เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
DIVASnapwk
สุดยอดคู่กัด ตำนานความบาดหมางแห่ง Hollywood - Bette Davis VS. Joan Crawford
  • กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ณ ดินแดนอันไกลโพ้น ในจักรวาลแห่งฮอลลีวู้ดยุคที่เรียกว่า Golden Age ได้มีเรื่องเล่าตำนานของสองคู่ปรับตลอดกาล
    ; เบ็ตตี้ เดวิส และ โจน ครอวฟอร์ด

    ในยุคนี้ต้องยอมรับว่ามีดารา-นักแสดงหน้าใหม่เกิดขึ้นมาอย่างมากหน้าหลายตาซึ่งหลายๆครั้งเราก็จะได้ยินข่าวการกระทบกระทั่งของใครต่อใครมากมายคนนู้นไม่ถูกกับคนนี้ มีการจิกกัดกันเล็กๆน้อยๆ โจมตีกันผ่าน Social Media บ้างหรือแต่งเพลงด่ากันบ้าง แต่เมื่อเวลาผ่านไปเรื่องเหล่านั้นก็ดูจะเบาบางลงหรือบางคู่ที่เคยมีเรื่องกันก็ต่างให้อภัยกันไปโดยปริยาย แต่เรื่องราวความเกลียดชังของคู่นี้ไม่มีใครเทียบได้แน่นอน

    เรื่องราวของความบาดหมางที่ดำเนินไปเกือบครึ่งศตวรรษและถูกเล่าต่อมาอีกเนิ่นนานจนถึงปัจจุบัน ต้นตำหรับแห่งความสวยงามและแสบสันต์ความร้ายกาจที่ถูกเล่าขานต่อกันมา ทำให้ทั้งสองถูกยกให้เป็น Classic Bitches อย่างแท้จริง เรียกได้ว่าไม่มีใครยอมใคร ตาต่อตา ฟันต่อฟัน และถ้าใครที่เคยได้ยินเรื่องของทั้งคู่มาบ้าง คงรับรู้ได้ถึงความแสบของทั้งคู่ แต่ถ้าไม่ วันนี้ล่ะเป็นโอกาสดีที่เราจะได้มารับรู้เรื่องราวเหล่านี้กัน


    All About Eve (1950) นำแสดงโดย เบ็ตตี้ เดวิส
    Mildred Pierce (1945) นำแสดงโดย โจน ครอวฟอร์ด
    What Ever Happened to Baby Jane? (1962) นำแสดงโดย เบ็ตตี้ เดวิส และ โจน ครอวฟอร์ด

    เบ็ตตี้ เดวิส และ โจน ครอวฟอร์ด ทั้งคู่เจิดจรัส สง่างาม และมีฝีมือการแสดงเป็นที่น่าจดจำ เป็น Iconic แห่งวงการทั้งคู่ต่างก็ฝากผลงานไว้มากมาย  ผลงานที่โดดเด่นและน่าจะเป็นที่รู้จักของคนไทยก็มี All About Eve (1950) ที่นำแสดงโดย เบ็ตตี้ เดวิส หรือ Mildred Pierce (1945) ที่นำแสดงโดย โจน คราวฟอร์ด และ What Ever Happened to Baby Jane? (1962) ที่ทั้งคู่แสดงร่วมกันและเป็นเรื่องที่ทำให้ความบาดหมางของทั้งคู่ยิ่งทวีคูณถึงขั้นลงไม้ลงมือใส่กัน



    เบ็ตตี้ เดวิส (Bette Davis)
    เดิมมีชื่อว่า Ruth Elizabeth Davis เกิดเมื่อ 5 เมษายน ปี 1908 ที่รัฐแมสซาชูเซตส์ เนื่องจากเธอใช้ชื่อเดียวกับแม่ ตอนเด็กๆเธอเลยมีชื่อเล่นว่า เบ็ตตี้ (Betty) ต่อมาได้เปลี่ยนการสะกดใหม่ในภายหลัง

    เมื่อเริ่มเข้าโรงเรียนเมื่อพ่อกับแม่แยกทางกัน แม่พาเธอและน้องสาวย้ายมาอยู่ที่นิวยอร์ก ได้เริ่มเข้าเรียนในโรงเรียนและเริ่มฝึกการแสดง จนได้แสดงในโรงละครเล็กๆและพบกับรักแรกในเวลาต่อมา เมื่ออายุประมาณ 20 ได้เริ่มเข้าวงการ แต่กว่าจะผ่านการคัดเลือกนักแสดงจนได้สังกัดนั้นก็แสนยาก มีอุปสรรคหลายอย่าง เพราะรูปร่างหน้าตาของเธอดูเป็นเพียงเด็กบ้านๆ ไม่โดดเด่นแถมเมื่อเข้าวงการมาแล้วยังโดนดูถูกดูแคลนสารพัด ทั้งลักษณะที่ไม่มีราศีนักแสดงหน้าตาอัปลักษณ์ – ผมบาง ผิวขาวซีด ปากห้อย และดวงตาที่โตจนน่ากลัว

    แต่ถึงกระนั้นเธอก็ไม่เคยละทิ้งความฝัน หลังจากเริ่มแสดงภาพยนตร์ได้ไม่นานก็ได้เซ็นสัญญากับค่ายใหญ่อย่าง Warner Bros. และได้พิสูจน์ตัวเองผ่านการแสดงในภาพยนตร์เรื่อง The Man Who Played God (1932) และประสบความสำเร็จอีกครั้งในภาพยนตร์เรื่อง Of Human Bondage (1934) และในปี 1935 เบ็ตตี้ เดวิส ก็ได้รับรางวัล Oscar ตัวแรก จากเรื่อง Dangerous (1935) หลังจากนั้นเธอก็เป็นนักแสดงหญิงที่ประสบความสำเร็จมากคนหนึ่งเลยที่เดียวการันตีจากผลงานมากมายและได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัล Oscar สาขานักแสดงนำหญิงยอดเยี่ยม 11 ครั้ง และชนะถึง 2 ครั้งเลยล่ะ

    เบ็ตตี้มีลูกสาว 1 คน และลูกเลี้ยงอีก 2 คน จากการแต่งงาน 4ครั้ง


    โจน ครอวฟอร์ด (Joan Crawford) เดิมชื่อ Lucille Fay LeSueur เกิด 23 มีนาคม 1903-1906 (ปีเกิดและอายุไม่แน่นอน) เธอเป็นเด็กสาวจากแท็กซัสมีพี่ๆอีก 2 คนพ่อทิ้งตั้งแต่เธอยังไม่เกิด แม่ชอบทุบตี และยังชอบพาเธอกับพี่ๆย้ายที่อยู่ไปเมืองต่างๆเป็นว่าเล่น จนแม่เธอได้แต่งงานใหม่ ชีวิตก็เริ่มดีขึ้น เธอเปลี่ยนชื่อเป็น Billie Cassin (เป็นชื่อที่พ่อเลี้ยงเรียก) ได้เข้าโรงเรียน พ่อเลี้ยงรัก ได้รับการสนับสนุนจากพ่อเลี้ยงให้ได้ทำในสิ่งที่ชอบ

    เธอเริ่มเป็นนักเต้นก่อนที่แม่และพ่อเลี้ยงจะแยกทางกัน ต่อมาในช่วงต้น 1920 เหมือนกับว่าชีวิตบนเส้นทางนักเต้นและนักร้องคอรัสจะไม่เพียงพอสำหรับเธออีกต่อไป เธอออกเดินทางไปยังนิวยอร์ก จนถึงฮอลลีวู้ด และเริ่มเข้าคัดเลือกตัวนักแสดงกับ MGM (Metro-Goldwyn-Mayer) จนได้เป็นนักแสดงในสังกัดทางผู้ใหญ่ในสังกัดเห็นพ้องกันว่าชื่อเดิมนี้ไม่เหมาะแน่ที่จะเป็นดาราจึงได้มีการตั้งชื่อใหม่ โจน ครอวฟอร์ด จึงกำเนิดขึ้น

    โจนแสดงภาพยนตร์เป็นสิบๆเรื่องกว่าจะเป็นที่รู้จักเธอเริ่มโดดเด่นจากแสดงแสดงนำในเรื่อง Our Dancing Daughters (1928) และในปีต่อมาจึงได้แสดงในภาพยนตร์เสียงเรื่องแรก  Hollywood Revue of 1929 และเริ่มมีชื่อเสียงสุดๆจากเรื่อง Possessed (1931) และ Grand Hotel (1932)

    ด้วยหน้าตา รูปร่างที่สวยงามก็ไม่ใช่เรื่องยากที่เธอจะเป็นที่สนใจ และโด่งดังในเวลาต่อมาเธอได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงในรางวัลต่างๆมากมาย และได้รับ Oscar ในสาขานักแสดงนำหญิงยอดเยี่ยมจากเรื่อง Mildred Pierce (1945)

    โจนแต่งงาน4 ครั้ง และมีลูกเลี้ยงถึง 4 คน

    . . .

