เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
22 ปี แห่งการเติบโตNarawit Takame
22 ปีแห่งความเจ็บปวด
  • (22)

    เชี่ย นี่กูอายุ 22 ปีแล้วหรอว้ะ

    เคยคิดแหละว่าต้องถึงวันนี้ แต่ไม่คิดว่ามันจะเร็วแบบนี้

    แม่งผ่านไปไวแบบ The Flash มาก นี่ยังรู้สึกเหมือนอายุ 16 ปีอยู่เลย

    ต้องอายุ 22 ปีจริงๆแล้วหรอว้ะ

    (เริ่ม)

    เอาจริงๆผมไม่ได้รู้สึกโตไปกว่า ตอนอายุ 12 ปีเท่าไหร่จะว่าไป ตอนนั้นชีวิตมันสนุกกว่านี้ด้วยซ้ำ

    ก่อนเคยคิดว่าตอนโตๆ ชีวิตมันจะง่าย มันจะต้องดีแน่ อยากโตไวๆจัง

    ตัดภาพมา 10 ปีให้หลัง มาดูตัวเองในวันนี้ มันไม่ใช่อย่างที่คิดไว้เลย

    (เด็ก)

    วันนี้เราอยากกลับไปเป็นเด็กอีกครั้ง ไปสู่วัยที่อะไรๆมันก็ง่าย

    ช่วงวันเวลา ที่มีท้องฟ้ายังเป็นสีฟ้าอยู่

    เมฆยังเป็นสีขาว หลังฝนตก ยังคงมีสายรุ้ง

    ใบหน้าประจำของเด็กคนนั้นคือ หน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้ม

    (โลกยังไม่แตก)

    ตอนผมเด็กๆ สภาพอากาศของชีวิตส่วนใหญ่มันสดใส

    อาจจะมีบ้างบางวันที่ฝนตก ท้องฟ้ามืดมน แต่ไม่นานมันก็หายไป

    แล้วก็วนมาใหม่ แปรปรวนไปเรื่อย แต่สุดท้ายเด็กคนนั้นก็ยิ้มได้อีกครั้ง

    เป็นยังงี้เรื่อยไป

    (โลกแตก)

    แต่ยิ่งโตมา สภาพอากาศของผม มันไม่แปรปรวนแบบนั้นแล้ว

    ไม่ค่อยมีวันที่พายุถล่ม ไม่มีวันที่แดดจ้ามากๆ

    สภาพอากาศ มันกลายเป็นครึ้มอยู่ตลอดเวลาแทน

    นานๆที จะมีวันที่มีพายุ บางวันก็แดดออกบ้าง

    วันนี้รอยยิ้มของเด็กชายหายไป แต่เด็กคนนั้นก็ไม่ได้หน้าบึ้ง แค่รอยยิ้มมันหายไป

    (สาเหตุ)

    ผมคิดว่าที่อากาศมันครึ้มอยู่ตลอดคงเป็นเพราะ

    ผมเป็นเด็กขี้สงสัย สงสัยและอ่อนไหวไปกับทุกเรื่อง พอโตมาเลยกลายเป็นคนที่คิดมาก 

    อารมณ์เราแปรปรวนมาก

    5 นาทีที่แล้วผมอาจเศร้าอยู่ แต่ตอนนี้ผมดีใจ และอีก 10 นาทีผมสามารถกลายเป็นโกรธได้

    เราเลยเลือกที่จะไม่รู้สึก ไม่พยายามเอาความรู้สึกตัวเอง ไปเกี่ยวกับสิ่งใดๆ หรือใครๆ

    ผมจะได้ไม่ต้องเศร้า เสียใจ ดีใจ หรือโกรธใครอีก

    สีฟ้าของท้องฟ้า เริ่มจางหายไป

    (ตัวเรา)

    และอีกสาเหตุที่ทำให้อากาศมันครึ้มคงเป็น

    ความที่เป็น idealist (นักอดุมคติ) ของตัวเอง , นักจินตนาการ หรือเรียกว่า พวกเพ้อฝันนั่นเอง

    เวลาจะทำอะไร ผมชอบวาดภาพไว้ในหัวก่อน ว่ามันต้องเป็นแบบนู้นนะ ตรงนั้นมันน่าจะเป็นแบบนี้นะ

    ผมเป็นพวกชอบคาดหวังไว้สูง คาดหวังกับทุกๆอย่างในชีวิต

    (ผิดหวัง)

