. . . ลอเร็น เบคอลล์ คือ Icon ที่สำคัญที่สุดคนหนึ่งแห่งวงการ เธอเป็นตัวแทนของอะไรมากมาย เพราะ เธอมีทั้งความสวย ความเท่ บุคลิกที่ดี และมีเสน่ห์อย่างน่าเหลือเชื่อ . . .
ลอเร็น เบคอลล์ เดิมมีชื่อว่า เบ็ตตี้ โจน เพอร์สกี (Betty Joan Perske) เกิดเมื่อวันที่ 16 กันยายน 1924 เกิดในครอบครัวชนชั้นแรงงาน อาศัยอยู่ที่ย่านบร๊องซ์ในนิวยอร์ก พ่อของเธอเป็นพวกติดเหล้าที่ทิ้งครอบครัวไปในขณะที่เธออายุเพียง 6 ขวบเท่านั้นเอง ต่อมาแม่เธอจึงได้เปลี่ยนนามสกุลของเธอกลับเป็นของฝั่งแม่ คือ เบคอล (Bacal) และเติม L เข้าไปอีกตัวเป็น Bacall นามสกุลที่คุ้นตานี้เอง
ด้วยความที่บ้านไม่ได้มีฐานะดี เธอจึงต้องเริ่มทำงานตั้งแต่เด็ก ในช่วงไฮสคูลนั้นแรกเริ่มเธอทำงานเป็นพนักงานเฝ้าประตูที่โรงละคร และด้วยความที่เธอหลงใหลในละครเวทีมาก จึงผลักดันตัวเองจนได้เล่นละครเวทีและได้เริ่มงานถ่ายแบบในเวลาต่อมา ผลงานถ่ายแบบที่โดดเด่นก็คือ ได้ขึ้นปกนิตยาสาร Harper's Bazaar ปี 1943 ซึ่งเรียกว่าเป็นจุดเริ่มต้นของดาวดวงนี้เลยก็ว่าได้เพราะ ภาพของเบ็ตตี้น้อยนี้ได้ไปถูกตาต้องใจ แนนซี ฮอค (Nancy Hawks) ภรรยาของผู้กำกับชื่อดัง ฮาเวิร์ด ฮอค (Howard Hawks) ทำให้ลอเร็นได้รับโอกาสไปทดสอบหน้ากล้องในฮอลลีวู้ดด้วยแรงสนับสนุนจาก 2 สามีภรรยานี้เองล่ะ
ลอเร็นบนปก Harper's Bazaar
เมื่อเข้าสู่ฮอลลีวูดแล้ว สาวน้อย เบ็ตตี้ โจน ก็ได้เปลี่ยนชื่อเป็น ลอเร็น และด้วยความที่เธอเป็นคนพูดเสียงสูง และพูดเสียงขึ้นจมูก จึงต้องมีการฝึกฝนการพูดใหม่ ต้องปรับเสียงให้พูดเสียงต่ำลง โดยเธอต้องตะโกนอ่านบทประพันธ์ของเช็คเสปียร์ส์ วันละหลายชั่วโมง ทุกวัน เพื่อเป็นการฝึกควบคุมเสียง
ก่อนจะมาเป็น ลอเร็น เบคอลล์ ในวันนี้
และในปี 1944 เธอก็ได้เล่นภาพยนตร์ฮอลลีวูดเรื่องแรก To Have and Have Not ที่ดัดแปลงจากบทประพันธ์ของ เออร์เนส แฮมมิงเวย์ (Ernest Hemingway) ประกบคู่กับพระเอกสุดฮอตอย่าง แฮมฟรีย์ โบการ์ด (Humphrey Bogart) เลยนอกจากจะเป็นผลงานที่สร้างชื่อให้เธอในฐานะนักแสดงนำหญิง ยังเป็นช่วงเวลาที่ทำให้เธอสร้าง “The Look” บุคลิกอมตะตลอดกาลขึ้นมาด้วย
เหตุมันเกิดมาจากเพราะนี่เป็นภาพยนตร์เรื่องแรก เลยทำให้เธอมีอาการประหม่า ตลอดทั้งเรื่องเธอจะมักมีท่าทางแปลกๆ (ก็ “The Look” นี่ล่ะ) คือเธอมักจะกดคางต่ำและมองช้อนตาขึ้นมา ซึ่งดวงตาที่มองช้อนขึ้นมานั่นล่ะที่สะกดใจทุกคนได้อยู่หมัดและกลายเป็นเอกลักษณ์ของเธอไปเลย; เธอว่าที่ต้องกดคางต่ำเพราะเป็นการเกร็งไม่ให้สั่นจากอาการประหม่า (แหม่เรื่องแรกก็ได้เล่นกับพระเอกระดับตำนานใครบ้างไม่ประหม่าล่ะ)
The Look แบบนี้ล่ะที่ละลายใจผู้ชมได้หมดจด
