เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
Diary ธรรมดาNimmanNapatra
171022 วันที่น่าสนใจ
  • ความจริงแล้วทุก ๆ วันเป็นวันที่น่าสนใจ เพราะถ้าลองคิดดูดี ๆ มันจะไม่มีวันไหนเลยที่จะเหมือนกันเป๊ะ ๆ

    ฉันเขียนไดอารี่ตั้งแต่ป. ๖ ถึงจะไม่ได้เขียนต่อเนื่องกัน แต่ตอน ม.ต้น พอได้กลับไปอ่านไดอารี่สมัยตัวเองเป็นเด็กประถมแล้วก็ติดใจ เพราะได้อ่าน"วันที่น่าสนใจ" ของตัวเองในอดีต มันแปลก ๆ ที่บางเรื่องเราลืมมันไปสนิทแล้ว ทั้ง ๆ ที่ตอนเราเขียนลงไดอารี่น่ะเราคิดว่ามันเป็นเรื่องสำคัญมาก (ในวันนั้น)

    วันนี้เป็นวันอาทิตย์ ฉันมักใช้เวลาวันอาทิตย์ไปกับการพักผ่อน เล่นโน่น เล่นนี่ หาแรงบรรดาลใจ ทำอะไรไปเรื่อยเปื่อยไม่คิดเรื่องหนัก ๆ ให้สมองได้พักผ่อน

    ตื่นมาตอนหกโมงเช้า น้องสาวเต้น T25 อยู่ฉันก็เลยเข้าไปเต้นด้วย (ชุดนอนนั่นแหล่ะ น้องก็ใส่ชุดนอนเต้นเหมือนกัน) ฉันกับเฟิร์นมีความตั้งใจจะลดหุ่นให้ได้ในปีนี้

    ถ้าพูดเรื่องลดน้ำหนัก ปีนี้ฉันลดน้ำหนักไปแล้ว ๑๐ กิโลพอดี ฉันจดน้ำหนักตัวเองไว้ในปฏิทินข้าง ๆ เครื่องชั่งน้ำหนัก เฉพาะวันที่อยากจะชั่งอ่ะนะ มันก็ลงมาเรื่อย ๆ ช่วงนี้จะลงเยอะหน่อยเพราะมีตัวช่วยเป็น Set อาหารเสริมของ Legacy ที่คุณน้องสาว(เฟิร์น)ขายอยู่

    เค้าบอกว่าหยุดกินแล้วมันจะไม่เด้งขึ้นนะ ก็ลองดูว่าจะเด้งไม่เด้ง แต่เท่าที่กินมารู้สึกดีกับอาหารเสริมเซ็ทนี้กว่าที่คิดนะ ไม่ค่อยกล้าบอกเพื่อนว่ากินอาหารเสริมช่วยลดน้ำหนักอยู่เพราะตอนแรกฉันต่อต้านมากมาย ห้ามน้องกินด้วยนะ แต่ไป ๆ มา ๆ ก็มากินเองเพราะเห็นน้องกินแล้วมันได้ผล

    ถ้าฉันหัวใจวายตายด้วยประการใด ๆ ก็อาจจะเกิดจากเจ้าอาหารเสริมตัวนี้แหล่ะ ฉันจะทำพินัยกรรมยกนิยายวายในคลังของฉันทั้งหมดในน้องเอิร์นจ้าผู้เป็นขาเม้าส์การ์ตูนวาย กับแพรอรสุภาที่พาฉันไปพบขุมทรัพย์ที่โอโตเมะโร้ดในอิเคะ ส่วนทรัพย์สินอื่น ๆ ทั้งหมดขอยกให้พ่อแม่

    ตอนสาย ๆ เฟิร์นก็ออกจากบ้านไป Starbucks เฟิร์นเป็นคนที่ไม่ยอมอ่านหนังสืออยู่ที่บ้านเลยยยยย ก็เลยต้องไปเสียเงินนั่งร้านกาแฟทุกวัน อันที่จริงฉันก็เข้าใจน้องนะ เพราะอยู่บ้านทีไรฉันก็ไม่ค่อย Productive เหมือนกัน มันแล้วแต่วัน...