    แต่แน่นอนหลายๆอย่างในชีวิต มันก็ไม่เป็นไปตามที่ผมวาดฝันไว้

    จากความคาดหวัง มันก็กลายเป็นความผิดหวัง

    พอผิดหวังหลายๆครั้ง จากความหวังมันก็เปลี่ยนเป็น ความสิ้นหวังแทน

    (ความสิ้นหวัง)

    ทุกวันนี้ผมสิ้นหวังและหมดศรัทธา กับหลายๆอย่างในชีวิต ทั้ง  สังคม , การเมือง , ศาสนา , เศรษฐกิจ ,

    การสั่งพิซซ่าหน้าฮาวาเอี้ยน แต่ได้หน้าซีฟู๊ดแทน , การที่บอกว่าขอเป๊ปซี่ แต่ได้โค้กแทน

    การที่ไอติมหน้าตาไม่เหมือนหน้าซอง , การที่เราอุตส่าห์แยกขยะ แต่สุดท้ายมันก็ถูกไปรวมอยู่ดี , ฯลฯ

    จริงๆ ถ้ามีให้อีก 10 หน้า ผมก็ยังเขียนไม่พออยู่ดี

    (หดหู่)

    ฟังดูน่าหดหู่ใช่มั้ยครับ ที่ผมสิ้นหวังกับหลายสิ่งหลายอย่างแบบนี้

    บางครั้งผมก็แอบคิดว่า ถ้าเราไม่ชอบโลกที่เราอยู่ขนาดนี้ ทำไมเราไม่หายไปซะเลย หายไปซะจากโลก

    ผมจะได้ไม่ต้องเศร้า ไม่ต้องเจ็บปวดเหมือนทุกวันนี้

    "สัส อ่านไปอ่านมาแม่งหมดจดหมายลาตายเลยว้ะ"

    "ใจเย็นๆนะ นี่ไม่ใช่จดหมายลาตายหรอกครับ"

    ช่วงหลังๆมานี่ ผมไม่ค่อยเศร้าแล้ว (แต่ก็ยังเศร้าอยู่)

    ตอนนี้ผมไม่โทษความสิ้นหวังพวกนี้ที่ทำให้ผมรู้สึกแย่ รู้สึกไม่อยากมีชีวิต

    ผมกับ ขอบคุณมันที่ทำให้ผมตาสว่าง

    ผมลองกลับมาถามตัวเอง

    ว่าทำไมผมถึงรู้สึกสิ้นหวังกับหลายอย่างขนาดนี้

    และผมก็ได้คำตอบที่มันสมเหตุสมผลมาก

    เป็นเพราะตัวผมแหล่ะ ที่มันคาดหวังสูงไป ต้องรู้สึกเศร้า ต้องสิ้นหวัง เพราะตัวเราเอง

    ว่าแต่สรุปแล้ว นี่กูต้องรู้สึกผิดที่เป็นคนคาดหวังสูงจริงๆใช่มั้ยว้ะ ?

    (แย่)

    ผมทนอยู่กับความคิดแบบนี้หลายเดือน

    แต่นี่มันทำให้ผมรู้สึกหดหู่กว่าเดิมเสียอีก

    มันใช่รึเปล่าว้ะ ที่เราโทษตัวเองแบบนี้

    (ตาสว่าง)

    และวันหนึง หลายๆอย่างก็เปลี่ยนไป

    เหมือนวันที่อนาคิน เข้าสู่ด้านมืด

    เหมือนวันที่ซาเซอเกะ ออกจากโคโนฮะ

    เหมือนวันที่คนอ่อนแอ จะลุกขึ้นมาเข้มแข็งบ้าง

    แล้วผมก็ตระหนักได้ว่า ที่ผมรู้สึกผิดหวังกับหลายๆสิ่งอย่าง จริงๆแล้วก็เพราะ

    หลายๆอย่าง มันห่วยไง , มันแย่ไง ,ระบบมันห่วยไง 

    เพราะโลกยังไม่ดีพอสำหรับเราไง และก็เพราะความห่วยแตกพวกนี้เอง

    นี่แหละคือเหตุผล ที่ทำให้ผมสิ้นหวังกับอะไรพวกนี้จริงๆ

    (โชคดี)

    โชคดีที่ผมไม่สิ้นหวังกับตัวเองไปซะก่อน

    ไม่งั้นผมคงไม่ได้มาพิมพ์บ่นอะไรแบบนี้

    ทุกวันนี้ผมไม่อยากตายอีกแล้ว

    จะว่าไปผมก็ไม่อยากตายอีกเลย

    ผมเพิ่งอายุเท่านี้เอง ยังมีอะไรที่ทำได้อีกเยอะ

    ก็ไม่รู้ว่าเมื่อก่อนผมอยากจะรีบตายไปทำไม

    (ไฟ)

