เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
and I’ll wipe my shirtsleeves under your eyesTippuri~ii*
chapter 5
  • chapter 5

     

     

     

     

     

     

     

    “นั่นอะไรน่ะ?”

     

     

     

     

     

    คำถามของเทเรซา เพื่อนร่วมออฟฟิศและการบุ้ยใบ้ของเธอทำให้สายตาของมินโฮเลื่อนไปมองตาม…ตอนนี้ทั้งสองยืนเคียงกันอยู่หน้าเครื่องชงกาแฟในครัวส่วนกลางของออฟฟิศ จึงเป็นเรื่องไม่น่าแปลกใจที่หญิงสาวจะสังเกตเห็นถึงซองจดหมายสีสดใสบนเคาเตอร์ มินโฮวางมันไว้ตรงนั้นเองเพื่อจะได้มีมือว่างๆ มากดกาแฟใส่ถ้วย

     

     

     

     

     

    “อ๋อ นี่น่ะเหรอ” ชายหนุ่มทวนถามอย่างไม่จำเป็น ถอยห่างเล็กน้อยเพื่อให้เทเรซาสามารถเคลื่อนตัวเข้าไปกดกาแฟบ้างได้ ก่อนจะตอบ “ไม่มีอะไรหรอก…แค่จดหมายเตือนจากสายการบินน่ะ ยอดไมล์ของฉันมันจะหมดอายุตอนเดือนหน้าแล้ว”

     

     

     

     

     

    เทเรซาพยักหน้า จิบกาแฟพลางถามว่ายอดไมล์ที่ว่านี่มันมีมากแค่ไหนกัน…คำถามที่ทำให้หนุ่มเกาหลียักไหล่แล้วยื่นซองให้เธอแทนคำอนุญาต มินโฮเปิดอ่านจดหมายนี้แค่คร่าวๆ เท่านั้นเอง…เขายังไม่ได้เทียบข้อมูลเลยว่ายอดไมล์สะสมของตนนั้นมากพอจะแลกรางวัลอะไรได้บ้าง

     

     

     

     

     

    หญิงสาวผมยาววางถ้วยในมือแล้วดึงแผ่นกระดาษออกมาจากซอง เริ่มต้นเทียบยอดไมล์ของมินโฮกับเลขมาตรฐานในตารางด้านหลัง ชายหนุ่มจิบกาแฟในความเงียบอันเจือเสียงกระดาษที่ถูกพลิกไปมา…จังหวะเวลาที่มอบโอกาสให้เขาคิดถึงสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อหลายวันก่อน ภาพของยามเช้าอันละมุนตา…หากความทรงจำในนั้นกลับเป็นสีสดเสียจนทำให้ลมหายใจขาดห้วงเมื่อนึกถึง

     

     

     

     

     

    ตั้งแต่เช้าวันนั้นจนถึงตอนนี้ก็เป็นเวลาเกือบครบสัปดาห์แล้ว บทสนทนาครั้งนั้นเป็นครั้งสุดท้ายที่มินโฮได้คุยกับนิวท์…ไม่มีการติดต่อใดๆ อีกมาจนถึงนาทีนี้ มันไม่ใช่เรื่องผิดปกติถ้าเป็นสถานการณ์ทั่วไป เพราะเขากับนิวท์ต่างก็มีหน้าที่การงานให้ต้องรับผิดชอบ…แต่มินโฮรู้ดีว่านี่ไม่ใช่สถานการณ์ทั่วไป

     

     

     

     

     

    และเขาก็รู้ด้วยว่ามันง่ายดายแค่ไหนที่ความเงียบงันของหกวันที่ผ่านมานี้จะยาวนานไปชั่วชีวิตถ้าไม่มีการลงมือทำอะไรสักอย่างเพื่อเปลี่ยนแปลง

     

     

     

     

     

