เกาะสีชังเป็นเกาะเล็กๆที่อยู่ในจังหวัดชลบุรีนี่เอง ถ้าขับรถจากกรุงเทพมาก็แค่ 2 ชั่วโมงเอง เส้นทางก็แสนจะง่ายก็แค่เกาะไปตามถนนบางนา-ตราด มุ่งหน้าไปจังหวัดชลบุรี หรือถ้าไม่อยากขับรถก็ขึ้นรถตู้ที่ท่ารถเอกมัย แล้วก็ต่อรถไปลงเรืออีก 45 นาทีเอ๊ง
พอเรือมาเทียบท่าที่เกาะสีชัง ตอนแรกก็รู้สึกว่าคิดผิดป๊าววะที่มาที่นี่ ทำไมมันไม่เหมือนที่คิดไว้อ่ะ ธรรมชาติอยู่ไหน ที่เห็นตอนนี้ทำไมไม่เหมือนรูปในไอจีเพื่อนที่เคยเห็นเลย ข้างหน้ามีแต่ปูน ตึก และก็มอเตอร์ไซต์ นี่หนีเมืองหลวงมาตามหาธรรมชาตินะ ต้องหาให้เจอ ป่า เขา ทุ่งหญ้า หน้าผา เราสองคนเลยตัดสินใจเช่ามอเตอร์ไซต์ขับรอบเกาะกัน
และแล้วก็ไม่ผิดหวังขับตามทางมาเรื่อยๆก็เจอธรรมชาติทีละนิด ทีละนิด เพราะตอนนี้เราขับหลงตามทางมาอยู่อีกฝั่งหนึ่งของเกาะแล้ว ฝังด้านนี้เป็นหน้าผา ผสมกับชายหาดอันน้อยนิดบนเกาะนี้ที่มีชื่อเรียกว่าหาดถ้ำเขาพัง หาดนี้มีทั้งนักท่องเที่ยวชาวไทย ชาวต่างชาติ และชาวจีน(นิดนึง) บ้างเล่นน้ำ บ้างก็พายเรือชมหน้าผา มองมุมนี้ก็แปลกตาไปอีกแบบนะ
ขับรถให้แสงแดดปะทะหน้าไปอีกหน่อยเราก็มาเจอกับทุ่งหน้าสะวันนาและโขดหิน ที่ให้บรรยากาศราวกับไม่ได้อยู่ที่ประเทศไทยแดนสยามสักเท่าไหร่นัก หลังจากก้าวเท้าลัดเลาะ กระโดด และปีนป่ายไปตามโขดหินอย่างสนุกสนานแล้ว เราก็ได้พาตัวเองมาอยู่ปลายหน้าผา สองเท้าเหยียบอยู่บนก้อนหินก้อนสุดท้ายของหน้าผา เมื่อเงยหน้าละสายตาจากโขดหินที่ต้องทรงตัวอยู่บนนั้น จะวิวพบเจอกับท้องทะเลอันกว้างใหญ่ไพศาล สองข้างเป็นหน้าผาสูงชัน และด้านหลังเป็นทุ่งหญ้าสีเขียวแกมเหลือง ช่างเป็นการผสมผสานของธรรมชาติที่ลงตัวเสียจริงๆ
เมื่อดื่มด่ำกับบรรยากาศข้างหน้าเสร็จแล้วก็ได้เวลามุ่งหน้าต่อไปยังแลนด์มาร์กของเกาะนี้ หนึ่งในนั้นก็คือสะพานอัษฎางค์ ที่ตั้งอยู่ในพระที่นั่งจุฑาธุชราชฐาน ซึ่งเป็นที่ประทับในช่วงฤดูร้อนในสมัยรัชกาลที่ 5 ภายในเขตวังนี้ให้ความรู้สึกเหมือนสวนสาธารณะมาก คือให้ความรู้สึกผ่อนคลาย ลืมความเครียดต่างๆจากชีวิตประจำวันไปได้เยอะเลยทีเดียวแหละ
สะพานอัษฎางค์เป็นสะพานไม้สีขาวที่ทอดยาวลงไปในทะเล แต่เดิมให้เป็นท่าเทียบเรือ แต่ทางการก็ได้มีการบูรณะซ่อมแซมเรื่อยๆ โดยยังคงรูปแบบสภาพเดิมไว้ สะพานแห่งนี้มีความยูนีคและคลาสสิกผสมกันอยู่อย่างลงตัวเลยทีเดียว
สะพานแห่งนี้นักท่องเทียวสามารถเดินเล่นได้นะ พอเดินไปสุดแล้วก็นั่งชิวๆ ดูวิวทะเล ท้องฟ้า เรือน้อยใหญ่ และเกาะแก่งต่างๆได้ ถึงแม้แดดภายนอกจะร้อน แต่ก็ยังมีลมที่พัดอ่อนๆ และร่มเงาจากหลังคาช่วยบรรเทาความร้อนได้
ต่อมาเราก็มุ่งหน้าไปยังแลนด์มาร์กอีกที่หนึ่งบนเกาะนี้ นั้นก็คือช่องเขาขาด หรือ ช่องอิศริยาภรณ์ ทางด้านบนของบริเวณนี้เคยเป็นที่ประทับชมวิว และชมดาวของรัชกาลที่ 5 เพราะว่ามองได้ทั้งหน้าผา ภูเขา และก็ทะเลด้วย
ที่เป็น Highlight ของเกาะนี้สำหรับเรานะก็คือที่นี่เนี้ยแหละ "ช่องเขาขาด" เพราะเหมือนเป็นจุดที่รวมเอาธรรมชาติ ไม่ว่าจะเป็น หน้าผา โขดหิน ต้นไม้ และทุ่งหญ้าเข้าไว้ด้วยกัน อีกทั้งยังสามารถดูพระอาทิตย์ตก เก็บแสงสุดท้ายของวันไว้ในความทรงจำได้ด้วย
ไม่เพียงแต่เป็นจุดชมวิวในมุมสูงนะ ช่องเขาขาดยังมีสะพานปูนสีขาวที่เพิ่งสร้างภายหลัง เพื่อให้นักท่องเที่ยวได้เดินเล่นชมวิว ลัดเลาะไปตามโขดหิน และหน้าผา ที่ผสมผสานไปด้วยทุ่งหญ้าตามรายทาง
แต่น่าเสียดาย ด้วยแสงแดดที่ร้อนระอุ ทำให้เราและเพื่อนพาตัวเองไปหยุดอยู่แค่พาร์ทแรกของเส้นทางลัดเลาะของช่องเขาขาด เราสองคนพาตัวเองมาหยุดอยู่แค่บริเวธหน้าผาและโขดหิน
น่าเสียดาย... ที่ไม่ได้เดินเรียบไปตามสะพาน
น่าเสียดาย...ที่ไม่ได้อยู่ดูพระอาทิตย์ตก
น่าเสียดาย...ที่เวลายังคงเดินไปเรื่อยๆ ทำให้เราต้องตัดสินใจที่จะกลับกรุงเทพ เพราะไม่อยากกลับถึงบ้านดึก
แต่ไม่เป็นไร... ไว้เราจะกลับมาใหม่นะ
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in