    จากความรู้สึกเศร้าและหดหู่

    วันนี้มันกลายเป็น ความโกรธและโมโหแทน

    ทุกครั้งที่พูดถึงสิ่งต่างๆที่เคยทำให้ผมรู้สึกสิ้นหวัง

    หัวใจผมจะเต้นแรง ร่างกายเหมือนหลั่งฮอร์โมนอะดรีนาลีน

    ผมรู้สึดถึงความร้อน ผมรู้สึกถึงไฟ  ไฟในการเปลี่ยนแปลงอะไรๆ ที่มันห่วยแตก

    เปลี่ยนโลกนี้ให้มันดีขึ้น

    (เรา)

    อายุ 22 ปี จริงๆก็ไม่ถือว่าน้อย แต่ก็ไม่ได้เยอะเกินไป

    เป็นช่วงอายุที่ควรเริ่มตั้งเป้าหมายในชีวิตจริงๆจังๆ

    ช่วงที่เริ่มหวัง และผิดหวังกับอะไรต่างๆมากมาย

    ช่วงที่ลองผิด-ลองถูก อาจมีพลาดบ้างเป็นเรื่องธรรมดา

    ช่วงที่สับสนกับชีวิต ว่าจะไปในทิศทางไหนต่อดี

    ช่วงที่อยากเริ่มเปลี่ยนแปลงโลกไปในทิศทางที่ตัวเองเชื่อว่าดี

    และเริ่มเติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่เปี่ยมไปด้วยไฟ

    ไฟในการสร้างและขับเคลื่อนสังคม ไปในทางที่ดีขึ้น

    และสังคมเราเรียกพวกเค้าเหล่านี้ว่า "วัยรุ่น"

    (เติบโต)

    หลายปีก่อน ผมเคยอ่านหนังสือเล่มหนึงชื่อว่า

    "เพราะเป็นวัยรุ่นจึงเจ็บปวด"

    ตอนนั้นผมทนอ่านจนจบเล่ม ก็ไม่เข้าใจ ไม่อินเลย

    ไม่รู้ว่ามันเป็นยังไง เป็นวันรุ่นนี่มันเจ็บปวดยังไงหรอ ?

    การที่ต้องอดทนกับสิ่งที่เราไม่ชอบ

    การต้องเจอกับอะไรที่ไม่ได้ดั่งใจตัวเอง

    การที่ต้องแบกความคาดหวังจากคนอื่น

    การต้องเจ็บปวด เพื่อให้เราเติบโต

    หน้าตามันของมันเป็นยังไง วันนั้นผมไม่เข้าใจเลย

    แต่วันนี้ ผมเข้าใจแล้ว รู้แล้วว่ามันเป็นยังไง

    อาจจะไม่หมดทุกอย่าง แต่ก็มากกว่าในตอนนั้น

    และความเจ็บปวดพวกนี้แหละ ที่ทำให้เราเติบโต

    (อากาศ)

    ทุกวันนี้ท้องฟ้าก็ยังครึ้มเหมือนเดิมเป็นปกติ

    อาจมีแดดออกบ้างเป็นบางวัน นานๆทีพายุจะแวะมาถล่มบ้าง

    แต่เด็กคนนั้น ก็รู้สึกโอเคมากกว่าเดิมแล้ว

    ทุกวันนี้เด็กชาย พยายามไม่โหยหาท้องฟ้าสีสดใสแบบเมื่อก่อน เค้าหัดมีความสุขกับท้องฟ้าครึ้มๆ

    พยายามเก็บเกี่ยวทุกโมเม้นต์ของแต่ละวัน โดยไม่สนใจว่าสภาพอากาศจะเป็นยังไง

    พยายามไม่เปลี่ยนแปลงสีของเมฆเหมือนเมื่อก่อน วันนี้เค้าแค่มองและปล่อยให้มันลอยผ่านไป

    เค้าไม่เกลียดท้องฟ้าสีเทาอีกต่อไป บางทีเค้าอาจชินกับท้องฟ้าแบบนั้นไปแล้ว

    หรือพูดได้ว่า เด็กชายคนนั้น อาจจะเริ่มเข้าใจชีวิตขึ้นมาบ้างแล้ว ก็เป็นได้

    "เพราะชีวิตแม่งก็เป็นอะไรประมาณนี้แหล่ะ"

    จบ.


เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in