษได้ดี ผมเลยเป็นล่ามให้พวกเราครับ

    เจอาร์ : ถึงแม้ว่าจะดีที่เราได้ทำกิจกรรมมากมายในต่างประเทศ แต่เราไม่เคยได้ทำแบบนั้นที่เกาหลีเลยครับ มันคงจะดีถ้าเราทำกิจกรรมแบบนั้นที่เกาหลีเพราะครอบครัวของเราจะสามารถเห็นสิ่งที่เราทำได้ด้วยครับ พวกเราหวังที่จะทำแบบนั้นที่เกาหลีมาตลอดเลยครับ

    น้องเร็น : ผมคิดว่าการทำกิจกรรมที่ญี่ปุุ่นของพวกเรามันยากมากครับ เราไม่มีเวลาที่จะไปดูหนังหรือว่าพบปะเพื่อนๆของเราได้เลยครับ หรือแม้แต่กินของเผ็ดๆที่ผมชอบ เราก็ไม่สามารถทำมันได้เลยครับ


     Q : ดูจากกิจกรรมที่ทำในญี่ปุ่น ดูเหมือนว่าเร็นจะเก่งภาษาญี่ปุ่นนะ ?

    น้องเร็น : ผมไม่ได้เก่งหรอกครับ แต่ผมเป็นคนที่มั่นใจที่จะพูดมันออกมาแม้ว่ามันจะไม่ถูกก็ตามครับ ผมไม่ใช่คนญี่ปุ่น แต่ผมคิดว่ามันไม่น่าตลกสำหรับคนที่สามารถใช้ภาษาได้อย่างสมบูรณ์แบบครับ


    Q : การไว้ผมยาวและการสวมกระโปรง เร็นได้พยายามสร้างภาพลักษณ์ที่เป็นกลางในเรื่องเพศและเป็นแถวหน้าของกระแสในเรื่องนี้ ?

    น้องเร็น : ผมไม่ได้เป็นพวกที่คัดค้านเรื่องการไม่แบ่งเพศครับ ตอนแรกที่บริษัทบอกให้ผมทำมันผมก็ไม่เข้าใจอยู่เล็กน้อยครับ แต่ผมก็คิดว่ามันก็คงเหมาะสมกับผม และผมก็ไม่ได้สนใจคำวิจารณ์ที่ได้รับมันครับ เพราะผมคิดว่าผมทำมันได้ดีกว่าแบคโฮ 5555555555'


    Q : เมมเบอร์แต่ละคนมีบุคลิกแบบไหน แล้วความสัมพันธ์ของพวกคุณเป็นยังไง ?

    น้องเร็น : ถ้าเจอาร์เป็นคนที่แบกน้ำหนักทั้งหมดของวงไว้ แบคโฮก็คือคนที่คอยช่วยแบ่งเบาภาระนั้น ส่วนพี่อาร่อนก็จะเป็นคนที่จัดการสถานการณ์ได้ดีในแบบของเค้าและคอยรับฟังเรื่องราวของพวกเราอยู่เสมอ เวลาที่ผมไม่สบายใจพอได้คุยกับพี่เค้า ผมจะรู้สึกสบายใจขึ้นมากเลยครับ

    แบคโฮ : เร็นคือคนที่สร้างบรรยากาศได้ดีที่สุดครับ เวลาที่เราเหนื่อยๆในเวลาซ้อมกัน เร็นก็จะคอยสร้างเสียงหัวเราะให้พวกเราเสมอเลยครับ

    เจอาร์ : เพราะว่าเราไม่ค่อยได้แยกจากกันไปไหนหรือว่าเจอกันแค่ตารางงาน พวกเราอยู่ด้วยกันตลอดเวลาในตอนที่เราอยู่ที่บ้าน เราเป็นเหมือนครอบครัวของกันและกัน ผมว่ามันไม่ใช่ทั้งจุดแข็งและจุดอ่อน แต่มันเป็นไปในแบบที่มันเป็นอยู่ครับ เรายอมรับซึ่งกันและกัน

    อาร่อน : มันเป็นความรู้สึกที่พวกเราเป็นเหมือนพี่น้องกันจริงๆครับ


    Q : เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเดบิวท์แล้ว ตอนนี้เหมือนกับพวกคุณกำลังเริ่มต้นใหม่อีกครั้งนึง ตอนนี้พวกคุณกำลังวางแผนอะไรกันอยู่บ้าง ?

    เจอาร์ : ด้วยความสัจจริงเลยนะครับ ตอนนี้มีอะไรหลายๆอย่างที่เกิดขึ้นเป็นครั้งแรกของพวกเรา ไม่ว่าจะเป็นการออกรายการวาไรตี้ การขึ้นเวที และอีกหลายๆอย่าง เราตั้งใจที่จะทำมันในทุกๆอย่างเลยครับ ไม่ว่าจะเป็นอะไรก็ตาม

    แบคโฮ : พวกเราคิดมาตลอดว่ามันคงจะดีถ้าเรามีโอกาสที่จะได้แสดงความสามารถของพวกเราให้ทุกคนได้ชมมัน และตอนนี้พวกเราก็ได้รับโอกาสนั้นมาแล้วครับ พวกเราจะตั้งใจและพยายามทำมันออกมาให้ดีที่สุดเลยครับ

    อาร่อน : ต่อจากนี้ไป การต่อสู้ที่แท้จริงของพวกเรากำลังจะเริ่มต้นขึ้น พวกเราจะสู้อย่างสุดความสามารถเลยครับ


    Q : ในฐานะที่เป็นวงที่เดบิวท์มาแล้ว 6 ปี พวกคุณมีความมั่นใจในเรื่องอะไรกันบ้าง ?