ดวงตาสีฟ้านั้น ที่มีเสน่ห์อย่างน่าเหลือเชื่อ
ท่าทางแบบนี้ที่กลายเป็นเอกลักษณ์หนึ่งเดียวของเธอ
และนอกจากนั้น ในระหว่างการถ่ายทำเรื่อง To Have and Have Not นี่ล่ะคือที่ ที่ทำให้ แฮมฟรีย์ โบการ์ด ตกหลุมรัก ลอเร็น เบคอลล์ เข้าอย่างจัง ทำให้ได้แต่งงานกันในปี 1945 และมีลูกด้วยกันอีก 2 คนในเวลาต่อมา (เรื่องรักของทั้งคู่เอาไว้เขียนแยกแล้วกัน อิอิ) ก็เรียกได้ว่าแค่เรื่องแรกก็มาเหนือ ประสบความสำเร็จในทุกด้านเลยทีเดียว
และหลังจากที่แต่งงานกัน ทั้งคู่ก็มีผลงานร่วมกันอีก 3 เรื่อง คือ The Big Sleep (1946), Dark Passage (1947) และ Key Largo (1948) ซึ่งแน่นอน ปะสบความสำเร็จ เป็นคู่ขวัญครองใจคนทั้งเมืองไปเลย แต่ทั้งคู่ได้ใช้ชีวิตร่วมกันเพียง 12 ปีเท่านั้นเพราะในปี 1957 แฮมฟรีย์ โบการ์ด ก็เสียชีวิตลงด้วยโรคมะเร็งปอด
ลอเร็น และ แฮมฟรีย์ ในเรื่อง Key Largo (1948)
แฮมฟรีย์นี่หล่อจริงๆ เห้ออ--♥
นอกจอกับ แฮมฟรีย์, ลอเร็น และลูกชาย
หลังจากแฮมฟรีย์เสียชีวิต ลอเร็น เบคอลล์ ก็มีข่าวกุ๊กกิ๊กกับ แฟรงค์ ซินาตร้า
ถึงขั้นหมั้นหมายกัน แต่สุดท้ายก็จบความสัมพันธ์ลงก่อนจะได้แต่งงานกัน
ต่อมาลอเร็นก็ได้แต่งงานใหม่อีกครั้งกับ เจสัน โรบาร์ด ในปี 1961
มีลูกด้วยกัน 1 คน และก็เลิกกันในอีก 8 ปีต่อมา
ด้วยความที่เธออยู่คู่วงการมายาวนาน ทำให้เธอมีโอกาสสร้างผลงานที่น่าจดจำมากมาย ไม่ว่าจะเป็นการร่วมแสดงในภาพยนตร์ยอดเยี่ยมตลอดกาลอย่าง How to Marry a Millionaire ปี 1950 ที่เล่นกับ เบ็ตตี้ เกรเบิล (Betty Grable) และ มาริลีน มอนโร (Marilyn Monroe) หรือเรื่อง Woman's World ปี 1954 ที่มีนางเอกสาว จูน เอลเลสัน (June Allyson) ร่วมแสดงด้วย หรือ อีกหนึ่งเรื่องแจ้งเกิดภาพยนตร์ปี 1957 เรื่อง Designing Women ที่ประกบคู่กับพระเอกหนุ่มหล่อ เกรกอรี เพ็ค (Gregory Peck) ในเรื่องนี้ใครๆก็บอกว่าออร่าของลอเร็นนี้เปล่งประกายแบบสุดๆเลยทีเดียว
จูน, ลอเร็น และ มาริลีน จาก How to Marry a Millionaire
เกรกอรี เพ็ค กับลอเร็น เบคอลล์ ใน Designing Women
แต่หลังจากที่ แฮมฟรีย์ โบการ์ด เสียชีวิต ช่วง 1957 เธอก็พักงานแสดงภาพยนตร์และกลับไปเล่นละครเวทีอย่างจริงจัง เธอกล่าวว่า “เมื่อตอนฉันอยู่บนเวที ฉันรู้สึกได้ถึงความเป็นตัวเอง” (เธอรักในการเล่นละครเวทีเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว) โดยเรื่องที่เป็นที่จดจำก็คือ Goodbye, Charlie (1959) และ Cactus Flower (1965)