    “ว้าว! ยอดไมล์นายทำอะไรได้เยอะเลยนะ!” เสียงอุทานของเทเรซาทำให้ความคิดของมินโฮชะงัก…เขาหันไปสบตากับเธอ หญิงสาวมีสีหน้าทึ่งๆ ตอนอธิบายเพิ่มเติม “เนี่ย…ถ้านายจะแลกตั๋วแค่ใบเดียว นายก็เลือกประเทศไปได้ถึงในเอเชียเลย แต่จะแลกตั๋วสองใบก็ได้นะ แค่ประเทศมันจะเหลือแค่แถวๆ ยุโรปน่ะ”

     

     

     

     

     

    “ไหนขอฉันดูหน่อยซิ”

     

     

     

     

     

    เทเรซาส่งกระดาษให้เขาแล้วหยิบถ้วยกาแฟของตัวเองขึ้น อวยพรมินโฮล่วงหน้าว่าเที่ยวให้สนุกแล้วก็เดินออกไปจากครัว…ทิ้งชายหนุ่มให้ยืนไล่อ่านรายชื่อประเทศที่ยอดไมล์ของเขาสามารถแลกตั๋วเครื่องบินไปได้

     

     

     

     

     

    มินโฮครุ่นคิดสักครู่เมื่ออ่านจบ…ทริปถ่ายรูปที่เขาเล่าให้นิวท์ฟังนั้นก็ยังคงอยู่ในสถานะโดนเลื่อนออกไปจนกว่าฝ่ายการจัดการจะยื่นเรื่องได้ลงตัว เพราะฉะนั้นมันก็หมายความว่าชายหนุ่มจะไม่มีงานรัดตัวไปสักพัก ซึ่งในสถานการณ์แบบนี้…มินโฮผู้มีจำนวนวันลางานเหลือและมีสถานที่ที่อยากไปเก็บภาพเป็นการส่วนตัวอยู่ในใจก็ไม่เห็นความจำเป็นในการจะต้องมานั่งหงอยที่ออฟฟิศแบบนี้เลยสักนิด

     

     

     

     

     

    ดวงตาสีดำไล่อ่านจำนวนตัวเลขอีกทีเพื่อยืนยัน ก่อนจะครุ่นคิด…โทรศัพท์มือถือถูกหยิบออกมาจากกระเป๋ากางเกงแต่ก็ยังคงไม่มีการติดต่อสื่อสารใด ปลายนิ้วของเจ้าของเคาะเบาๆ บนตัวเครื่องเป็นจังหวะระหว่างที่เจ้าตัวใช้ความคิด

     

     

     

     

     

    จำนวนนาทีล่วงเลย…นานพอที่จะทำให้กาแฟร้อนๆ หมดไอกรุ่น แต่มินโฮก็ยังคงดื่มมันเข้าไปอึกใหญ่ๆ อยู่ดีเมื่อตัดสินใจได้…ปลายนิ้วพิมพ์รหัสลงบนหน้าจอ ก่อนจะแตะให้กล่องข้อความเปิดขึ้นมา

     

     

     

     

     

    ประโยคที่เขาพิมพ์นั้นเป็นประโยคปกติที่มักจะใช้ระหว่างกัน ให้ความรู้สึกปกติราวกับไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้นเลย

     

     

     

     

     

    กาแฟอุ่นๆ ถูกดื่มหมดถ้วยพอดีเมื่อโทรศัพท์ของเขาส่งเสียงเตือน

     

     

     

     

     

    ‘ได้เลย แล้วเจอกันนะ

     

     

     

     

     

    ประโยคอันเรียบง่ายและแสนปกติเช่นเดียวกัน…มินโฮอ่านข้อความจากนิวท์แค่รอบเดียวเท่านั้น ก่อนจะเก็บโทรศัพท์มือถือใส่กระเป๋ากางเกงดังเดิม

     

     

     

     

     

     

    //

     

     

     

     

    คาเฟ่กราฟเปเปอร์เป็นร้านกาแฟที่ขายอาหารด้วย และถึงมันจะห่างจากแถวออฟฟิศของเขาพอสมควร มินโฮก็ยังคงยอมแวะเวียนมาเรื่อยๆ เพราะเมนูอาหารกลางวันของคาเฟ่นี้นั้นอร่อยจริงๆ…การเสียสละที่นิวท์เองก็ลงความเห็นว่าคุ้มค่าเมื่อเจ้าตัวได้มาที่นี่กับเขา ทำให้ร้านนี้กลายเป็นหนึ่งในร้านประจำที่ทั้งสองจะใช้เป็นที่นัดหมายในการเจอกันอยู่เสมอ