  • “ช่วงเวลาที่ดีที่สุดที่ฉันมีต่อโจน คือตอนที่ฉันผลักหล่อนตกบันได
    ตอนที่เล่น What ever happened to Baby Jane นั่นล่ะ”

    – เบ็ตตี้ เดวิส

    ในช่วงต้น 1930 เมื่อ เบ็ตตี้ เดวิส เริ่มเข้าวงการ ขณะนั้น โจน ครอวฟอร์ด ก็มีชื่อเสียงแล้ว เธอเป็นที่รู้จักในวงกว้าง แต่เพียงไม่กี่ปีทั้งคู่ก็ต่างเป็นดาราดังของค่าย เบ็ตตี้ เดวิส จาก Warner Bros. มีชื่อเสียงจากฝีมือการแสดงอันแพรวพราวเป็นที่น่าจับตามอง และ โจน ครอวฟอร์ด Sex Symbol แห่ง MGM มีชื่อเสียงมาจากหน้าตาที่สะสวยและโด่งดังจากการที่เธอแต่งงานกับนักแสดงชายที่มีชื่อเสียงแห่งยุคอย่าง ดักลาส แฟร์แบงค์ จูเนียร์ (Douglas Fairbanks Jr.) แม้จะแต่งงานแล้วโจนยังมีข่าวฉาวกับนักแสดงชายไปทั่วไม่เว้นวันหนึ่งในนั้น คลาก เกเบิ้ล (Clark Gable) นักแสดงหนุ่มที่เบ็ตตี้กำลังแอบชอบแต่นี่ก็ยังไม่ใช่จุดเริ่มต้นหรอกนะ

    พระเอกหนุ่ม คลาก เกเบิ้ล เป็นสุดยอดผู้ชายหล่อในขณะนั้น เบ็ตตี้แอบหลงรักรักเขา
    แต่โจนก็มีข่าวพัวพันกับเขาตลอด (ช่วงนั้นทั้งสองเล่นภาพยนตร์คู่กันบ่อย)


    เรื่องราวความบาดหมางทั้งหมดกำลังจะเริ่มจากนี้จะว่าใจร้ายก็ได้ แต่ดูเหมือนว่าทั้งหมดนั้นเริ่มมาจากแค่ผู้ชายคนเดียว...ในปี1935 ในช่วงเวลาที่เบ็ตตี้กำลังถ่ายทำเรื่อง Dangerous เป็นภาพยนตร์ที่แสดงคู่กับพระเอกสุดฮอตอย่าง เฟรนโชต์ โทน (Franchot Tone) เธอหลงรักเขาเข้าเต็มเปา และเคยกล่าวถึงเรื่องนี้ไว้ว่า

    “ฉันตกหลุมรักเฟรนโชต์เราปฎิบัติต่อกันอย่างมืออาชีพ (แอบรักกันไม่กระทบงาน) ทุกๆอย่างเกี่ยวกับเขา สะท้อนความงดงามทั้งหมด ตั้งแต่ชื่อจนถึงการแสดงออกของเขา”  (ดีไปโม้ดดดด)

    แต่ โจน ครอวฟอร์ด ก็เป็นคนที่คว้าหัวใจของเขาไปได้ก่อน มีข่าวว่า โจนเชิญเฟรนโชต์ไปเที่ยว-กินข้าวที่บ้าน และบังเอิญพบเขา แก้ผ้าอยู่ในห้องอาบแดดในบ้านเธอ แล้วเธอก็ปล่อยข่าวนี้ด้วยตัวเอง  หลังจากนั้นเธอก็มักจะมาหาเขาที่กองถ่ายทำบ่อยๆ ซึ่งตอนนั้นเฟรนโชต์หลงใหลในโจนมาก ในช่วงพักกองทั้งคู่ก็มักจะออกไปกินข้าวกัน แต่เขาจะกลับมาพร้อมกับรอยลิปสติกเต็มหน้า เขาดีใจมากที่โจนรักเขา...แน่นอน นั่นทำให้หัวใจเบ็ตตี้สลาย หลังจากถ่ายทำเรื่อง Dangerous  เสร็จ ไม่นานโจนกับเฟรนโชต์ก็แต่งงานกัน

    โจน ครอวฟอร์ด และ เฟรนโชต์ โทน หนุ่มหล่อที่ทำให้เรื่องทั้งหมดปะทุขึ้น (รึป่าว?)

    และในงาน Oscar ปีนั้นเองเบ็ตตี้ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงใสาขานักแสดงนำหญิงยอดเยี่ยมจากเรื่อง Dangerous ในตอนนั้นวี่แววที่เธอจะชนะรางวัลนี้น้อยมาก เธอจึงไม่ได้มีความคิดว่าจะได้รับรางวัลเลยเธอจึงไปร่วมงานด้วยชุดสีฟ้ากรมท่าธรรมดาๆ แต่งานนี้กลับพลิกโผ เบ็ตตี้ได้รับ Oscarตัวแรกไปครอง เฟรนโชต์ซึ่งมีความรู้สึกดีๆให้เบ็ตตี้เสมอมา เขามักจะชมการแสดงอันน่าทึ่งให้โจนฟังทำให้เธอไม่ค่อยพอใจ

    หลังจากประกาศผลออกมา ทุกคนลุกขึ้นปรบมือให้กับผู้ชนะรางวัลเฟรนโชต์ลุกขึ้นกอดเบ็ตตี้ด้วยความดีใจ แต่โจนกลับนั่งหันหลังให้ เธอหันกลับมามองกวาดเบ็ตตี้ตั้งแต่หัวจรดเท้าและพูดว่า “เบ็ตตี้ที่รัก ชุดเห่ยนั่นน่ารักดีนะ” หลังจากนั้น2-3 ปี เฟรนโชต์กับโจนก็แยกทางกัน


    เบ็ตตี้ เดวิส กับ Oscar ตัวแรกของเธอ


    หลายปีต่อมา เบ็ตตี้ เปิดเผยกับ ไมเคิล ธอร์ตัน (Michael Thorton) นักข่าวกอซซิปชาวอังกฤษ ว่า "เธอแย่งเขาไปจากฉัน ทำกันได้อย่างเลือดเย็น เธอจงใจทำกับฉันอย่างโหดเหี้ยม ฉันไม่มีทางให้อภัยเธอได้...ไม่มีวัน”

    . . .

  • แม้เรื่องของโจนและสามี (เฟรนโชต์ โทน) จะจบลง แต่เรื่องของเธอกับเบ็ตตี้ไม่จบ ทั้งคู่มักจะมีข้อความ หรือวลีเด็ด พูดถึงอีกฝ่ายอย่างถึงพริกถึงขิงอยู่ตลอดดังเช่น


    “คุณเดวิสมักจะแต่งหน้าเป็นบางส่วนเวลาแสดงภาพยนตร์เธอเรียกมันว่าศิลปะ
    บางคนอาจจะเรียกว่าแปลงโฉม จริงๆแล้วต้องแต่งเพราะเธอไม่มีสิ่งที่
    เรียกว่าความสวยอยู่บนหน้าเลยต่างหาก”

     

    “นังหุ่นลองเสื้อคิ้วหนอน (African caterpillars)”

    “หล่อนคงนอนกับผู้ชายทุกคนใน MGM แล้วล่ะ ยกเว้นเลซซี่”


    เลซซี่ ชื่อตัวละครที่แสดงโดยสุนัข ในภาพยนตร์เลซซี่เป็นตัวเมีย แต่รับบทโดยสุนัขตัวผู้ (นักแสดงชาย)

    “เบ็ตตี้ที่น่าสงสารเธอคงไม่เคยมีวัน หรือคืนที่มีความสุข ตลอดชีวิตของเธอ”.