    สาย ๆ ฉันนั่ง Review คำศัพท์ใน Wanikani เป็นกิจวัตรของฉัน กับอัพพวกวีดีโอไดอารี่ลงยูทูป (ตั้งเป็น Private ฉันไม่อยากเก็บไว้บนคอมเดี๋ยวไวรัสลงแล้วหายไปหมด มีประสบการณ์ T-T)

    ตอนที่อัพวีดีโอไดอารี่ก็บังเอิญเปิดไปเจอคลิปตัวเองที่อัดช่วงเดือนมิถุนา พูดเกี่ยวกับการทำบุญในศาสนาพุทธ พอดีช่วงนั้นอ่านหนังสือศาสนาเยอะแล้วรู้สึกว่าเห้ยไม่ได้เราต้องเอามันออกจากหัวบ้าง แล้วเราก็อยาก encourage ให้คนหันมาทำบุญอย่างถูกต้อง ให้ทานก็ให้ด้วยวิธีที่ถูกต้อง ก็เลยนั่งอัดคลิปอยู่เทคสองเทค ความยาวยี่สิบกว่านาทีพูดเกี่ยวกับเรื่องการทำบุญ

    แต่สุดท้ายก็ไม่ได้อัพเพราะรู้สึกว่ามันมีประเด็นที่ละเอียดอ่อนเกี่ยวกับการที่ฉันไปวิจารณ์ว่าคนส่วนใหญ่ไม่รักษาศีล หรือคิดว่าตัวเองรักษาศีลแล้วความจริงไม่ได้ทำ ฯลฯ มันน่าจะไปทำร้ายใครหลายคน เลยไม่อัพ

    เอ แต่ความจริงวันนี้นั่งฟังดูก็รู้สึกว่ามันก็ไม่ได้รุนแรงอะไรขนาดนั้นนะ แต่ฉันก็ไม่อยากอัพอยู่ดี

    นอกจากนั้นก็เจอวีดีโอไดอารี่สมัยช่วงจบ Year-end ปีที่แล้วหมาด ๆ ฉันก็นั่งคร่ำครวญถึงความผิดพลาดของตัวเองในการทำงาน พลาดนั่นพลาดนี่ โดนพี่ดุอย่างไรบ้าง โดนใครช่วยอย่างไรบ้าง ดู ๆ ไปแล้วก็รู้สึกว่าเรานี่มาไกลเหมือนกันนะ

    เดือนที่แล้วฉันได้มีโอกาสกลับไปทำ Job เดิมที่มันทำให้ฉันเสียน้ำตาประมาณสิบกว่ารอบเมื่อปีที่แล้ว ฉันตั้งใจกับมันเต็มที่จนทุกคนชม น้องก็บอกว่าพี่ฟ้า Active มาก พี่ซีเนียร์ก็ยกให้ฉันเป็น In-charge ถามว่าฉันเปลี่ยนไปจากเด็กคนนั้นที่ทำงานพลาดทุกระเบียดนิ้วเยอะมั้ย ก็คงต้องตอบว่าความจริงไม่ได้มีอะไรเปลี่ยนไป นอกจากความตั้งใจที่มากกว่าเดิม

    ฉันคิดได้เมื่อสองสามเดือนก่อนนี้แหล่ะว่าฉันติดอยู่ใน Comfort Zone มานานเหลือเกิน ตั้งแต่เมื่อไหร่กันนะที่ฉันเริ่มทำสิ่งต่าง ๆ แบบขอไปที ไม่ว่าจะเรื่องอะไรฉันก็ไม่ได้ใส่ใจทำมันให้เต็มที่ ดูอย่างเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ อย่างการเขียนไดอารี่ก็ได้ สมัยก่อนฉันเขียนยาวและละเอียดมาก แต่ช่วงปีหลัง ๆ มันจะเริ่มหาย ๆ ขาด ๆ หรือเขียนสั้น ๆ แบบให้มันจบ ๆ ไป

    วันหนึ่งในอดีต ฉันสูญเสีย "ความกระตือรือร้น" ไป อาจจะเป็นเพราะฉันช็อคที่ตัวเองไม่สามารถเรียนได้ดีอย่างที่คิดเมื่อเข้ามหาลัย เลยพยายามจะเชื่อว่าเธอจะพยายามให้เหนื่อยล้าไปเพื่ออะไร เพราะท้ายที่สุดแล้วชีวิตมันก็แค่ฝันตื่นหนึ่งเท่านั้นเอง