     

     

     

     

     

    มินโฮมาถึงคาเฟ่ก่อนเวลานัดราวๆ ห้านาที แต่เขาก็มองเห็นตั้งแต่จากนอกร้านแล้วว่าชายหนุ่มผมทองนั่งอยู่ที่โต๊ะประจำ…กระดิ่งดังเบาๆ เมื่อประตูถูกเปิดและปิดตามหลัง เสียงที่เรียกให้เพื่อนสนิทเงยหน้าขึ้นอย่างรวดเร็ว…บอกให้รู้ว่านิวท์รอการมาถึงของเขาอย่างจดจ่อ

     

     

     

     

     

    “มินโฮ”

     

     

     

     

     

    คำทักมาพร้อมรอยยิ้ม…แต่ทุกอย่างก็ดูแปลกแปร่งไปเสียหมดในความรู้สึกของมินโฮ คงจะเป็นเพราะมันเหมือนนานมาแล้วเหลือเกินที่ไม่ได้ยินเสียงนี้เรียกชื่อเขา และก็คงเพราะรอยยิ้มของนิวท์ดูเกร็งๆ…รอยยิ้มที่เจ้าตัวพยายามใช้ซ่อนเร้นตะกอนความรู้สึกที่ยังหลงเหลือจากบทสนทนาในเช้าวันนั้น เรื่องราวที่พวกเขาทั้งสองต่างก็รู้ดีว่ายังคงค้างคาในหัวใจกันอยู่ทั้งคู่

     

     

     

     

     

    “ฉันสั่งกาแฟให้นายแล้วนะ”

     

     

     

     

     

    มินโฮวางกระเป๋าลงบนเก้าอี้ตัวที่ว่าง ก่อนจะนั่งลงบนเก้าอี้ตัวที่ตรงข้ามกับนิวท์ ไม่รู้จะตอบอะไรมากไปกว่านี้ “ขอบใจ”

     

     

     

     

     

    นิวท์รอจนเขานั่งได้เรียบร้อยแล้วจึงค่อยๆ เอนตัวเข้ามา แขนเรียวยาวเท้าศอกลงบนพื้นโต๊ะ ลมหายใจถูกสูดเข้าและผ่อนออก ริมฝีปากเม้มนิดๆ ราวกับเจ้าตัวกำลังคิดเรียบเรียงคำพูด…ตะกุกตะกักและกระจัดกระจายในความเงียบงัน

     

     

     

     

     

    “ฉัน…ฉันขอโทษนะ” เสียงแหบทุ้มนั่นเอ่ยขึ้นในที่สุด “แต่ฉันไม่รู้จริงๆ ว่าฉันจะบอกนายได้ยังไงว่าฉันรู้ว่านายชอบฉัน…”

     

     

     

     

     

    นี่คือสิ่งที่มินโฮตั้งใจมาตลอดว่าจะต้องไม่เกิดขึ้น…บทสนทนาถึงความรู้สึกอันเกินเลย การอธิบายถึงเหตุผลของคำพูดที่ไม่ได้ถูกเอ่ยออกไป และบรรยากาศชวนอึดอัดใจจากความในใจที่ฝ่ายหนึ่งไม่ต้องการบอกและอีกฝ่ายไม่ต้องการฟัง แถมประเด็นหลักๆ ที่นิวท์กำลังขอโทษอยู่นี้ก็ไม่ได้แม้แต่จะมาจากการสารภาพความรู้สึกอันล้มเหลวด้วยซ้ำ

     

     

     

     

     

    เขากับนิวท์คือเรื่องราวที่มีแค่เพียงความยุ่งเหยิงของหัวใจและไม่มีใครรู้ทางแก้ไขเลยสักนิด

     

     

     

     

     