    “นักแสดงคนแรกของฮอลลีวู้ดที่ติดโรคซิฟีลิส”

     

    “เธอมีกลุ่มผู้คลั่งไคล้อะไรคือผู้คลั่งไคล้ นอกจากพวกหัวรุนแรงไร้สาเหตุ
    ฉันน่ะมีแฟนคลับนั่นต่างกันมากนะ”

     

    “ทำไมฉันถึงแสดงในบทที่ ร้ายกาจ ได้ดีงั้นหรอ
    ฉันว่าเป็นเพราะจริงๆฉันไม่ได้เป็นคนร้ายกาจ
    นั่นคงเป็นสาเหตุ ที่คุณคราวฟอร์ดมักจะแสดงในบท คนดี เสมอ”

     


    ก่อนหน้านั้นยังนับเป็นเรื่องที่ดีที่ทั้ง 2 อยู่ต่างค่ายกัน แม้จะชิงกันเด่นชิงกันดังบ้าง แต่ก็หมดปัญหาในการแย่งบทกัน...แต่แล้วเหตุการณ์กลับเลวร้ายลง 

    เมื่อทันทีที่ โจน ครอวฟอร์ด หมดสัญญากับ MGM ก็มีค่ายยักษ์ใหญ่ค่ายหนึ่ง รีบชิงตัวมาเธอมาทันที จะเป็นใครล่ะ Warner Bros. เองจ้า ในปี 1944 โจน คราวฟอร์ดเซ็นสัญญากับ Warner Bros. อย่างเป็นทางการ ยังเจ็บไม่พอ ว่ากันว่าหลังเซ็นสัญญาโจนได้รับห้องพักนักแสดงซึ่งห้องของเธออยู่ติดกับเบ็ตตี้อีกต่างหาก แถมในทุกๆวันที่เข้าสตูดิโอ โจนจะกล่าวคำทักทายกับทุกคนมีเพียงเบ็ตตี้เท่านั้นที่เมินเฉยต่อเธอ

    หลังจากนั้นก็จะมีข่าวที่ทั้งคู่คอยแย่งบทกันไปมาอยู่เสมอเช่น เรื่อง Mildred Pierce ในปี 1945 ที่โจนคราวฟอร์ดได้รับบทนำ ซึ่งจริงๆแล้วบทนี้ตั้งใจเขียนมาเพื่อ เบ็ตตี้ เดวิส โดยเฉพาะแถมในตอนแรกคุณ ผกก. ยังไม่พอใจอย่างมากที่จะได้ร่วมงานกับโจน แต่เพราะเธอทำตัวดีและตั้งใจแสดงออกมาได้อย่างวิเศษ เลยทำให้การถ่ายทำผ่านไปด้วยดีและด้วยการแสดงที่ยอดเยี่ยมนั้นเองทำให้ โจน ครอวฟอร์ด คว้า Oscar ตัวแรกไปครองได้ในปีเดียวกัน

    ในปีนั้น โจน ครอวฟอร์ด กลัวมากที่จะไม่ชนะ (กลัวเสียหน้าหลังจากโปรโมตตัวเองไว้ซะเยอะ) เธอจึงไม่ไปร่วมงาน
    และบอกผ่านโฆษกว่าเธอป่วยหนัก แต่พอผลประกาศออกมาว่าผู้ชนะเป็นเธอ ในวันรุ่งขึ้นผู้กำกับที่รับรางวัลแทน
    ได้นำรางวัลไปมอบให้เธอถึงบ้าน (พร้อมกับสื่อ) สิ่งที่เจอคือเธอนอนแต่งตัวสวยรออยู่ ไร้วี่แววการป่วย (555555555)


    แม้จะมีทุกอย่างที่ต้องการแต่ทั้งคู่ก็ไม่ยอมลดละต่อกันยังคงชิงดีชิงเด่นกันอยู่เสมอและยังคงมีคำพูดเสียดแทงกันไม่น้อยไปกว่าเดิม


    “ฉันไม่ได้เกลียดเบ็ตตี้ เดวิสแม้ทุกท่านจะอยากให้เป็นก็เถอะ
    ฉันแค่ไม่พอใจหล่อนเท่านั้น”


    “เธอน่ะเป็นแค่ดารา ส่วนฉันคือนักแสดง”

     

    “เบ็ตตี้ยอมแสดงทุกบทตราบใดที่ยังมีคนเข้าไปดูเธอ
    แต่ระดับฉันเนี่ยต้องเลือกหน่อย”
    (โจนมักจะรับเลือกแต่บทของสาวสวย เป็นผู้ดีได้ใส่เสื้อผ้าดีๆ
    เครื่องประดับสวยๆ ต่างกับเบ็ตตี้ ที่มักเลือกรับบทเป็นแปลกๆ
    เป็นเด็กบ้านนอกบ้าง เป็นคนแก่บ้าง)"

  • และต่อมาในปี 1952 เบตตี้ เดวิสได้มีโอกาสแสดงบทนำในภาพยนตร์เรื่อง The Star ความแสบมันอยู่ตั้งแต่ ผู้เขียนบทเลยล่ะ ทั้งแคทเธอรีน อัลเบิร์ต (Katherine Albert) และ เดล เอินสัน (Dale Eunson) ต่างก็เป็นเพื่อนเก่าของโจน ครอวฟอร์ด เปิดเผยว่าบทของตัวละคร มากาเร็ต เอลเลียต (Margaret Elliot) ที่แสนจะน่าขยะแขยงเนี่ยถอดแบบมาจากตัว โจน ครอวฟอร์ด เลยนะ แถมยังได้นักแสดงมากความสามารถอย่าง เบ็ตตี้เดวิส มาเล่นให้นี่มันสมบูรณ์แบบจริงๆ

    ตัวละครมากาเร็ต เอลเลียต ในเรื่อง The Star ที่อ้างว่าได้แรงบันดาลมาจาก โจน ครอวฟอร์ด รับบทโดย เบ็ตตี้ เดวิส


    สาเหตุที่ทำให้ทั้งคู่เลิกเป็นเพื่อนกับโจนเพราะอะไรไม่มีใครรู้ แต่หลังจากเรื่องนี้แพร่ออกไป โจนก็หาทางเอาคืนได้อย่างสาสม โดยในระหว่างที่กองถ่ายเรื่อง The Star กำลังดำเนินไป ระหว่างนั้นลูกสาววัย 17 ปี ของแคทเธอรีนและเดลกำลังมีความรักมากมายอยู่กับเซลแมนขายรถ เคอร์บี้ (Kurby) พอข่าวนี้รู้ถึงหู แม่ทูนหัวอย่างโจนคราวฟอร์ด เธอจึงเสนอจะจัดงานแต่งให้ทั้งสองในบ้านของเธอเอง โดยไม่ได้เชิญให้พ่อแม่ของเจ้าสาวอย่างแคทเธอรีนและเดลมาร่วมงานด้วยซ้ำ ช่างเป็นการแก้แค้นที่อมหิตเหลือเกิน

    ลูกสาวของ แคทเธอรีนและเดล  มีชื่อว่า โจน อีวานส์ (Joan Evans) ซึ่งตั้งตามชื่อของ โจน ครอวฟอร์ด สมัยที่ยังเป็นเพื่อนกัน

    ว่ากันว่าแคทเธอรีนและเดลรู้เรื่องความสัมพันธ์ของลูกสาวและแฟนหนุ่มอยู่แล้ว แต่ไม่อยากให้ทั้งคู่แต่งงานกันเพราะยังเด็ก และกลัวจะหมดอนาคตในวงการ แต่ดูแล้วจะห้ามไม่อยู่ แต่เมื่อรู้ไปถึงหูโจน ครอวฟอร์ด ทั้งแคทเธอรีนและเดลก็หวังในนางช่วยห้ามปราม แต่กลับโดนหักหลัง พาลูกไปแต่งงานแถมเยาะเย้ยด้วยการโทรศัพท์มาบอกด้วยว่า

    “ถึง แคทเธอรีนและเดลที่รักฉันอยากจะแจ้งเรื่องราวน่ายินดีนี้ให้พวกเธอรู้เป็นคนแรก ว่าโจนและเคอร์บี้จะแต่งงานกันที่บ้านของฉันในคืนนี้”

    นี่ทำให้ทั้งคู่โกรธมากและยิ่งเกลียดโจนเข้าไปใหญ่เมื่อเบ็ตตี้รู้เรื่องนี้เข้าทั้งสงสารทั้งเจ็บแค้นแทนเลยยุทั้งสองให้บุกไปหาโจนที่บ้านและควักลูกตาของเธออกซะ

    (ปล. แม้จะแต่งงานแล้วโจนอีวานส์ ก็ยังคงเป็นนักแสดงต่อไปได้)


    โจนบอกเสมอว่าเธอไม่เค้ยยย ไม่เคยดูเรื่อง The Star นี้เลย
    แต่ภายหลังเธอก็บอกว่า "แน่นอน ฉันได้ยินมาว่าหล่อนจะเล่นเป็นฉัน
    มันควรจะเป็นอย่างนั้นแต่ฉันไม่เชื่อหรอก คุณได้ดูแล้วรึยัง?
    มันไม่มีทางเลยที่จะเป็นฉันได้เบ็ตตี้น่ะดูแก่ แถมดูอ้วนจนน่าสยอง”

    . . .