    ฉันเป็นคนเครียดง่ายมาก ช่วงเดือนที่แล้วฉันศึกษาระบบ MBTI Personality Test ที่แบ่งคนออกเป็น 16 ประเภท บุคลิกของฉันคือ ENFJ ซึ่งจะมีความเป็น Perfectionist อยู่ค่อนข้างสูง ฉันเห็นด้วยมาก เพราะฉันเป็นคนแบบนั้นจริง ๆ แต่ฉันอยู่ในโหมดหนีความจริงและปกป้องตัวเอง พร้อมกับหลบซ่อนอยู่ใน Comfort Zone

    สิ่งที่ฉันเจอปีที่แล้วมันทำร้ายฉันมากจริง ๆ ปกติตอนอยู่มหาลัยพอทำข้อสอบไม่ได้ฉันก็แค่ปิดหูปิดตาไม่ยอมดูผลสอบ ไม่ยอมฟังคะแนนสอบ พอเวลาผ่านไปสักพักฉันก็แค่ลืม ๆ มันไป แต่พอเข้ามาทำงานจริง ๆ แล้วฉันไม่สามารถจะปิดหูปิดตาลืม ๆ ผลงานของตัวเองได้ มันห่วย และฉันต้องรับผิดชอบความห่วยนั้น

    พอได้มาเผชิญหน้ากับสิ่งที่ฉันกลัวมาตลอด มันก็เจ็บปวดมากจริง ๆ

    ความจริงถ้าฉันยอมเผชิญหน้ากับมันตั้งแต่ตอนที่รู้ตัวว่าเราเรียนไม่ค่อยได้ แล้วสู้มัน น่าจะดีกว่านี้ แต่ฉันเอาแต่หลบแล้วหลบอีก จนความเป็นคนไม่ได้เรื่องของตัวเองมันพอกพูนหนาขึ้น พอถึงเวลาที่ต้องใช้ความรู้ความสามารถ ฉันก็กลายเป็นคนจับเจ่าไม่เอาถ่านไปซะแล้ว

    ฉันต้องหาวิธีดึงเอาตัวเองคนที่มีไฟกลับมา เอาเด็กคนที่เขียนตารางอ่านหนังสือไว้ในสมุดบันทึก เด็กคนที่จดจ่อกับการอ่านหนังสือ Textbook จนจบ ทั้ง ๆ ที่ต้องเปิดดิกทีละคำ

    ตอนนี้ไฟฉันลุกแล้ว มันไม่ได้เปล่งประกายขนาดนั้น แต่มันก็เป็นไฟดวงเล็ก ๆ ที่ดีกว่าความอบอุ่นใน Comfort Zone เป็นไหน ๆ Comfort Zone ทำให้ฉันเจ็บปวดจริง ๆ

    ตอนบ่ายฉันก็ลงไปอ่านหนังสือที่ Lobby ของคอนโด เป็นพื้นที่บาร์เล็ก ๆ ที่ไม่มีความสะดวกสบายเอาซะเลย แต่วันนี้มีเด็กมาวิ่งเล่นไล่จับในล็อบบี้ ฉันไม่มีสมาธิเลย ฉันเลยขึ้นห้องมาเต้น Drop pop candy (เพลงโวคัลลอยเพลงหนึ่งที่ฉันใช้เต้น Coverเวลาเบื่อ ๆ) แล้วลองอัดคลิปตัวเองเต้นดู พอเอามาเปิดดูแล้วก็กุมขมับ นี่ฉันคิดว่าตัวเองเต้นดีแล้วนะ แต่มันดูเป็นเด็กประถมเต้นมาก ๆ น่าหัวเราะจริง ๆ คนที่เต้นเก่ง ๆ นี่สุดยอดไปเลยนะ