    มินโฮเกลียดความกระอักกระอ่วนของรูปการแบบนี้ที่สุด ความกระอักกระอ่วนที่ผสมผสานจากความรู้สึกผิดกับความรักที่ไม่อาจถูกตอบสนองได้ บรรยากาศที่เขารู้ดีว่าจะต้องมาถึงเข้าสักวันตราบใดที่ตนยังคงรู้สึกแบบนี้กับเพื่อนสนิทอยู่…เพียงแต่ว่ามินโฮไม่เคยคิดเตรียมไว้เลยว่าถ้าได้พบเจอมันเข้าจริง เขาจะทำอย่างไร

     

     

     

     

     

    เห็นได้ชัดว่านิวท์เองก็ไม่สามารถจัดการสถานการณ์นี้ได้ดีมากไปกว่าเขา…เพราะสุดท้าย ถ้อยคำก็เงียบหาย มือขาวยกขึ้นลูบหน้าราวกับเหนื่อยล้า ดวงตาหลับลง…สะท้อนแววระโหยตอนที่เปิดลืมขึ้นอีกครั้ง

     

     

     

     

     

    มินโฮทอดสายตามองตอบ…น่าขันเหลือเกินที่ระยะห่างแค่เพียงสบสายตานี้กลับหนักหน่วงและเต็มไปด้วยคำพูดที่พวกเขาต่างก็เรียบเรียงไม่ได้ ความรู้สึกของมินโฮ…ความจริงจากนิวท์…ความสัมพันธ์ต่อจากนี้ไปของทั้งคู่…ในอณูอากาศดูจะมีแต่สิ่งที่ต้องพูดคุยกัน แต่ไม่มีใครเลยที่รู้ว่าจะเอ่ยมันออกมาได้อย่างไร

     

     

     

     

     

    “นายจะโกรธฉันก็ได้…ที่ฉันไม่แสดงออกอะไร แล้วก็ยังเป็นเพื่อนนาย…อยู่ข้างๆ นายแบบนี้มาตลอด” นิวท์พยายามใหม่อีกครั้ง แววตากับน้ำเสียงสั่นระริก สิ้นหวังและเว้าวอน “ฉันขอโทษสำหรับเวลาที่ผ่านมาที่ฉันไม่ได้บอกความจริง…”

     

     

     

     

     

    คำขอโทษคือสิ่งที่นิวท์ต้องการจะพูด ประโยคถัดมาคือสิ่งที่เป็นเหตุผลและข้อเท็จจริงของเจ้าตัว

     

     

     

     

     

    “แต่นายเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดในชีวิตของฉัน…และฉันไม่มีนายไม่ได้”

     

     

     

     

     

    เหตุผลที่ทำให้นิวท์เก็บงำสิ่งที่ตัวเองรู้คือเหตุผลเดียวกันที่ทำให้มินโฮไม่เคยปริปากบอกมันออกไป…เพราะเขาเองก็ยินดีจะแลกให้ความรักของตัวเองไร้การตอบสนองมากกว่าเสียนิวท์ไปจากชีวิตเหมือนกัน

     

     

     

     

     

    นิวท์เงียบไปเมื่อกล่าวจบ…มินโฮรู้ว่าอีกฝ่ายกำลังรอคอย รอฟังว่าเขาจะตัดสินใจอย่างไร

     

     

     

     

     

    ความหวั่นไหวและคาดหวังดูจะสั่นสะท้อนแผ่วจางในความเงียบงันระหว่างกัน

     

     

     

     

     

     

    //

     

     

     

    ไม่มีสักนาทีในหกวันที่ผ่านมาที่นิวท์ไม่อยากติดต่อไปหามินโฮ

     

     

     

     

     

    เพียงแต่เขาไม่คิดว่าตัวเองมีสิทธิ์จะเรียกร้องบทสนทนาใดๆ จากอีกฝ่ายแล้วถ้าเจ้าตัวไม่ต้องการ…มินโฮไปจากอพาร์ตเมนต์ของเขาในเช้าวันนั้นด้วยคำลาแสนสั้น และก็ไม่มีการติดต่ออะไรกลับมาอีกเลย…เกือบสัปดาห์ที่ให้เวลายาวนานเหมือนเป็นปีนักในความรู้สึก

     

     

     

     

     