  • ในยุคถัดมาในเวลาที่ดาราหน้าใหม่เกิดขึ้น เป็นธรรมดาที่ทั้งคู่จะไม่ดังเปรี้ยงเหมือนเก่า พวกเธอทั้งสองแก่ขึ้น สวยน้อยลง งานก็น้อยลงตาม ทั้งสองหันเหไปรับงานทางโทรทัศน์บ้าง ขณะเดียวกันทาง โจน ครอวฟอร์ด เธอก้าวขึ้นเป็นนักธุรกิจ ลงทุนและบริหารธุรกิจต่างๆ ส่วน เบ็ตตี้ เดวิส ใช้เวลาในช่วงต้น 60s กลับไปเล่นละครเวที (แน่นอนการแสดงเป็นสิ่งที่เธอรักเสมอ)

    ในปี 1961ขณะที่เบ็ตตี้แสดงละครเวทีเรื่อง The Night of the Iguana ผู้ที่แวะมาเยี่ยมเยียนเธอหลังเวทีการแสดงนั้นไม่ใช่ใคร โจน ครอวฟอร์ด

    เธอมาพร้อมกับบทละครเรื่อง What Ever Happened to Baby Jane? โจนยื่นข้อเสนอว่าจะเป็นไปได้ไหมหากเบ็ตตี้จะยอมมาร่วมงานด้วยกัน แน่นอนเธอสนใจ ในใจที่อยากตอบรับอย่างเต็มแก่ แต่ด้วยความรอบคอบ เบ็ตตี้บอกจะยอมเล่นถ้ามีข้อตกลงที่น่าพอใจ

    หลังจากได้อ่านบทละคร เบ็ตตี้ต้องการเลือกผู้กำกับเรื่องนี้ด้วยตัวเอง เธอเดินทางไปหา โรเบิร์ต อัลดริช (Robert Aldrich) ขอให้มากำกับภาพยนตร์เรื่องนี้ โดยมีเพียง 2 คำถามเท่านั้นว่า เป็นไปได้ไหมที่เธอจะเล่นบท เบบี้ เจน? และ เขาไม่เคยหลับนอนกับโจน ครอวฟอร์ดใช่ไหม? เมื่อได้คำตอบและข้อตกลงที่พึงพอใจ เบ็ตตี้ เดวิส ตอบตกลงร่วมแสดงภาพยนตร์กับ โจน ครอวฟอร์ด เป็นเรื่องแรก

    แต่เรื่องมันก็ไม่ง่ายนัก ในขณะนั้นทั้งคู่เป็นนักแสดงไร้สังกัด ไม่มีนายทุนที่ไหนอยากจะลงทุนกับหนังที่มียายแก่2 คนเป็นตัวแสดงนำ ขนาดบ้านเก่าอย่าง Warner Bros. ยังปฎิเสธ แถมยังแนะอีกว่า “ไปหานักแสดงสาวๆมาเล่นแทนยังจะน่าสนใจกว่า” แต่แล้วสวรรค์ก็มาโปรดเมื่อสตูดิโอค่ายเล็กอย่าง Seven Arts ตอบตกลงและหาเงินมาลงทุนให้ได้ แต่ก็มีข้อเสนอทางการเงินสุดโหด เช่น ค่าตัวนักแสดงที่แสนน้อย แถมในงบประมาณหลักก็มีไม่มาก แถมตกลงกันว่ารายได้ที่ได้รับจะต้องหักเปอร์เซ็นต์ให้เท่ากันเป๊ะๆ (ค่าย-นักแสดงนำ)

    แต่ทุกคนก็ยอมรับได้และการถ่ายทำจึงเริ่มขึ้น (ต่อมาทาง Warner Bros. ก็ยอมร่วมทุนด้วยและให้การสนับสนุนในหลายๆอย่างรวมถึงการกระพือข่าวเกี่ยวกับเรื่องราวต่างๆต่อจากนี้เพื่อเรียกเรตติ้งให้กับภาพยนตร์) เรื่องเงินก็สำคัญ แต่ทั้งคู่แย่งชิงเรื่องที่ชื่อใครจะได้ขึ้นก่อนมากกว่า สุดท้ายก็เลยเอาชื่อขึ้นพร้อมกัน


     Whatever Happened to Baby Jane? ได้กำเนิดขึ้นแล้วววว นำแสดงโดย เบ็ตตี้ เดวิส และ โจน คราวฟอร์ด


    ตอนแรก Whatever Happened to Baby Jane? จะถ่ายทำเป็นภาพยนตร์สี แต่ เบ็ตตี้ เดวิส เสนอว่าหากเป็นภาพสีมันจะดูสดใสและในบางฉากอาจจะทำให้ดูตลกเกินไป ให้ภาพยนตร์ออกมาในรูปแบบขาวดำจะดีกว่าซึ่งมันก็จริง ภาพขาวดำ แบบนี้ เรียกความสะพรึงได้ดีทีเดียว

    หนึ่งในภาพยนตร์ขาวดำที่ตรึงใจผู้ชมตลอดกาล กับตัวละคร เบบี้ เจน ที่ยังเป็น Icon ความน่าสะพรึงถึงปัจจุบัน
  • ในปี 1962 การถ่ายทำ Whatever Happened to Baby Jane? เริ่มดำเนินขึ้น ภาพยนตร์แนวระทึก สยองขวัญ

    เกี่ยวกับหญิงที่ดังจากการแสดงในช่วงปลายทศวรรษที่สิบตั้งแต่เล็กคือ เจน ฮัดสัน (เบ็ตตี้ เดวิส) ที่รู้จักในชื่อการแสดงว่า เบบี้ เจน ฮัดสัน แต่พอโตขึ้นกลับติดเหล้างอมแงม ส่งผลให้เธอเริ่มไม่มีงานทำ รวมถึงเกิดอาการทางจิตนึกว่าตนเองยังดังเหมือนตอนเด็กอยู่ โดยการแต่งตัว พูดกับตุ๊กตาและเต้นรำเหมือนตอนเด็กๆ

    ต่างกับพี่สาวของเธอ บลานซ์ ฮัดสัน (โจน ครอวฟอร์ด) ซึ่งในตอนเด็กนั้นถูกน้องสาวและพ่อเหน็บแนมว่าเธอไม่ได้ช่วยหาเลี้ยงครอบครัวทำให้เธออิจฉาน้องที่ดัง และไม่มีใครสนใจเธอเลย จนกระทั่งโตขึ้นในช่วงทศวรรษที่สามสิบ เธอกลับโด่งดังขึ้นเรื่อยๆถึงกับซื้อบ้านเป็นของตัวเองอยู่กับน้องสาวนั่นทำให้เจนเริ่มอิจฉาบลานซ์มากขึ้นเรื่อยๆจนกระทั่งเธอเกิดอุบัติเหตุทำให้เธอเป็นอัมพาตทั้งขาไปไหนไม่ได้นอกจากอยู่บ้านชั้นบน โดยมีน้องสาว และสาวใช้ที่แวะมาหาเธอบ้างเป็นพักๆ

    ต่อมาบลานซ์ได้เริ่มรู้สึกถึงความผิดปกติทางจิตของน้องสาวที่รุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆทำให้เธอมีความคิดที่จะขายบ้านหลังนี้ เพื่อที่จะอยู่กับสาวใช้พร้อมกับจัดหาบ้านให้เจนอยู่เรียบร้อย แต่เจนกลับไม่ยอม ด้วยความอิจฉาอยู่แล้วเจนจึงเริ่มเหี้ยมเกรียมต่อพี่สาวเธอและออกอาการมากขึ้นๆเรื่อย ขณะเดียวกันเจนก็เริ่มที่จะหาทางกลับไปแสดงอีกครั้งหนึ่งเหมือนตอนที่สมัยเธอเป็นเด็ก

