เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
โรคซึมเศร้า #101Lilith
โรคซึมเศร้า#1 เมื่อฉันป่วยจนต้องไปหาจิตแพทย์
  • "เราคิดว่าเราเป็นคนเข้มแข็งและมีความอดทนสูง" นั่นคือสิ่งที่เราคิดตลอดเกี่ยวกับตัวเอง ด้วยเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นในชีวิต ซึ่งหลายเรื่องจัดเป็นเรื่องที่แย่กว่าที่คนอื่นจะเคยเจอ และเมื่อเราผ่านจุดแย่ๆ เหล่านั้นมาได้หลายครั้ง เราก็คิดว่าเราเข้มแข็งยากที่จะโค่นล้ม

    เราอยากตายอย่างจริงจังครั้งแรกเมื่อตอนอายุราว 14-15 เป็นช่วงเวลาของมัธยมต้นที่ใครๆ คงกำลังสนุกอยู่กับความสนใจของตัวเอง แต่เราอยากตาย เรารู้สึกอยากทำอย่างไรก็ได้ให้ตัวเองหายไป และเมื่อนั้นเอง...วันหนึ่งเราก็หยิบคัตเตอร์ขึ้นมากรีดข้อมือ

    ด้วยความไม่ชำนาญ รอยกรีดตามขวางรอยแรกจึงเป็นเพียงแผลตื้นๆ เวลานั้นเองที่เรามองเห็นเลือด และมีความรู้สึกบางอย่างเกิดขึ้นมา มันคือความเจ็บปวด ตอนนั้นเราจึงตระหนักว่าแม้คนรอบข้างหรือใครทำกับเราเหมือนไม่มีความรู้สึก เหมือนเราเป็นตุ๊กตา เป็นเศษขยะ แต่ตัวเราย่อมรู้ดีว่าเราเป็นมนุษย์ มีความเจ็บปวดเหมือนที่คนปกติมี...เรามีความรู้สึกร้องไห้ได้และเจ็บเป็น แม้ว่าจะไม่มีใครแคร์ก็ตาม

    เราผ่านจุดนั้นมาได้นานจนคิดว่า เราเข้มแข็ง และมีความอดทน มีการนับถือในตัวของตนเองสูง และสามารถเข้าอกเข้าใจเรื่องความแตกต่างของปัจเจกบุคคลที่ส่งผลต่อการแสดงออกของคนรอบข้างได้แล้ว ทว่าเรากลับไม่คิดเลยว่านั่นคือการปล่อยปัญหาให้ยาวนานมาด้วยคำสองคำสั้นๆ "อดทน"


    เราใช้คำว่าอดทนกับความทุกข์ความเสียใจในชีวิตนานจนกระทั่งเมื่อตอนอายุราว 25 ปี ที่วันหนึ่งเราตื่นขึ้นอย่างลำบากเพราะไม่อยากตื่นขึ้นมา แล้วก็ "อยากตายไปให้มันพ้นๆ" แรกๆ เราคิดว่าเป็นเพราะเราขี้เกียจและเบื่องาน เจอกับภาวะหมดไฟทำให้เราขาดความกระตือรือร้นในการไปทำงาน และใช้ชีวิตปกติ

    แต่เมื่อครั้งที่เรานั่งรถเมล์กลับบ้านค่ำวันหนึ่ง เราก็เริ่มมีความคิดชั่ววูบขึ้นมาว่า "กระโดดลงไปให้รถชนตอนนี้เลยดีไหมนะ? มันจะเป็นยังไง...ถ้ารถอีกเลนนึงตีขนาบมาอย่างเร็วจนชนตัวเราอย่างจัง หรือคงทับไปเลย มันต้องตายคาที่เลยแน่ๆ ถ้าความเร็วของคันที่มาชนมากพอ" มันไม่ใช่แค่การคิดเป็นเรื่องเป็นราวธรรมดา มันมาพร้อมภาพในหัว...ภาพที่เรากระโดดจากรถเมล์ไปให้รถคันอื่นทับ เลือดสาดกระเซ็นไปทั่วพื้นถนน