    เขาอยากจะขอโทษ เขาอยากจะแก้ไข แต่นิวท์ก็ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าทุกสิ่งที่ตนอยากจะพูดนั้นจะยังเป็นที่ต้องการของมินโฮอยู่หรือเปล่า…เขารู้ดีว่าเพื่อนสนิทมีสิทธิ์จะโกรธเกลียดตนได้เต็มที่ แต่ถ้าอีกฝ่ายยอมฟัง…นิวท์ก็อยากจะบอกว่าตนไม่มีเจตนาจะทำร้ายใจของมินโฮเลยสักนิด ในทางกลับกัน เขาระวังมาตลอดด้วยซ้ำไม่ให้ตัวเองทำอะไรที่เป็นการให้ความหวังกับเพื่อนสนิท

     

     

     

     

     

    ยกเว้นก็แต่หยดน้ำตาในยามค่ำคืนกับชายแขนเสื้อที่ช่วยปาดซับมันออกไปอย่างนุ่มนวล

     

     

     

     

     

    หากโอกาสที่นิวท์ได้สารภาพความจริงกลับเป็นวันที่เขาหลงลืมความระมัดระวังทั้งหมดที่เคยมีมา

     

     

     

     

     

    ใกล้แสนใกล้…จูบที่เกือบจะเกิดขึ้นจากความคิดชั่ววูบของเขา

     

     

     

     

     

    คำพูดทุกคำที่มินโฮเอ่ยกลับมาเป็นอะไรที่ถูกต้องเสียจนทำให้นิวท์หายใจติดขัดทุกครั้งที่เล่นเหตุการณ์นั้นซ้ำๆ ในหัว และเขาก็มีเวลาทำมันอย่างเหลือเฟือในหกวันที่ค่อยๆ เคลื่อนตัวผ่านไป

     

     

     

     

     

    นั่นจึงทำให้ชื่อผู้ส่งข้อความบนหน้าโทรศัพท์มือถือเป็นภาพที่ทำให้น้ำหนักในหัวใจของเขาเบาบางลงได้อย่างไม่น่าเชื่อ

     

     

     

     

     

    ‘กินมื้อกลางวันด้วยกันไหมวันนี้? ที่คาเฟ่กราฟเปเปอร์สักตอนเที่ยงเป็นไง?

     

     

     

     

     

    แต่ถึงจะตกลงนัดไปตามนั้น ความกระวนกระวายก็ทำให้นิวท์ไปถึงคาเฟ่ก่อนเวลาอยู่ดี…เขาพยายามเรียบเรียงสิ่งที่ตัวเองอยากจะพูดในหัวครั้งแล้วครั้งเล่า แต่เมื่อมินโฮมาถึงจริงๆ…ทุกอย่างที่เตรียมไว้ก็ดูจะผิดพลาดไปเสียหมด ถ้อยคำที่ต้องการจะพูดกลับกลายเป็นความเงียบที่โอบล้อมแทน…หนักหน่วงและทำให้อยากร้องไห้อย่างประหลาด

     

     

     

     

     

    เขาเสียมินโฮไปไม่ได้ แต่เขาก็รักอีกฝ่ายไม่ได้เช่นกัน

     

     

     

     

     

    นิวท์จึงทำได้แค่เพียงรอ…เขาพยายามพูดสิ่งที่ต้องการจะให้มินโฮรู้ออกไปจนหมดแล้ว ไม่เหลืออะไรให้ทำอีกแล้วนอกจากปล่อยให้อีกฝ่ายตัดสินใจเองว่าจะยกโทษให้เขาได้ไหม

     

     

     

     

     

    ความหวั่นไหวและคาดหวังดูจะสั่นสะท้อนแผ่วจางในความเงียบงันระหว่างกัน

     

     

     

     

     

    แล้วในที่สุด คนตรงหน้าก็ถอนหายใจออกมา…ทิ้งตัวลงพิงพนักเก้าอี้ ดวงตามองตรง…สบประสานกับเขา

     

     

     

     

     