ถึงจะหันกลับไปเล่นละครเวทีแต่เธอก็ไม่ได้ทิ้งฮอลลีวูดไปไหน เธอยังคงมีผลงานภาพยนตร์เรื่อยมา โดยในยุคหลังๆเธอก็ยังได้ร่วมแสดงในภาพยนตร์ดังๆอีกหลายเรื่อง เช่น ภาพยนตร์ในตำนานปี 1990 เรื่อง Misery ภาพยนตร์แนวรอมคอมปี 1994 เรื่อง Readyto Wear หรือ รับบทแม่ของ นิโคล คิดแมน ในเรื่อง Birth ปี 2004 (อีกเรื่องที่เล่นกับนิโคลคือ Dogville ปี 2003)
ลอเร็น ในบทบรรณธิการสุดเจ้ากี้เจ้าการใน Misery
นิโคล คิดแมน (ซ้ายสุด) และ ลอเร็น เบคอลล์ (ขวาสุด) ในเรื่อง Dogville
ตลอดชีวิตการเป็นนักแสดงลอเร็นมีผลงานมากมายทั้งภาพยนตร์ ละครเวที ภาพยนตร์-ละครโทรทัศน์ แถมยังมีรางวัลการันตีในแต่ละสาขาอีกด้วยแต่ถึงจะมีผลงานมากมาย แต่ในสมัยนั้นเธอก็ถูกจัดให้เป็น Living Legend ที่ไม่มีรางวัลใหญ่ในครอบครองเลย ทั้งที่จริงฝีมือการแสดงเธอไม่เป็นรองใครจริงๆ
เธอได้รับการเสนอชื่อเข้าชิง Oscar เพียงครั้งเดียวในปี 1996 จากเรื่อง The Mirror Has Two Faces แต่ก็ได้รับรางวัลลูกโลกทองคำ สาขานักแสดงสมทบหญิงยอดเยี่ยมจากเรื่องเดียวกันนั้นเอง และยังได้รับรางวัล Tony Award สาขานักแสดงหญิงละครเพลงยอดเยี่ยมถึง 2 ครั้ง จากเรื่อง Applause (1970) และ Woman of the Year (1981)
*Tony Award คือรางวัลเกี่ยวกับละครเวที (Broadway/ Theatre) และ ละครเพลง (Musical Theatre)*
ลอเร็น ในการแสดงละครเวทีเรื่อง Applause
ลอเร็นเป็นหนึ่งในนางเอกของฮอลลีวูดยุคทองที่อยู่คู่วงการมาจนถึงยุคฮอลลีวูดสมัยใหม่ เป็นนักแสดงที่ทรงคุณค่าอีกคนหนึ่งเลยทีเดียว ลอเร็น เบคอลล์ คือ Icon ที่สำคัญที่สุดคนหนึ่งแห่งวงการ เธอเป็นตัวแทนของอะไรมากมาย เพราะเธอมีทั้งความสวย ความเท่ บุคลิกที่ดี และมีเสน่ห์อย่างน่าเหลือเชื่อ
โดยเธอถูกจัดเป็น Sex Symbol รุ่นแรกๆของฮอลลีวูดเช่นกัน Sex Symbol นั้นไม่ได้หมายความว่าจะมีแค่ความสวยเซ็กซี่แบบ มาริลีน มอนโร (Marilyn Monroe) เพียงอย่างเดียวเท่านั้น เพราะนอกจากหน้าตาสวยๆกับรูปร่างดีๆ เธอยังมี “เสียง” ที่เป็นเอกลักษณ์หนึ่งเดียว เสียงที่แหบเสน่ห์ของลอเร็นทำให้หัวใจหนุ่มน้อยหนุ่มใหญ่ในยุคนั้นละลายไม่เหลือชิ้นดี เสียงนี้ล่ะใครๆเขาก็บอกว่าเป็นเสียงที่เซ็กซีย์ย์ย์ย์ที่สุดดดดเลยยยย ~ ~~
ปัจจุบันคำนิยามใน Sex Symbol ของลอเร็น เบคอลล์ ถูกจัดให้เป็นนักแสดงหญิงที่เป็นต้นแบบของ Androgynous (ความไร้เพศ) เรื่องนี้อธิบายยากจังแต่ถ้าเอาง่ายๆก็แบบถ้าเป็นผู้หญิงก็จะแต่งตัวห้าว แต่ถ้าเป็นผู้ชายก็จะแต่งตัวหวาน เป็นการก้าวผ่านข้อจำกัดทางเพศ โดยคนๆนั้นก็ยังคงเป็นชายจริงหญิงแท้อยู่หรือไม่ก็ได้ ซึ่งนักแสดงหญิงที่เป็น Icon ด้านนี้ก็มี มาร์ลีน ดีทริช (Marlene Dietrich) แคทเธอริน แฮปเบิร์น (Katharine Hepburn) อีกเป็นต้น
นักแสดงหญิงที่มาดเท่แบบนี้ มีไม่มากในยุคนั้น
มาดที่ไม่ได้อ่อนหวานเหมือนนักแสดงหญิงทั่วไป
