เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
หญิงไทยใจงาม(มั้ง)ตะลุยแดนเบียร์apollopma
ep1: On the plane ขึ้นเครื่องก็โชว์โง่แล้ว



  •                      สายการบินที่เราพึ่งพาอาศัยไปปารีสกันคือ Air France แน่นอนว่าเราก็จองที่นั่งติดกันสามที่ริมซ้าย คนบนเครื่องบินก็มีมากมายหลากหลายเชื้อชาติ ไม่ว่าจะหน้าไทย หน้าจีน หน้าฝรั่ง มากันหมด ความกังวลแรกคือ กูจะเจอเด็กแหกปากร้องไห้ตลอดไฟล์ทไหม แต่ก็ไม่เจอ โชคดีอะไรขนาดนี้ เจอถีบหลังเพราะฝรั่งด้านหลังขายาวเท่านั้นเอง เมื่อหันไปด้านข้างที่นั่งโซนกลาง ก็พบแก๊งฝรั่งดูจากทรงแล้วน่าจะฝรั่งเศสแน่ๆ(เป็นการสันนิษฐานโดยส่วนตัวนะฮะ เพราะบินไปฝรั่งเศสไง อิพวกหน้าฝรั่งก็ควรเป็นคนฝรั่งเศสป่ะวะ) หน้าตาดูโอเคกระตุกต่อมบ้าผู้ชายออกมานิดหน่อย


                          และช่วงเวลาที่สายแดกอย่างเรารอคอยก็มาถึง นั่นคือ กินข้าววววว!! พออาหารมาเสิร์ฟ แน่นอนว่าเราก็เปิดกล่องกินกันอย่างรวดเร็ว ขณะที่กินไปคุยไปนั้นก็สังเกตได้ถึงสายตาแปลกๆที่จ้องมองมาจากด้านข้าง เลยหันไปมอง ก็เห็นว่า ทุกคนกินกันหมดแล้ว เฮ้ย!! นี่กูกินช้าหรือพวกมึงกินเร็ววะ แล้วมีการส่งสายตาประมาณว่า “ทำไมพวกมึงแดกช้าขนาดนี้” ส่งมาให้อย่างโจ่งแจ้ง พวกกูเพิ่งเปิดกล่องเองนะ แดกไปคำสองคำ พวกมึงแดกหมดเกลี้ยงแล้ว น้ำมึงก็ไม่เหลือ ไอ้พวกเราก็รีบกินกันทันทีเลย หลังจากโดนสายตาพี่แกค่อนขอดขนาดนั้น โอเค กูรีบกินก็ได้ อย่ากดดันกูวววว อาหารแม่งก็เริ่มเลี่ยนละ ก็เริ่มจะแดกไม่ลงละ ทิ้งช้อนละ พอครับ แดกไวน์แม่งงงง เนื่องด้วยว่าในมื้ออาหารนี้มีแอลกอฮอล์มาให้ด้วยสองขวด ไอ้พวกเราก็ชิมๆกันไปคนละนิด

                          “เห้ยยย มึงใจเย็น อย่าแดกเยอะเดี๋ยวเมาแล้วมิคาเอลจะตกใจ” หลียั้งพวกเราไว้อย่างรวดเร็ว อีกตั้งนานป่ะว้าาาา แต่เราก็ยังแอบเก็บแอลกอฮอล์ไว้กับตัว จากนั้นบรรยากาศบนเครื่องก็บิ๊วมืด สั่งปิดหน้าต่าง บรรยากาศบังคับนอนก็มาถึง ก็ดูหนังบนเครื่องเพลินๆไป เคลิ้มๆก็หลับไปเอง พอตื่นมาอีกทีหันไปด้านข้าง ไอแก๊งฝรั่งด้านข้างมันแบ่งตัวกันนอนได้เก๋มาก คนนึงนอนพาดตัวยาวบนเบาะ อีกคนมันลงไปนอนพื้นเลย โหดมากกกก เป็นวิธีนอนที่คาดไม่ถึงเลย คิดได้ไงฟะ!! มึงเจ๋งจริงครับ อยากจะชูนิ้วให้จริงๆ (นิ้วโป้งๆ)