    ขอบคุณเรื่องย่อจาก
    – http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=mcmurphy&month=10-2009&date=20&group=3&gblog=7


    การถ่ายทำ และทุกอย่างดำเนินไปได้ด้วยดีทุกคนมีความสุข ทั้งเบ็ตตี้และโจนก็ต่างสุภาพต่อกัน (ต่อหน้าสื่อ) แต่ลับหลังก็ต่างหาเรื่องแหกอกกันไม่เว้นวัน เริ่มตั้งแต่ในวันแรกที่เปิดกอง โจนส่งของขวัญและจดหมายเล็กๆให้กับนักแสดงและทีมงานทุกคนในกอง แต่เบ็ตตี้ส่งของนั้นกลับมาพร้อมกับจดหมายเล็กๆว่า “อย่ามาตอแ-ล” 

    หรือการที่บ็ตตี้ฉีกหน้า โจนที่ตอนนั้นเป็นเป็นประธานบริหารของบริษัทเครื่องดื่ม Pepsi (แต่งงานกับเจ้าของบริษัท)ด้วยการติดตั้งเครื่องจำหน่ายเครื่องดื่ม Coca-Cola (Coke) ไว้ในกองถ่าย (บ้างก็ว่าโจนเป็นฝ่ายติดตั้งเครื่องจำหน่าย Pepsi ในกองถ่ายก่อนเบ็ตตี้จึงสั่งติดตั้งเครื่องจำหน่ายโค้กไว้ในห้องแต่งตัวของเธอเองภายหลัง)

    และในทุกๆคืนทั้งสองก็ต่างโทรไปหาผกก. เพื่อฟ้องถึงการกระทำของอีกฝ่าย แค่นั้นยังไม่พอ เบ็ตตี้ยังชอบล้อเลียนที่โจนเป็นพวกหวงภาพลักษณ์ เธอเคยสกัดขา/ผลักโจน จนเกือบตกบันได แถมยังเคยแอบเอาขนตาปลอมใส่ลงเสื้อในของโจน


    ว่ากันว่าในฉากอาหารกลางวันเบ็ตตี้เคยสลับของถ่ายทำกับหนูจริงด้วย
    (แต่ในภาพยนตร์เป็นหนูปลอมนะจ๊ะ)


    ซึ่งตัวโจนเองก็ชอบเม้าท์ลับหลังเกี่ยวกับกลิ่นตัวของเบ็ตตี้ ยังไม่หมดนะในระหว่างกองถ่ายเบ็ตตี้ชอบพูดลอยๆเกี่ยวกับ “นังอรพิษ” เวลาที่โจนอยู่ใกล้ๆในหลายๆครั้ง

    ในเวลาต่อมาลูกชายของ ผกก. เผยกว่า พ่อเขาเคยเล่าให้ฟังว่า โจน ขอร้องให้ใช้ตัวแสดงแทนในฉากหนึ่งในภาพยนตร์ เธอกล่าวว่า “ฉันไม่ไว้ใจคุณเดวิส...งานนี้หล่อนเตะฟันฉันร่วงแน่” ซึ่งดูแล้วโจนจะกังวลเรื่องนั้นจริงๆจนผกก. ยอมให้มีการใช้ตัวแสดงได้ แต่ในฉากโคลสอัพก็จำเป็นที่โจนจะต้องเล่นเอง

    นั่นทำให้ เบ็ตตี้ บังเอิญ เตะโจนเข้าที่หัวเต็มๆ หลังจากเรื่องนี้แพร่ออกไปเบ็ตตี้ปฏิเสธในการกระทำ แถมบอกว่า “ฉันโดนตัวหล่อนซะที่ไหนล่ะ” แต่งานนั้นอาการหนักถึงขั้นที่โจนต้องเย็บแผลเลยทีเดียว


    อ้าว บังเอิญโดน ท่ดๆๆ

    ซึ่งหลังจากนั้นโจนก็เอาคืนได้อย่างแสบถึงใจ โดยเธอรู้มาตลอดว่าเบ็ตตี้มีอาการปวดหลังเรื้อรัง ในฉากหนึ่งที่เบ็ตตี้ต้องลากเธอผ่านห้อง เธอจงใจเพิ่มน้ำหนักตัวให้ตัวหนักที่สุดเท่าที่จะทำได้ ทำให้เบ็ตตี้ต้องออกแรงเยอะขึ้นจนอาการปวดหลังกำเริบ (บ้างก็ว่าเธอยัดแผ่นเหล็กยกน้ำหนักไว้ที่ซับในบ้างก็ว่าเธอใส่ก้อนหินไว้เต็มกระเป๋าหรือแม้แต่กินพายชิ้นโตคนเดียวหมดทั้งชิ้นเพื่อเพิ่มน้ำหนัก –จะเชื่อเรื่องไหนลองพิจารณากันเอง)

    ซึ่งตัว ผกก. เคยบอกไว้ว่า “ที่จริงมันก็ไม่ได้เป็นฉากที่ยากอะไรในการลากคนข้ามห้อง...แต่โจนต้องการให้เบ็ตตี้ทรมาณ เราถ่ายซ่อมฉากนั้นอยู่ 2-3 ครั้งเพราะระหว่างที่ลากไป เบ็ตตี้จะหยุดกลางคันนั่นทำให้ต้องถ่ายใหม่...เมื่อถ่ายทำเสร็จ เบ็ตตี้กรีดร้องด้วยความเจ็บปวดแทบจะคลานกลับไปที่ห้องแต่งตัวทีเดียว เวลานั้นล่ะเลยทำให้เราได้รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น...”


    เมื่อเรื่องนี้แพร่ออกไป ใครๆก็ต่างพูดถึง โจนเลยพูดถึงเรื่องนี้ไว้ว่า “แผ่นเหล็กยกน้ำหนักหรอ? แล้วเบ็ตตี้ยังเที่ยวบอกใครต่อใครว่าฉันหนักเป็นช้างเลยเนี่ยนะ ไม่ใช่แน่นอน มันอาจจะลำบากหน่อยที่หล่อนต้องยกฉันออกจากเตียง แต่ถ้าคุณเป็นมืออาชีพพอคุณต้องมองข้ามความโกรธแค้นต่างๆแล้วพยามช่วยให้การแสดงนั้นผ่านไปได้ด้วยดี เพราะงั้นมันไม่ใช่เรื่องจริงแน่ๆ”

    ในปี 1989 เมื่อถูก ชอน คอนซิดีน (Shaun Considine) สัมภาษณ์ถึงเรื่องนี้ เบ็ตตี้ เดวิส กล่าวว่า “ในบางช่วงเวลาผู้หญิงอย่างเราก็ทำอะไรโดยไม่มีเหตุผล”

  • ถ้าหวังจะให้เรื่องวุ่นวายในกองถ่ายจบเพียงเท่านี้ก็คงต้องไปอ่านเรื่องอื่น เพราะนอกจากนี้ในขณะที่การถ่ายทำดำเนินไปจนใกล้จะเสร็จสมบูรณ์ ในห้องตัดต่อ(หรืออะไรซักอย่าง) โจน บอกกับผู้กำกับว่า ในฉากสุดท้ายที่เบบี้เจน (เบ็ตตี้) พา บลานช์ (โจน) ไปยังชายหาด มันดูไม่สมบูรณ์ เพราะ แสง ลงที่เบ็ตตี้สวยกว่า เธอต้องการถ่ายทำฉากนี้ใหม่

    อาจจะฟังดูไร้สาระ แต่ทาง ผกก.เห็นด้วยกับเธอ เพราะหลังจากพิจารณาดูแล้วเขาบอกว่า ในฉากจบนี้มันจำเป็นต้องสมบูรณ์แบบ แสงในแบบเดิมมันยังไม่ดีพอจริงๆ

    แสงที่ชายหาด มันทำให้โจนดูไม่เด่นเท่าเบ็ตตี้ นั่นเป็นเรื่องที่ยอมไม่ได้

    “เราพาทีมงาน 60คนกลับไปที่ชายหาดใหม่ไม่ได้ เพราะงั้นเราจึงเนรมิตให้สตูดิโอเป็นแทน” เบ็ตตี้กล่าว “เราใช้ทรายกว่า 60 ตัน และเงินกว่า 60,000 เหรียญ เพื่อถ่ายทำฉากนี้ใหม่” แล้วการถ่ายทำก็ผ่านไปได้ด้วยดี