    แบคโฮ : เราเป็นวงที่ยังคงอยู่มาจนถึงตอนนี้แม้ว่าจะเจอกับเรื่องราวร้ายๆมาก็ตาม เพราะฉะนั้นเมมเบอร์ทุกคนจึงเชื่อใจในกันและกันครับ ถ้าเรื่องร้ายๆมันดีขึ้นแล้ว พวกเราก็จะมีความตั้งใจและพลังในการที่จะทำให้มันดีขึ้นมากกว่านี้ครับ

    น้องเร็น : ถึงแม้ว่าผมจะจำความประทับใจในครั้งแรกที่เราเจอกันของทุกคนได้ แต่ในตอนนี้ทุกๆคนก็เป็นผู้ใหญ่มากขึ้นจากตอนที่เป็นเด็กฝึก ความสัมพันธ์ของพวกเราได้พัฒนาขึ้นมากจากที่เจอกันครั้งแรก ดังนั้นพวกเราจึงเป็นพลังของกันและกันครับ

    เจอาร์ : ความจริงในระหว่างที่เราเตรียมตัวกันอยู่ตอนนี้ พวกเราก็รู้สึกประหม่าที่ได้รับความสนใจมากขึ้น และเนื่องจากพวกเรากำลังจะคัมแบ็ค ดังนั้นผมเลยคิดอยู่เสมอว่าจะแสดงความสามารถของพวกเราออกมาได้ดีมากแค่ไหนครับ


    Q : ชีวิตในหอพักเป็นยังไงกันบ้าง ?

    อาร่อน : ตอนนี้พวกเราใช้ห้องส่วนตัวกันคนละห้องครับ เพราะเนื่องจากที่พวกเรามีงานอดิเรกที่แตกต่างกันมาก พวกเราเลยไม่ได้ใช้เวลาพิเศษร่วมกันที่หอพักของเราครับ

    แบคโฮ : เวลาที่เราจะรวมตัวกันในหอพักคือช่วงเวลาที่เราทานอาหารกันครับ ในกรุ๊ปแชทของเรา เราจะคุยกันแค่เรื่องงานและตารางงานเท่านั้นครับ ถึงจะเป็นแบบนั้น แต่พวกเราก็อยู่เคยงข้างกันเสมอครับ เพราะแบบนี้ผมเลยคิดว่าเราไม่จำเป็นที่ต้องส่งข้อความหากันครับ แต่เมื่อไม่นานมานี้ พี่อาร่อนเข้าไปในห้องของเจอาร์เพื่อเล่นเกม Overwatch ครับ แล้วเค้าก็เปิดคอมทิ้งเอาไว้แล้วก็หลับไปครับ 555555'


    Q : พวกคุณเริ่มต้นกันด้วยความฝันและเป้าหมายของคุณในนามของ NU'EST ตอนนี้ เป้าหมายของคุณสำเร็จไปถึงขั้นไหนกันบ้างแล้ว ?

    อาร่อน : ผมอยากได้ที่ 1 ในรายการเพลงครับ เมมเบอร์ทุกๆคนจะต้องดีใจและร้องไห้หนักมากๆ และการออกอากาศสดวันนั้นอาจจะเกิดอุบัติเหตุเพราะทะเลน้ำตาของพวกเราครับ 555555555'

    เจอาร์ : ผมเป็นคนที่ไม่ค่อยคิดอยากจะได้หรืออยากมีอะไรครับ (สาธุค่ะลีด..)  ผมเป็นคนที่จะพยายามทำทุกสิ่งให้ผลลัพธ์ออกมาดีที่สุดครับ แทนที่จะมองไปที่อนาคตไกลๆ ผมกลับมองสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นมากกว่า ผมอยากจะทำมันออกมาให้ดีที่สุดครับ และพวกเรากำลังจะมีงานแฟนมีตติ้งในเร็วๆนี้ ดังนั้นสิ่งนี้คือสิ่งที่ผมจะทำมันออกมาให้ดีที่สุดเป็นสิ่งแรกครับ

    แบคโฮ : ผมอยากไปงานประกาศรางวัลปลายปีครับ เมื่อถึงตอนนั้นผมค่อยคิดถึงเป้าหมายต่อไปของผมครับ


    ** หากมีข้อผิดพลาดในการแปลต้องขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยนะคะ **


    SOURCE : W KOREA MAGAZINE (SEPTEMBER 2017)

    SCANNED BY : ETHOC_TRANSIBIT

    ENGLISH TRANSLATED BY JETAIMEDONGHO

    THAI TRANSLATED BY KA__TAIIZ


Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in
younghonglover (@younghonglover)
ขอบคุณที่แปลให้มากๆเลยคะ