    หรือตอนที่เรายืนอยู่บนที่สูง พลางคิดว่าถ้าตกลงไปจากระดับความสูงนี้ เอาหัวโหม่งโลก สมองเราคงเละเทะคาพื้น...ตายสนิทไม่ต้องเข้าไอซียู ทุกครั้งที่คิดเรื่องอยากตายรวมถึงวิธีตายเหล่านี้ มันจะเป็นภาพที่ปรากฏในสมองเรา พร้อมกับเสียงของเราเองที่กระซิบบอก "ตายซะสิ" แม้แต่เวลาที่เราหยิบมีดขึ้นมาจะหั่นผัก เราก็คิดว่าแทงตัวเองซะดีไหม...ทั้งที่เราไม่มีความเครียดอะไรในตอนนั้นเลย 

    มันเหมือนแค่วันหนึ่งที่เราตื่นขึ้นมา...แล้วพบว่าสมควรตายไปให้พ้นๆ

    ความตายอันวนเวียนในความคิดตลอดเวลานี้เอง ที่ทำให้เรารู้สึกถึงความผิดปกติ เพราะหากมีความเครียดเกิดขึ้น มันก็คงไม่แปลกมากนักหากจะเครียดจนคิดสั้นขึ้นมา แต่การที่ไม่มีตัวกระตุ้นใดๆ แล้วเกิดความอยากตายมากขนาดนี้ เราจึงเริ่มสำรวจตัวเองอย่างละเอียด

    และนี่คือบรรดาอาการที่เกิดขึ้นในระยะเวลา 2 เดือนเป็นต้นไป...

    1. เรานอนไม่หลับ หลับยาก จนบางทีมาหลับที่ทำงานมากขึ้น เรามาทำงานสายจนเป็นนิสัยไปแล้ว จากที่แต่ก่อนเราไปถึงที่ทำงานก่อนเวลาถึง 30 นาที

    2. เรากินอาหารน้อยลง เราไม่มีความหิวเลย วันหนึ่งๆ เหมือนจะอยู่ได้ด้วยกาแฟ 

    3. เราใส่ใจตัวเองน้อยลง หรือมองว่าดูแลตัวเองไปก็ไม่มีประโยชน์ จากเป็นคนแต่งตัวแต่งหน้ามาทำงาน เราก็เหมือนจะมาแบบชุ่ยๆ แค่ใส่เครื่องแบบมาก็พอ 

    4. ความรับผิดชอบต่องานน้อยลงมาก เราทำงานแบบส่งๆ ผลัดวันประกันพรุ่ง และเลือกจะไม่แคร์งาน ขอแค่ให้มันพ้นตัวเท่านั้น จากที่แต่เดิมเราค่อนข้างสนใจในงานอย่างมาก เพราะเป็นงานที่ถนัด

    5. เราใช้เงินแก้ความเบื่อหน่ายและรำคาญใจ เรามักจะหาโอกาสแวะช้อปปิ้งหลังเลิกงาน โดยเฉพาะวันที่เราเจอเรื่องกดดันในที่ทำงาน เราจะหาเรื่องแวะซื้อของเสมอ และจะหงุดหงิดมากถ้าไม่ได้ซื้อ คือขอให้ได้ซื้อของจะแค่ยี่สิบบาทก็เอา แม้จะไม่มีความจำเป็นต้องใช้เลย ส่งผลให้เรามีหนี้สินมากขึ้น

    6. เราเที่ยวบ่อยขึ้น คือเราหาโอกาสไปดื่มเหล้า สังสรรค์มากกว่าแต่ก่อน กระทั่งเป็นฝ่ายหาเรื่องชวนทุกอาทิตย์ก็ยังมี 

    7. เราเบื่อทุกอย่างในชีวิต เบื่องาน เบื่อเพื่อน เบื่อที่บ้าน เบื่อทุกอย่างไปหมด ไม่มีอะไรดึงความสนใจเราได้เลย

    8. นอกจากจะเบื่อโลกแล้ว เราไม่สามารถมีสมาธิในการเขียน หรืออ่านหนังสือได้เลย เราอ่านงานหน้าเดียวเป็นวันๆ และเนื่องจากงานของเราเกี่ยวข้องกับการเขียนและอ่านโดยตรง มันจึงทำให้เราทำงานไม่ได้ไปเลย