    ปูทรายใหม่ ถ่ายกันใหม่อีกนิดนึง อ่า- สวยงาม ♥

    หลังจากปิดกล้องแล้วในงานเลี้ยงฉลอง หลายๆคนสังเกตว่า โจน ครอวฟอร์ด ไม่ได้มาร่วมงานบ้างก็ว่าเธอต้องรีบกลับนิวยอร์กเพื่อไปดูแลบริษัท บ้างก็ว่าเธอหนี เบ็ตตี้ เดวิสเพราะกลัวว่าถ้าเบ็ตตี้ดื่มในงานเลี้ยงอาจจะกล้าทำอะไรแผลงๆใส่เธอซึ่งหลายคนก็บอกว่า โจน คิดถูกแล้วที่ไม่มาในงานคืนนั้น

    โจน ครอวฟอร์ดเคยให้สัมภาษณ์เกี่ยวกับตอนแสดงเรื่อง What Ever Happened to Baby Jane? ไว้ว่า “...ใช่แล้วล่ะ หล่อนมักจะชอบแย่งซีนในฉากสำคัญเสมอ แต่ที่น่าขำคือพอได้ลองดูเรื่องนี้อีกครั้งซีนที่นางพยามแย่งไป มันทำให้หล่อนยิ่งดูเหมือนตัวตลก ในขณะดีฉันยังดูดีอยู่เลย”

    และเคยพูดถึงการทำงานกับเบ็ตตี้เดวิส ที่รายการ Town Hall ตอนปี 1973ไว้ว่า “มันเป็นเรื่องท้าทายที่สุดอย่างหนึ่งของฉันเลย (รอให้ผู้ชมหยุดหัวเราะจึงพูดต่อ) ฉันหมายถึงเบ็ตตี้น่ะเป็นพวกอารมณ์แปรปรวนมากกว่าฉันซะอีก...ในทุกเช้าเธอจะตะโกนตะคอก ไปทั่ว ระหว่างที่เธอตะคอกคนอื่น ฉันก็แค่นั่งถักผ้าพันคอ...ฉันถักได้ยาวประมาณฮอลลีวู้ดถึงมาลีบูเลยล่ะ (สื่อว่าเบ็ตตี้ชอบตะคอกใส่คนอื่นเป็นเวลานานๆ)”

    โจน คราวฟอร์ด ในปี 1973 ณ รายการ Town Hall

     
    ซึ่งครั้งหนึ่งในกองถ่าย โจน คราวฟอร์ด เคยรับชมภาพยนตร์ของเบ็ตตี้ เดวิส เรื่อง Dark Victory (1939) ดูเหมือนว่าเธอจะซาบซึ้งมากจนร้องไห้โฮ ออกมา ซึ่งเบ็ตตี้กล่าวว่า “โจนน่ะบ่อน้ำตาตื้นสุดๆ เธอร้องไห้ตลอดล่ะ ต่อมน้ำตาเธอต้องอยู่ใกล้กับกระเพาะปัสสะวะมากแน่ๆ”

    เมื่อสื่ออยากรู้ว่าเธอและโจนเคยแย่งบทกันบ้างหรือไม่เธอตอบว่า “เราทั้ง 2 คนน่ะมันคนละแนวกันโดยสิ้นเชิงเลยนะ ฉันล่ะคิดไม่ออกเลยซักนิดว่าทุกบทที่ฉันได้รับโจนจะสามารถเล่นได้ นึกไม่ออกเลย คุณนึกได้มั้ยล่ะ?”

  • หลังจากภาพยนตร์ได้ลงฉายกลายเป็นว่าผลตอบรับดีเกินคาด รายได้ถล่มทลาย จากข้อตกลงที่จะแบ่งเปอร์เซ็นต์อย่างเท่ากันกลายเป็นเรื่องดี เรียกได้ว่าทั้งคู่กลับมารวยอีกครั้งเลยล่ะ ในปีต่อมานั้น Warner Bros. พยามผลักดันให้ทั้ง 2 มีชื่อเข้าชิงใน Oscar

    ในด้านการแสดงของเบ็ตตี้นั้นไร้ข้อกังขา บทที่เธอได้รับนั้นกินขาดแน่นอน แต่เพื่อเห็นแก่ความทุ่มเทในการแสดงและความพยามฝึกซ้อมใช้วีลแชร์ของโจน ทางค่ายจึงเสนอชื่อไปทั้งสองคน แต่ก็ต้องผิดหวัง เหล่านักวิจารณ์กล่าวว่า “ในบทของบลานช์ ใครๆก็เล่นได้ แต่บทของเบบี้เจนนั้น ช่างแตกต่าง มีเอกลักษณ์ โลดโผน และน่าจดจำ ซึ่งเบ็ตตี้ทำออกมาได้ดีมาก”

    การแสดงที่น่าทึ่งของ เบ็ตตี้ เดวิส มัดใจผู้ชมได้อยู่หมัดจริงๆ

    ต่อมา เบ็ตตี้ ผู้ที่ชนะ Oscar แล้วถึง 2 รางวัลกล่าวกับ อาร์มี อาร์คเชิด (Army Archerd) คอลัมนิสต์ชาวอเมริกันว่า “ใช่แล้ว ฉันต้องการ Oscar ตัวนี้มาก ฉันต้องเป็นคนแรกที่ได้ Oscar 3 รางวัล” (ในขณะนั้นยังไม่มีใครทำได้)

    รายชื่อผู้เข้าชิงรางวัล Oscar สาขานักแสดงนำหญิงยอดเยี่ยมปี1963 ไร้ชื่อ โจน ครอวฟอร์ด เมื่อสื่อขอความเห็นเธอในเรื่องที่ไม่มีชื่อเธอติด กล่าวว่า “ฉันรู้มาโดยตลอดว่าเบ็ตตี้ต้องเป็นผู้ที่ถูกเลือก และฉันก็หวังและขออวยพรให้เธอได้รับรางวัลนี้”

    “ตอแ-ลสิ้นดี!” คำพูดแรกหลังจากเบ็ตตี้เดวิสทราบถึงเรื่องนี้ “ทันทีที่คุณครอวฟอร์ดทราบว่าตัวเองนั้นไม่มีชื่ออยู่ในรายการ เธอรีบบึ่งไปยังบอร์ด Oscar เพื่อขอเป็นคนเชิญรางวัลเลยล่ะ แถมยังตรงดิ่งกลับนิวยอร์กไปบอกผู้คนไม่ให้โหวตให้ฉัน แล้วเธอยังโทรศัพท์หาผู้ร่วมชิงรางวัลทุกคนว่าถ้าไม่สะดวกมาเธอขออาสาขึ้นไปรับรางวัลแทนอีก”

    ในตอนนั้น หนึ่งในผู้เข้าชิงรางวัล แอน แบนครอฟท์  (Anne Bancroft) เต็มใจอย่างมากที่โจน ครอวฟอร์ด จะอาสาขึ้นรับรางวัลแทน เพราะเธอชื่นชมและนับถือในตัวโจนมาก

    . . .

    ในวันประกาศผลรางวัล โจน ครอวฟอร์ด ควงคู่มากับ ซีซ่าร์ โรเมโร (Cesar Romero) เธอเดินแจกลายเซ็น ทักทายพูดคุยกับแฟนคลับอย่างเป็นกันเอง ส่วน เบ็ตตี้ เดวิส มาพร้อมกับลูกสาว ลูกชาย และนักแสดงรุ่นน้อง โอลิเวีย เดอ ฮาวิลแลนด์ (Olivia de Havilland) - นางซี้กันที่จริงมีหลายเหตุการณ์ที่โอลีเวียมีเอี่ยว แต่ขอตัดออกไปก่อน

    โอลิเวียกล่าวถึงเบ็ตตี้ว่า  “เธอคู่ควรกับรางวัลนี้ เธอสุดยอดมากๆตอนนี้วงการนักแสดงติดหนี้บุญคุณเธออยู่นะคะ” (อวยเฟร่อ)  แถมมีแอบเม้าท์กันว่า โจน คราวฟอร์ดไม่มีชื่อติดในรายการใดเลย ที่จริงไม่จำเป็นต้องมาก็ได้นะ

    ขณะนั้น เบ็ตตี้รู้สึกมั่นใจอย่างมากว่า Oscar ครั้งนี้จะตกเป็นของเธอ เพราะกระแสทุกอย่างมันดีมาก เธอนั่งเฉิดฉาย แต่งตัวสวยรอฟังผล หลังจากประกาศรายชื่อผู้เข้าชิงทั้ง 5 แล้ว เบ็ตตี้ผู้มั่นใจฝากกระเป๋าถือให้แก่โอลีเวียเพื่อเตรียมตัวลุกขึ้นรับรางวัล

    “ผู้ชนะคือ......แอน แบนครอฟท์  จาก The Miracle Worker“

    เปรี้ยง! เหมือนโดนตบเข้าที่หน้าฉาดใหญ่และเหมือนโดนตบเข้าอีกที เมื่อ โจน ครอวฟอร์ด เยื้องย่างผ่าน โอลิเวีย เดอฮาวิลแลนด์ มาทางเธอ มือที่เย็นเฉียบจับลงบนไหล่ พร้อมกับเสียงกระซิบว่า “ขอตัวก่อนนะจ๊ะ พอดีมีรางวัลที่ต้องขึ้นไปรับ”  เปรี้ยง! Bi+ch!