    วันนี้ฉันเริ่มอ่านหนังสือเรื่อง The art of thinking clearly แล้วรู้สึกว่ามันเป็นหนังสือที่ใจร้ายมาก หลาย ๆ เรื่องที่เขาเขียนนี่มันไร้หัวใจสุด ๆ ถ้าพูดตาม MBTI ก็คือตัวอักษรที่ ๓ เป็น T แบบสุดโต่งเลยแหล่ะ

    อธิบายก่อน ตัวอักษรที่ 3 ของ MBTI จะพูดถึงมุมมองการตัดสินใจ ว่างคุณเป็นคนตัดสินใจคนโดยรักษาความสัมพันธ์ของฝ่ายตรงข้าม (F) หรือคิดตามหลักการและเหตุผล(T) มากกว่ากัน ถ้าทำตามหนังสือเล่มนี้คุณจะได้เป็น T type ทันที และจากการเก็บสถิติของฉัน คนไทยส่วนใหญ่ที่ฉันเจอเป็น F type

    ยกตัวอย่าง เขาบอกว่าคนเรามักจะมีการเปรียบเทียบสิ่งต่าง ๆ อยู่ตลอดเวลา ดังนั้นถ้าหากเราเดินไปกับเพื่อนที่สวย ๆ คนอื่น ๆ ก็จะมองว่าเราไม่สวยทันที เค้าก็เลยแนะนำว่าเวลาไปไหนมาไหนให้ไปกับเพื่อนที่หน้าตาแย่ ใจร้ายมาก!

    ตอนเย็นฉันก็ใช้เวลาจัดบ้านทำความสะอาดบ้าน แล้วก็ถ่ายรูปโปรไฟล์เฟสบุ๊คใหม่ เพราะฉันน้ำหนักลงเยอะเลยอยากอัพ 555

    ช่วงนี้ฉันจะติด Instagram มากกว่า facebook ฉันรู้สึกว่าฉัน Connect กับเพื่อนต่างชาติบน Instagram ได้ดีกว่า facebook

    วันนี้พี่ขิงพี่ในชมรมที่ไปทำงานที่ญี่ปุ่นทักมา ฉันค่อนข้าง Surprise ปกติฉันจะเป็นฝ่ายทักก่อนเสมอ เพราะฉันอยากจะรักษาความสัมพันธ์เอาไว้ ฉันมี Criteria ว่าจะต้องทักเพื่อนที่ฉันชอบอย่างน้อยเดือนละครั้ง เพื่อไม่ให้เขาลืม และถ้าเป็นไปได้ต้องนัดมาเจอตัวจริงด้วย

    ส่วนใครที่ทัศนคติติดลบหรือแชร์แต่เรื่องแย่ ๆ ก็จะถูกฉันเมิน คือไม่มีการทักทายหรือนัดเจอมากเท่าเพื่อนอีกกลุ่ม (แน่นอนว่าฉันไม่บอกเขาหรอก การเลิกคบที่ดีที่สุดก็คือการค่อย ๆ หายไปจากชีวิตของกันและกัน)

    ฉันเก็บข้อมูล Personality ของเพื่อน ๆ ด้วยนะ ใส่ excel ไว้ บางครั้งฉันก็เอาไปอ่านเพื่อวิเคราะห์ว่าฉันต้องเข้าหาคนแบบนี้อย่างไรถึงจะดี เวลาฉันไปเจอลูกค้าที่นิสัยคล้าย ๆ เพื่อนคนไหนฉันก็จะวางตัวถูก ว่าคนแบบนี้ต้องทำตัวแบบนี้นะ

    แต่ก่อนฉันใช้จริต ๖ จับทาง แต่ฉันรู้สึกว่าแบบ MBTI ได้ผลมากกว่า ฉันก็ไม่ได้อ่านครบทุกแบบหรอกนะ แต่ฉันก็พอจะจับทางได้ว่าฉันต้องคุยกับใครอย่างไรบ้าง อาจจะไม่ได้ถูกต้อง 100% แต่ฉันก็มั่นใจว่ามันดีกว่าการคุยส่ง คบส่ง ไปแบบไม่มีแบบแผนอะไรเลย

    เอ่อ เที่ยงคืนซะแล้ว ยังไม่ได้อ่านภาษาญี่ปุ่นเลยวันนี้ เนื้อเรื่องเกมไม่นับนะ...
Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in