    จากทั้งหมดรวมๆ กันส่งผลทำให้เราอยากตาย และเริ่มกลับมากรีดข้อมือเพื่อให้ตัวเองรู้สึกอะไรบ้างอีกครั้ง รวมถึงมีภาพการตาย ความคิดอยากตายทุกวัน แม้ว่าบางวันจะไม่มีอะไรไปกระตุ้นความเครียด หรือความคิดด้านลบเลย

    ทุกอย่างที่เกิดขึ้นทำให้ชีวิตเราพังทลาย ความสัมพันธ์กับคนอื่นก็แย่ งานก็แย่ และเมื่อเราวีนใส่คนรอบข้างมากขึ้น แฟนของเราจึงยอมลางานแล้วพาเราไปพบจิตแพทย์ เพราะมันคงถึงจุดไม่ไหวแล้วของเรา ใครที่กำลังคิดอยู่ว่าตัวเองป่วยไหม ลองดูอาการของเราประกอบก็ได้

    เราตั้งใจว่าการไปพบจิตแพทย์ ก็คงเพื่อให้หมอพูดใส่หน้าเรามาว่า "เราน่ะคิดไปเอง" หรือ "คุณไม่ได้ป่วย คุณแค่เครียดเท่านั้น" แต่เมื่อเราไปถึงหน้าเค้าเตอร์แผนกจิตเวชศาสตร์ ของโรงพยาบาล ตอนนั้นใกล้หมดเวลาเวรในเวลาของแผนกแล้ว พยาบาลแจ้งมาว่าเราคงไม่ได้พบหมอ เราต้องมาพบหมอวันอื่น เท่านั้นแหละ...เราร้องไห้ตรงนั้นเลย

    พยาบาลจึงต้องพยายามปลอบใจเรา และกล่อมให้เรารอเจอจิตแพทย์นอกเวลาแทน ตอนนั้นเราแทบไม่ยอมไปไหน ออกไปกินข้าวแล้วก็รีบกลับมารอ เพราะกลัวไม่ได้พบหมอ พอถึงเวลาก็ได้คิวค่อนข้างเร็ว เมื่อเขาไปพบหมอ...เราก็ร้องไห้อีกครั้ง

    เราร้องไห้เมื่อเราเล่ามาถึงจุดที่บอกว่า "หมอ...หนูไม่คิดว่าหนูจะทนไม่ไหว หนูคิดว่าตัวเองผ่านจุดแย่ที่สุดของชีวิตมาแล้ว ทำไมตอนนี้แค่เรื่องเล็กๆ หนูก็ทนไม่ไหวไปหมด แค่มารอเจอหมอแล้วโดนบอกว่าจะไม่ได้เจอ แค่มาใหม่ก็จบแล้ว แต่หนูกลับร้องไห้"

    สุดท้ายหลังจากที่ระบายความรู้สึกตอนนั้นหมดแล้ว หมอก็พยายามอย่างมากที่จะอธิบายตามตรง ว่าแท้จริงแล้วเราอ่อนแอได้นะ และ "เราป่วยเป็นโรคซึมเศร้าจริงๆ" ต้องได้รับการรักษาด้วยการกินยา และนี่ไม่ใช่ครั้งแรกของอาการป่วย ดังนั้นจึงต้องอาศัยเวลาพอสมควรให้ยารักษาสมดุลในสมอง

    นั่นแหละ...คือจุดเริ่มต้นของการเป็นผู้ป่วยจิตเวช ในฐานะคนเป็นโรคซึมเศร้า และย้ำคิดย้ำทำอย่างเป็นทางการ ที่ตั้งใจมาเขียนตรงนี้ก็เอาไว้บันทึกอาการ รวมถึงมันอาจจะเป็นประโยชน์แก่คนที่ป่วย หรือกำลังเจอภาวะเครียดๆ ในชีวิต ก็หวังว่ามันจะมีประโยชน์กับใครอย่างที่เราคาดหวังให้มันเป็น

    คราวหน้า...เราจะมาเล่าเรื่องอาการระหว่างเริ่มรักษา และเรื่องย้ำคิดย้ำทำให้ฟัง...


Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in