    (หลายคนๆคงไม่เข้าใจว่าเรื่องแค่นี้ทำไมถึงดูน่าเจ็บแค้น สิ่งที่โจนทำมันยิ่งกว่าการหักหน้า มันเหมือนเป็นการขยี้ซ้ำ หลังจากวันนั้นในทุกสื่อมีรูปโจนคราวฟอร์ดถือรางวัล Oscar เต็มไปหมด ไร้ซึ่งเงาเบ็ตตี้ เดวิสที่เมื่อก่อนแต่คนพูดถึง ไม่ได้รางวัลว่าเสียใจแล้ว คนที่เกลียดไม่มีชื่ออยู่ในโผด้วยซ้ำแต่กลับมีรูปถือรางวัลว่อนอยู่เต็มเมืองเจ็บ มันเจ็บ)

    โจน ครอวฟอร์ด เดินเฉิดฉายขึ้นไปรับรางวัล Oscar แทน แอน แบนครอฟท์

    เหตุการณ์ในครั้งนี้ถูกพูดถึงเป็นวงกว้างเช่น

    ในหนังสือ Inside Oscar ได้มีข้อความที่กล่าวโดยเบ็ตตี้ว่า “ฉันควรได้รางวัลนั้น แต่ถึงฉันไม่ได้มันก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร แต่โจนสิ่งที่หล่อนทำเพื่อกดฉันให้ดูด้อยลง มันไม่น่าให้อภัยเลยจริงๆ”

    โจน ครอวฟอร์ด เองก็เคยกล่าวว่า “การไม่ซื่อสัตย์ไม่เคยอยู่ในหัวฉันเลยนะถ้า เจอรัลดีน เพจ (Geraldine Page) ชนะรางวัลนี้ ฉันก็จะยินดีกับเธอเหมือนกัน ฉันทำงานเพื่อวงการนะไม่ใช่เพื่อใครคนเดียว”

    จากนิตยาสาร Time “นับเป็นอัปราชัยที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในคืนนั้น”ณ หลังเวที โจนอยู่รวมกับผู้ชนะรางวัลคนอื่นๆ “เธอจูบ เกรกอรี่ เป็ก (Gregory Peck) เธอจูบแพตตี้ ดุก (Patty Duke) เธอจูบเอ็ด แบ๊กเลย์ (Ed Begley) เธออาจจะจูบคนเปิดประตูหรือคนขับรถด้วยก็ได้ ถ้านั่นทำให้เธอภาพถ่ายอีกซักภาพ”

    โจน ครอวฟอร์ด กับเหล่าผู้ชนะรางวัลในคืนนั้น
    เกรกอรี่ เป็ก, แพตตี้ ดุก และเอ็ด แบ๊กเลย์

    เฮดด้า ฮอปเปอร์ (Hedda Hopper) เขียนลงคอลลัมของเธอไว้ว่า “มันทำร้ายเบ็ตตี้มากเชียวล่ะ แต่ในระหว่างโชว์ จะยอมลดหรืออยากเด่น ไม่มีใครสามารถหยุดโจน ครอวฟอร์ดได้”

    โปรดิวเซอร์รายการโทรทัศน์ชื่อดัง ริชาร์ด ดันแลป (Richard Dunlap) กล่าวว่า “เบ็ตตี้กัดบุหรี่ของเธอแทบขาด ดูเหมือนแทบจะหยุดหายใจด้วย....เธอเสียรางวัลไป แถมโจนกลายเป็นคนที่ยืนอยู่ตรงนั้นแล้วคืนนั้นก็กลายเป็นคืนของโจน”

    ในอีกทาง เลน บักซ์เทอร์ (Len Baxter) นักข่าวที่สัมภาษณ์โจนคราวฟอร์ดในคืนนั้นเปิดเผยว่า คืนนั้นหลังจากประกาศรายชื่อผู้ชนะแล้วนักแสดงหลายท่านไปรวมตัวกันที่ด้านหลังเวที นั่นรวมถึง โจน ครอวฟอร์ด, เบ็ตตี้ เดวิส และ โอลิเวีย เดอ ฮาวิลแลนด์ ด้วย ในที่นั้นโจนดูเปล่งประกายมาก

    เบ็ตตี้เดินอ้อมมาทางด้านหลังและจูบที่หลังต้นคอโจนเบาๆ เพื่อแสดงความยินดี “ขอบใจมากจ้ะ”  โจนกล่าว เธอบอกเพิ่มเติมกับนักข่าวว่า “นั่นเป็นสิ่งที่น่ารักที่สุดที่มนุษย์คนหนึ่งจะทำได้”....”ความใจดีและความอ่อนโยนของเธอในตอนนั้นมันจับใจฉันจริงๆ ฉันรู้สึกได้เลยว่าพวกเราเป็นเพื่อนกันแล้ว”

    “ให้ตายเหอะ ใช่ซะที่ไหน” เบ็ตตี้กล่าวต่อสื่อหลังจากที่มีคนเล่าถึงเหตุการณ์นี้ให้ฟัง “เหตุการณ์นั้นไม่เคยเกิดขึ้นอย่างแน่นอน”

    หมั่นไส่ ขยี้หน้าทีนึง
  • ในเวลาต่อมาหลังจากความสำเร็จของ Whatever Happened to Baby Jane? ผกก. คนเดิม โรเบิร์ต อัลดริช เสนอให้ โจนและเบ็ตตี้กลับมาเล่นภาพยนตร์ด้วยกันอีกครั้งในเรื่อง Whatever Happened to Cousin Charlotte? เขานำเรื่องนี้ไปเสนอแก่เบ็ตตี้ เธอสนใจในบทนี้มาก แต่ยื่นคำขาดว่าคราวนี้ชื่อเธอต้องได้อยู่ก่อนชื่อ โจน ครอวฟอร์ด เท่านั้น

    ซึ่งเรื่องนี้ไม่ยากเกินไป ถ้าเบ็ตตี้อยากได้อะไร เธอก็ต้องได้และเธอได้สิ่งนั้น ทั้ง ผกก. และโจนยอมตกลงให้ชื่อเบ็ตตี้ได้ขึ้นเป็นคนแรก ที่โจนยอมเพราะ เธอเรียกค่าตัวจนสูงลิบถึง 200,000 เหรียญ/เดือน ต่อมาภาพยนตร์ได้เปลี่ยนชื่อเป็น Hush… Hush, Sweet Charlotte และมีค่ายใหญ่อย่าง 20th Century Fox เป็นนายทุนให้

    ภาพคู่กันในภาพยนตร์เรื่องใหม่


    หลังทราบว่าจะได้ร่วมงานกับ โจน อีกเบ็ตตี้ถึงกับหลุดปากพูดกับ ผกก. ว่า
    “ฉันจะไม่ยอมฉี่รดเธอ (เพื่อดับไฟ) แม้เธอจะถูกไปคลอกอยู่”

    กองถ่ายทำเริ่มดำเนินตอนปี 1964 แต่กว่าจะได้ถ่ายทำก็มีเรื่องเกิดขึ้นมากมาย เช่น กองถ่ายต้องเลื่อนวันเปิดกองออกไปเพราะต้องรอให้ โจนติดต่อธุรกิจให้เสร็จเสียก่อน (Pepsi) และเมื่อเปิดกล้องแล้วก็มีเรื่องแบบโจนชอบบ่นจู้จี้จุกจิก หรือเบ็ตตี้ชอบออกคำสั่งกับ ผกก. มากเกินไป แต่เมื่อเริ่มการถ่ายทำไปซักพัก กองถ่ายต้องหยุดชะงักลงเพราะโจนมีอาการป่วย  ซึ่งเบ็ตตี้พูดถึงเรื่องนี้ไว้ว่า “ฉันบอกไม่ถูกเลยล่ะว่ารู้สึกยังไงในอาทิตย์ที่ผ่านมาที่กองถ่ายต้องหยุดเพื่อรอให้หล่อนหายป่วย เห้อ ทรมาณดีแท้ๆ”