การใส้เสื้อผ้าชุดผู้ชาย
ใส่กางเกงให้เห็นอยู่บ่อยๆ
ใส่กางเกงเป็นชุดปรกติ ให้สาธาณะชนเห็นเป็นประจำ
ความเป็น Icon ของลอเร็นไม่ได้อยู่แค่ในช่วงยุคทองเพียงเท่านั้นเธอยังคงเป็นตำนานที่ใครๆก็ยังคงพูดถึง เอกลักษณ์ความเป็น ลอเร็นเบคอลล์ที่ไม่มีใครเหมือนยังคงตรึงใจผู้คนได้เสมอ เห็นได้จากผลงานต่างๆในปัจจุบันที่จะอ้างอิงถึงเธอเสมอเช่น
- ในปี 1980 ภาพยนตร์โทรทัศน์เรื่อง Bogie ที่เล่าเรื่องความรักของ ลอเร็นและแฮมฟรีย์ที่เกิดขึ้นระหว่างการถ่ายทำ To Have and Have Not ปี 1943
- เพลงฮิตยุค 80s อย่าง Key Largo ของ เบอร์ตี้ ฮิคคินส์ (Bertie Higgins) ก็ได้แรงบันดาลใจมาจากคู่รัก ลอเร็นและแฮมฟรีย์ที่เล่นคู่กันใน Key Largo ปี 1948
- ปี 1982 มีการเอ่ยถึง ลอเร็นเบคอลล์ ในเนื้อเพลง Car Jamming ของ The Clash
- ปี 1985 ในเพลง Freeze Tag ของ ซูแซนนา เวก้า (Suzanne Vega)ก็มีการเอ่ยถึงลอเร็นและแฮมฟรีย์
- และในปี 1990 เธอเป็นหนึ่ง 16 รายชื่อสุดยอดนักแสดงที่ถูกเอ่ยถึงในเพลง Vogue ของ มาดอนน่า (Madonna) โดยลอเร็นเสียชีวิตเป็นคนสุดท้ายใน 16 รายชื่อนั้น
- *ในปี 2012 พระเอกดัง จอห์นนี่ เด็ปป์ (Johnny Depp) สักคำว่า SLIM ไว้เป็นตัวแทนของ แอมเบอร์ เฮิร์ด (Amber Heard) (อดีตภรรยาในปัจจุบัน) มีที่มาจากตัวละคร Slim ที่ลอเร็นแสดงในเรื่อง To Have and Have Not เรื่องที่ทำให้พบรักกับแฮมฟรีย์โดยตอนนั้นเขาบอกว่า “ครั้งแรกที่ได้เห็นแอมเบอร์ เหมือนกับผมได้พบกับลอเร็นเบคอลล์เลย” (สวยเบอร์นั้นเลยล่ะ)*
ลอเร็น เบคอลล์ รับรางวัลเกียรตืคุณจากเวที Oscar ในปี 2009
เมื่อปี 2011 ลอเร็นเคยให้สัมภาษณ์กับนิตยาสาร Vanity Fair ไว้ว่า
“. . . หนุ่มๆสาวๆในวงการสมัยนี้ก็มักจะถามฉันว่า ‘คุณเคยแต่งงานกับ แฮมฟรีย์ โบการ์ด จริงหรือ?’ ฉันก็ได้แต่ตอบว่า ‘ใช่ อย่างน้อยฉันก็คิดว่าใช่นะ’ -- คนเราจะตระหนักได้ถึงตัวเอง เมื่อเริ่มเห็นภาพสะท้อนบางอย่าง เพราะฉันไม่ได้มีชีวิตยึดติดกับอดีต ถึงแม้อดีตจะเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตคุณก็เถอะ มันปฏิเสธไม่ได้อยู่แล้ว แต่อย่าไปจมปลักกับมัน ฉันน่ะยังคงเดินหน้าตลอดฉันยังอยากจะทำงานที่ท้าทายเสมอ ฉันจะไม่หยุดจนกว่าจะทำมันไม่ไหว . . .”
ลอเร็น เบคอลล์ถือว่าเป็นหนึ่งในนักแสดงหญิงจากยุคทองเพียงไม่กี่คนที่มีชีวิตอยู่ถึงฮอลลีวูดยุคใหม่นี้ โดยตลอดระยะเวลา 70 ปีที่โลดแล่นในวงการก็ได้ฝากผลงานไว้มากมายหลากหลาย และกลายเป็น Icon ในตำนาน เธอจากไปในวัย89 ปี ด้วยอาการเส้นเลือดอุดตันในสมอง เมื่อวันที่ 12 สิงหาคม ปี 2012
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in