    “ฉันไม่ได้โกรธนายที่นายไม่บอกฉันว่านายรู้อยู่แล้วว่าฉันรู้สึกยังไง…เชื่อเถอะ ฉันไม่เคยโกรธนายเพราะเรื่องนี้เลยจริงๆ” มินโฮพูดขึ้นในที่สุด ลมหายใจถูกถอนหนักๆ “ไม่รู้สิ…คงเพราะฉันรู้สึกแบบนี้มานานจนชินแล้วด้วยล่ะมั้ง แล้วก็คงเพราะฉันคิดอยู่แล้วล่ะว่านายก็คงรู้สึกตัวอยู่บ้างแหละ…”

     

     

     

     

     

    เพื่อนสนิทเว้นช่วงเล็กน้อย สายตาแน่วแน่ตอนกล่าวต่อ

     

     

     

     

     

    “อาจจะฟังแล้วพิลึกนะ…แต่ฉันมองว่าการที่ฉันรู้สึกยังไงมันก็เป็นเรื่องของฉัน ฉันเลือกเองแล้วว่าจะรู้สึกยังไง นายไม่จำเป็นจะต้องมารู้สึกว่าต้องรับผิดชอบอะไรหรอก”

     

     

     

     

     

    มันเป็นประโยคที่เปี่ยมด้วยความมั่นคงติดจะดื้อรั้นทั้งในคำพูดและน้ำเสียง…เศษเสี้ยวของนิสัยเพื่อนสนิทที่นิวท์รู้จักดี มินโฮเป็นคนที่ตัดสินใจได้เด็ดเดี่ยวและหยิ่งผยองพอที่จะแบกรับผลที่ตามมาด้วยตัวเองแต่เพียงผู้เดียวเสมอ และประโยคนี้ก็เป็นอีกหนึ่งเครื่องพิสูจน์…คำพูดที่บอกชัดเจนว่านิวท์ไม่จำเป็นต้องขอโทษ เพราะทุกการตัดสินใจนั้นมาจากตัวมินโฮเอง ไม่ใช่ใครอื่นทั้งนั้น

     

     

     

     

     

    ดวงตาสีดำที่จ้องตรงมานั้นไม่มีแววลังเล สะท้อนประกายแข็งกร้าวบางเบาราวกับจะขีดเส้นให้รู้ว่านิวท์ยืนอยู่ตรงไหนของความยุ่งเหยิงในหัวใจของเจ้าตัว

     

     

     

     

     

    อย่าได้กล้าคิดว่านี่เป็นการตัดสินใจที่เกิดขึ้นจากความจำยอม…ฉันเลือกเองว่าทุกสิ่งทุกอย่างจะเป็นแบบนี้…และฉันก็จะแบกรับผลของการตัดสินใจนี้ด้วยตัวเอง

     

     

     

     

     

    “ฉันไม่เคยต้องการให้นายมารับผิดชอบความรู้สึกของฉัน นี่แหละที่ทำให้ฉันหงุดหงิด เพราะฉันไม่ชอบสถานการณ์แบบนี้เลย” มินโฮพูดเรียบๆ ต่อ “ฉันเข้าใจว่านายชอบอัลบี ฉันดีใจด้วยซ้ำที่เราเป็นเพื่อนกันได้ปกติมาจนตอนนี้ต่อให้นายรู้อยู่แล้ว…เพราะฉันไม่ชอบที่เราจะต้องมาอึกๆ อักๆ กัน แถมตอนนี้ก็กลายเป็นว่านายก็มารู้สึกผิดอีกต่างหาก ทั้งๆ ที่มันไม่จำเป็นเลย…”

     

     

     

     

     

    ลมหายใจถูกระบายออก…เนิบช้าหนักหน่วง

     

     

     

     

     

    “ฉันชอบนาย นายไม่ชอบฉัน” น้ำเสียงนั้นเรียบนิ่ง…ล้าจางๆ แต่ก็มั่นคง “แต่มันก็สายเกินไปแล้วที่เราจะหาเพื่อนสนิทคนใหม่…”

     

     

     

     

     

    ประโยคท้ายทำให้หัวใจของนิวท์โลดขึ้น…เพราะเขาสังเกตได้ถึงมุมปากของเพื่อนสนิทที่เริ่มยกยิ้มขึ้นบางเบา

     

     

     

     

     

    “เพราะงั้นก็ช่วยเลิกทำตัวพิลึกๆ ซะที…แค่นี้บรรยากาศมันก็พิลึกจะแย่อยู่แล้ว โอเคมั้ย?”