    แต่อาการป่วยของโจนนั้นเรื้องรังเกินไป ทางทีมงานมีทางเลือกไม่มากนักระหว่างยุติการถ่ายทำลงไปก่อน (พับเก็บโครงการ) หรือหาคนมาแสดงแทน

    แน่นอน ทีมงานไม่ยอมยุติการถ่ายทำแน่ (เบ็ตตี้ไม่มีทางยอม) โจนถูกเขี่ยทิ้ง และได้ โอลิเวีย เดอ ฮาวิลแลนด์ มาแสดงแทนเบ็ตตี้ดีใจมากที่ได้ร่วมงานกับโอลิเวีย และไม่มีโจนอีกต่อไป เธอดื่มฉลองด้วยโค้ก1 แก้วเต็มๆ

    หมดแก้วเลยจ้า

    เมื่อถูกถามถึงเรื่องนี้อีกครั้งในปี1973 โจนบอกกับสื่อว่า “ฉันรู้สึกเฉยๆนะกับเรื่องที่คุณเดวิสมีความสุขมากมายที่ได้หักหลังฉัน (เอาคนอื่นมาแสดงแทน) แต่ฉันไม่โกรธหรอกฉันไม่ยอมให้ความเกลียดของหล่อนได้มาเข้าใกล้หัวใจฉันหรอก”


    โอลิเวีย เดอ ฮาวิลแลนด์ (ผู้มาแทนที่ โจน ครอวฟอร์ด)
    แสดงนำคู่กับ เบ็ตตี้ เดวิส ในเรื่อง Hush… Hush, Sweet Charlotte

    นอกจากนี้เบ็ตตี้ยังเคยพูดกับสื่อไว้ว่า “แน่นอน เรามีช่วงเวลาดีๆต่อกัน”  เบ็ตตี้กล่าว

    “เมื่อฉันร้องเพลงและหยอกล้อกับคนดู (ละครเวที) มักจะมีคนตะโกนแทรกขึ้นมาเสมอ...ประมาณว่า“พี่สาวคุณไปไหน?” “โจน ครอวฟอร์ดไปไหน?” ฉันก็ได้แต่ตอบกลับไปว่า “เธอตายแล้ว! บนหาดทรายนั่นไง(ฉากสุดท้ายในเบบี้เจน)” แล้วทุกคนก็ขำ ทุกคนมีความสุข”



  • และหลังจากนั้นมาเราก็ไม่เคยเห็นหรือได้ยินข่าวว่าพวกเธอได้ร่วมงานกันอีกเลย แต่แม้จะไม่ได้ร่วมงานหรือโคจรมาเจอกันแล้ว แต่จากที่เห็นในข้างต้น ก็คงเห็นว่าพวกเธอก็ต่างพูดเหน็บแนมถึงกันตลอด

    แม้จนในวาระสุดท้ายของชีวิต พวกเธอก็ยังไม่เคยยอมลดละต่อกัน ในปี 1977 หลังจากคราวฟอร์ดตาย ได้มีการไปสัมภาษณ์เบ็ตตี้ถึงเรื่องนี้เธอกล่าวทิ้งท้ายแก่คู่แค้นไว้อย่างเจ็บแสบว่า

    “คุณไม่ควรพูดถึงความตายในแง่ร้ายนะ ควรจะคิดว่ามันเป็นเรื่องที่ดี...
    เช่น โจน ครอวฟอร์ด ตาย นั่นเป็นเรื่องที่ดี”

    . . .

    ว่ากันว่าเวลาเราเกลียดใครซักคนนั่นหมายถึงลึกๆแล้ว เราอาจจะเกลียดตัวเองอยู่ด้วยก็ได้ ซึ่งสำหรับสองคนนี้อาจจะเป็นเพราะเธอทั้งคู่มีอะไรที่คล้ายมันมากก็ได้ ทั้งเบ็ตตี้และโจน เกิดในราศีเมษเหมือนกัน โตมาด้วยแม่เลี้ยงเดี่ยว พวกเธอแต่งงาน 4 ครั้ง และลงเอยด้วยการหย่า 3 ครั้ง และสามีตาย 1 คน แถมทั้งคู่ล้มเหลวในการเลี้ยงลูก เพราะมีลูกสาวที่ไม่ค่อยจะลงรอยเหมือนกันอีก

    เรื่องของทั้งคู่จะเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นจริงหรือเป็นเพียงเรื่องแต่งเพื่อเรียกกระแสหรืออาจจะเป็นทั้งสองอย่างรวมๆกันก็ไม่อาจรู้ได้ นี่เป็นเพียงแค่ส่วนหนึ่งของชีวิตพวกเธออาจจะดูวุ่นวายไป หรือมีทัศนะคติที่แตกต่างกันบ้าง แต่เชื่อเถอะว่าทั้งสองรักและทุ่มเทให้กับวงการนี้ไม่แพ้ใครเลย

    โจน ครอวฟอร์ด เธอวางตัวดี มีภาพลักษณ์เป็นสาวสวย ใส่ชุดหรู แม้ใครๆจะว่าเธอสร้างภาพ แต่ตลอดชีวิตในวงการเธอช่างเอาใจใส่และเป็นที่รักของแฟนๆเสมอ

    “หากคุณขึ้นมาถึงจุดนี้เมื่อไหร่ จงภูมิใจ อย่าขับไสใคร (นักข่าวหรือแฟนคลับ) ฉันต้องการที่จะเป็นที่จดจำ เพราะงั้นเวลาฉันได้ยินว่า “นั่นโจน ครอวฟอร์ดนิ่!” ฉันจะหันกลับไปและกล่าวทักทายกับพวกเขาทุกครั้ง”

    เบ็ตตี้ เดวิส นักแสดงฝีมือฉกาจความทุ่มเทที่มีให้แก่การแสดงนั้นน่ายกย่องจริงๆเธอทำให้ตัวละครหลายๆตัวมีชีวิตและเป็นที่น่าจดจำได้อย่างไม่น่าเชื่อ และในช่วงวาระสุดท้ายของชีวิตเธอหลังจากเธอหายป่วย (ด้วยวัยชรา)

    “ฉันพร้อมแล้ว 100% ทีนี้ก็ถึงเวลาออกตามหาบทแล้วสินะ มันต้องมีซักบทที่ต้องการฉัน...มาถึงจุดนี้ก็ไม่รู้จะพูดอะไรมาก ตอนนี้คงบอกได้แค่ฉันรักที่จะทำงานมากๆเท่านั้นเอง (การแสดง)”

    . . .


    เรื่องราวทั้งหมดก็เป็นเพียงเรื่องเล่าปากต่อปากอาจจะถูกบันทึกไว้เป็นตัวอักษรบ้าง หรือเทปการสัมภาษณ์บ้าง ครั้งนี้นำมารวมและเรียบเรียงให้อ่านกันสนุกๆนะจ๊ะ แต่ถ้าใครยังติดใจเรื่องของสองคู่แค้นนี้ แนะนำให้รอติดตามได้เพราะอีกไม่นานจะมีซีรี่ย์ที่จะบอกเล่าถึงเรื่องราวของพวกเธอออกมา ชื่อเรื่อง Feud ทางช่อง Fx มีทั้งหมด 8 ตอน ดำเนินการโดย โรอัน เมอร์ฟี (Ryan Murphy) โปรดิวเซอร์มือทองที่ฝากผลงานสุดแจ่มไว้มากมายครั้งนี้เขาเตรียมนำเสนอเรื่องราวความบาดหมางของคู่อรินี้ให้ทั้งโลกได้รับรู้นำแสดงโดย เจสสิกา แลง (Jessica Lange) และ ซูซาน ซารานดอน (Susan Sarandon)

    เร็วๆนี้ (มีนาคม 2017)

    ซูซาน ซารานดอน เป็น เบ็ตตี้ เดวิส และ
    เจสสิกา แลง เป็น โจน ครอวฟอร์ด

Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in