                         ผ่านไปประมาณสิบชั่วโมง ดูหนังจบวนกับหลับไปสองสามเรื่อง พวกเราก็ได้มาเหยียบแผ่นดินปารีส(แค่ในสนามบินเท่านั้นแหละ) ก็เตร็ดเตร่ร่อนเร่กันอยู่พักนึง แวะแปรงฟันล้างหน้ากันซักนิด สนามบินพี่แกใหญ่โตโอฬารมาก ขนาดแค่เปลี่ยนเกต ต้องนั่งรถบัสไปประมาณ 15 นาที ดีนะมีเวลาเปลี่ยนเครื่องเป็นชั่วโมงอยู่ ไม่งั้นเอ๋อตายแน่ๆ แล้วเราก็งมหาเกตไปเรื่อยๆ ไปยืนงงๆแถวๆทางเดิน ก็มีมนุษย์เอเชียคนนึงเดินเข้ามาถามทาง

                         โถววว!! หน้าพวกกูนี่คนท้องถิ่นฝรั่งเศสมากเลยสินะ แค่งมเกตตัวเองก็มึนจะตายห่าละ แต่พวกเราจิตใจดี ก็คุยแบบภาษาอังกฤษงูๆปลาๆ ซักพักนึงพี่แกหลุดภาษาไทยออกมาครับ

                         “อ้าว พี่คนไทยหรอ” เงิบไปตามๆกัน ที่แท้ก็คนไทยด้วยกันนี่เอง ก็สปีคอิงลิชแบบควายๆอยู่ตั้งนาน สุดท้ายช่วยพี่เค้าไม่ได้ ให้พี่เค้าไปถาม information เอาเองจะดีกว่า เพราะอันตัวพวกเราเองก็ยังหาไม่เจอ ไอป้ายบอกทางมันก็ดันชี้ไปทางที่กั้นไม่ให้เข้า ถ้าบอกทางแล้วมึงกั้นไว้ไม่ให้ไป ไม่ต้องบอกกูก็ได้ กูงง!! สุดท้ายก็เดินตามทางที่มันบังคับให้เดินนั่นแหละ จนไปเจอแหล่งคนนั่งรอกันอยู่เต็มไปหมด ไม่รอช้าเราก็เนียนๆไปนั่งรอด้วย แล้วก็หา wifi ติดต่อบุพการีกันยกใหญ่


                         นั่งคุยเล่นกับที่บ้านกันไปซักพัก ก็ได้ยินเสียงประกาศให้ขึ้นเครื่อง พวกเราก็รีบจรลีเดินไปขึ้นเครื่องบินกัน เป็นเครื่องบินลำเล็กๆบินข้ามเมืองตามสไตล์สายการบินโลวคอสภายในประเทศนั่นแหละ เนื่องด้วยจิ้มตั๋วถูกโคตรๆมา ก็เลยหมดสิทธิ์ที่จะเลือกที่นั่ง ขึ้นเครื่องบินมาก็โดนที่นั่งแบบสุ่มกันไป แต่เราก็ได้นั่งติดๆกันอยู่ดี ขณะเครื่องบินขึ้นเราก็มองสองข้างทางที่เต็มไปด้วยเมฆแบบสุดลูกหูลูกตา แสงอาทิตย์ที่ส่องแสงมากระทบกับเมฆ แม้จะแสบตาไปบ้างแต่มันก็ระยิบระยับสวยงามดีนะ ผ่านไปไม่ถึงสองชั่วโมง เครื่องก็กำลังจะลงสู่ทาอากาศยานประจำเมืองเบรเมนกันแล้ว กำลังจะได้ไปผจญภัยกันจริงๆแล้ว แต่ยังไม่ทันจะได้ตื่นเต้นกับบรรยากาศใหม่