     

     

     

     

     

    ในนาทีนี้ ถ้อยคำติดตลกนี้เป็นสิ่งที่มีค่าที่สุดสำหรับนิวท์…เพราะมันสื่อความหมายได้มากมายนัก ไม่ว่าจะเป็นข้อเท็จจริงที่ว่ามินโฮยอมรับได้ว่านิวท์เสียใจ  คำขอร้องให้ช่วยทำตัวแบบเดิมต่อกัน และการบอกกลายๆ ว่าเจ้าตัวยังต้องการจะเป็นเพื่อนกับเขาต่อไป

     

     

     

     

     

    มันไม่เป็นไรที่นายจะไม่ได้รู้สึกแบบเดียวกับฉัน

     

     

     

     

     

    นิวท์รู้จักมินโฮดีว่านี่ไม่ใช่การทำตัวแสนดีใดๆ ทั้งนั้น…แต่นี่คือนิสัยของชายหนุ่มผมดำ จิตใจที่เข้มแข็งจนดูเหมือนยโสนั่นไม่เคยยอมให้เรื่องใดๆ มาเปลี่ยนแปลงความคิดของตัวเอง ความเข้มแข็งที่นิวท์คิดเสมอว่าเปรียบได้กับไม้ใหญ่ที่หยั่งรากลึก…มินโฮต้องรู้ดีมาตลอดอยู่แล้วว่าการมอบหัวใจให้เขาเป็นเรื่องที่ไม่มีหวัง แต่เจ้าตัวก็รั้นพอที่จะไม่ใส่ใจอยู่ดี และก็หยิ่งในศักดิ์ศรีของตัวเองพอที่จะปฏิเสธนิวท์เพราะไม่ต้องการความสัมพันธ์ที่ตัวเองจะโดนใช้เพื่อลืมใครอื่น

     

     

     

     

     

    นิวท์เคยสงสัยมาตลอดว่าจะเป็นอย่างไรถ้าตนบอกมินโฮว่ารู้ดีอยู่แล้วว่าอีกฝ่ายรู้สึกอย่างไร แต่ในตลอดเวลานั้น…เขาก็มั่นใจมาตลอดว่าตนกับเพื่อนสนิทจะต้องหาทางประคองมิตรภาพผ่านพ้นทุกความยุ่งเหยิงของหัวใจไปให้ได้

     

     

     

     

     

    ทำให้ในนาทีนี้ นิวท์จึงรู้สึกตื้นตันในหัวใจยิ่งนัก

     

     

     

     

     

    “รู้แล้วน่า ฉันก็ไม่ชอบเหมือนกัน…มันพิลึกชะมัดที่เราพูดกันแบบนี้” ชายหนุ่มผมทองแย้มยิ้มออกมา หัวใจเบาหวิวด้วยความยินดี “แล้วนี่เมื่อไหร่เราจะสั่งอาหารกันล่ะหา? ของนายเอาเป็นสลัดอะโวคาโดใช่มั้ย?”

     

     

     

     

     

    มินโฮปาผ้าเช็ดปากใส่เขาแทนการสบถก่อนจะหัวเราะออกมา เสียงที่ทำให้นิวท์รู้สึกว่าโลกทั้งใบของตนกลับมาเป็นปกติแล้ว

     

     

     

     

     

     

    //

     

     

     

    มินโฮสั่งกาแฟอีกถ้วยหลังจานอาหารโดนเก็บออกไปจากโต๊ะ

     

     

     

     

     

    เขารอจนนิวท์คนกาแฟในถ้วยของตัวเองอยู่ชั่วครู่แล้วจึงค่อยเอ่ยขึ้น…อีกเหตุผลของการนัดมากินอาหารกลางวันมื้อนี้

     

     

     

     

     

    “นายอยากไปนอร์เวย์มั้ย?”