                          “โอ้ยยย กูปวดหูหว่ะ ปวดมากเลย ลามไปหัวละเนี่ย ไม่ไหวแล้ว” ต้าพูดขึ้นพลางเอามือข้างนึงกุมที่หูกุมที่หัวตัวเองไว้ ชิบหายละ!! ทำไงดีวะเนี่ย พวกเราก็พยายามให้เคลียร์หูก็แล้ว หาวก็แล้ว เคี้ยวหมากฝรั่งก็แล้ว ก็ยังไม่ดีขึ้น สุดท้ายต้องเรียกแอร์โฮสเตสมาช่วยเหลือ ซึ่งแน่นอนว่าต้องคุยเป็นภาษาอังกฤษ นั่นไง งานงอกละกู

                           “เอ่อ… เฮดเอ้กๆ” โชว์สกิลภาษาอังกฤษด่านแรกเลยมึงงงง

                           “....” พี่แอร์ก็ทำหน้างงใส่ ทำไงดีวะ เพื่อนก็จะตาย กูก็จะตายเหมือนกัน รนไปหมด เรียบเรียงไม่ถูกแล้ววว (นี่คือแค่พยายามจะบอกเค้าว่าปวดหัวนะ สกิลต่ำแค่ไหนลองคิดดู) “Can you speak English?” พี่แอร์แกคงทนไม่ไหว เลยถามออกมาแบบนี้ โอโหววว เจ็บมากกก ตอบไม่ถูกเลยทีเดียว กูพูดได้ป่ะวะเนี่ย

                          “อะ..เอ่อ..เอ่อ...ยะ..เยส” เป็นการตอบคำถามที่ตะกุกตะกักและแผ่วปลายที่สุด “มายเฟรนๆ เฮดเอ้กๆ” พูดเหมือนเดิมเลย แค่เสริมแอคติ้งเพิ่มไปด้วย จนเค้าเข้าใจว่าปวดหู ปวดหัว พี่แกก็นำยามาให้กิน ซึ่งก็ทำเอาต้าแทบตายเลยนะครับ แล้วใครจะเป็นฆาตกร พวกกูนี่ไง ช่วยอะไรเพื่อนไม่ได้เล้ยยยย


                           ผ่านไปครึ่งชั่วโมง ยังไม่ทันจะได้หลับตาเลย เครื่องบินก็แลนดิ้งเรียบร้อย เราถึงที่เบรเมนกันตอนประมาณสามทุ่มได้ ก็รอรับกระเป๋า เดินผ่านตม.

                           "เอาเนื้อสัตว์หรืออาหารอะไรเข้ามารึเปล่า" ตม.ก็ถามแบบพอเป็นพิธี เพราะเห็นว่าเราเป็นเด็กกะเหรี่ยง

                           “ไม่มีค่ะ มีแต่บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป” ต้าผู้มีสกิลเทพสุดก็ได้สื่อสารกับตม. เพราะเดินไปเป็นคนแรก

                            "ทั้งสามคนเลยใช่ไหม ไม่มีแน่นะ" ตม.แสร้งทำหน้าเหี้ยม กะเหรี่ยงสองตัวหน้าก็พยักหน้ากันหงึกหงัก มีไอ้ตัวเรานี่แหละ แอบเนียบๆเงียบๆไว้ แหมม!! กระเป๋ากูนี่มีหมูแดดเดียวประมาณสามโลได้ พี่ตม.แกก็แย้มยิ้มและอนุญาตให้เราออกมาด้านนอก … นี่ยังไม่จบวันแรกเลยนะ เดี๋ยวได้รู้กันว่าจะเป็นยังไงต่อ...




                                                                      29May2014 @Paris Aéroport - Charles de Gaulle (CDG)



เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in