     

     

     

     

     

    นิวท์ผงกศีรษะขึ้นมาทันทีกับคำถามปุบปับนี้ มอบคำตอบที่ดีที่สุดให้เขา “หา??”

     

     

     

     

     

    มินโฮกลอกตา ทวนคำถามเดิมซ้ำ

     

     

     

     

     

     

    “นอร์เวย์?” นิวท์ก็ยังคงไม่ตอบเขาอยู่ดี มิหนำซ้ำยังถามย้อนกลับมาเสียด้วย “ทำไมต้องนอร์เวย์??”

     

     

     

     

     

    ชายหนุ่มผมดำอธิบายถึงยอดไมล์สะสมของตัวเองคร่าวๆ ก่อนจะตบท้ายด้วยการบอกว่าตนคิดอยากจะไปถ่ายรูปที่นอร์เวย์มานานแล้ว

     

     

     

     

     

    “แล้วถ้าฉันไปแค่ในยุโรป มันจะแลกตั๋วฟรีได้สองใบน่ะ” มินโฮยักไหล่ “ถ้านายอยากไปก็จะได้แลกสองใบเลย แต่ถ้านายไม่ไปฉันจะได้แลกแค่ใบเดียว แล้วก็จะได้จองพวกที่พักอะไรงี้ตามนั้นด้วย”

     

     

     

     

     

    นิวท์พยักหน้าหงึกๆ แล้วก็ถามต่อ “แล้วจะไปสักช่วงไหนล่ะ?”

     

     

     

     

     

    “อาจจะอีกสักอาทิตย์น่ะ แต่ยังไงก็คงไม่เกินสองอาทิตย์หรอก…ฉันกะจะลางานไปสักห้าวันน่ะ”

     

     

     

     

     

    เพื่อนสนิทดูจะชะงักไปเล็กน้อย ก่อนจะขยับยิ้มแล้วถามว่าต้องให้คำตอบตอนนี้เลยไหม

     

     

     

     

     

    มินโฮส่ายหน้า บอกไปว่าให้อีกฝ่ายกลับไปคิดดูก่อนแล้วค่อยบอกตนก็ได้

     

     

     

     

     

     

    //

     

     

     

     

    สิ่งแรกที่นิวท์ทำเมื่อกลับถึงออฟฟิศของตัวเองก็คือเปิดสมุดจดบันทึกตารางเวลาของตัวเองดู ตอนนี้ชายหนุ่มมีงานที่ต้องสะสางอยู่แค่งานเดียวเท่านั้น และก็ดูจะสามารถจบเคสได้ภายในสัปดาห์หน้าด้วย…ทำให้ถ้าเขาบอกอัลบีในวันนี้หรือวันพรุ่งนี้ การลางานก็ดูจะไม่ใช่ปัญหาอะไร

     

     

     

     

     

    ห้าวัน…

     

     

     

     

     

    ปลายนิ้วลากเลื่อนบนหน้ากระดาษ เพื่อนสนิทไม่จำเป็นต้องอธิบายว่าทำไมทริปนี้จะต้องเกิดขึ้นภายในเวลาอีกไม่กี่อาทิตย์และยาวนานแค่ไม่กี่วัน

     

     

     

     

     

    …เพราะจะต้องกลับมาให้ทันงานแต่งงานของอัลบี

     

     

     

     

     

    ความคิดย้ำเตือนถึงเรื่องนี้เป็นเหมือนหนามเล็กๆ ที่ซ่อนอยู่ในมุมมืดของหัวใจ…ทิ่มแทงเสมอในเวลาที่เขานึกถึง นิวท์พบว่าตัวเองรับมือกับสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นนี้ได้สงบกว่าที่เคยคาดไว้จนน่าประหลาดใจ

     

     

     

     

     

    แต่ก็ไม่หรอก…เพราะเขาก็รู้ลึกๆ ดีอยู่แล้วล่ะว่านี่คือสิ่งที่จะต้องเกิดขึ้นสักวัน…ว่าคนคนเดียวที่อัลบีจะต้องการก็คือโทพาซ

     

     

     

     

     

    และเขาก็รู้ดีว่าอีกเหตุผลที่ช่วยตนไว้คืออะไร

     

     

     

     

     

    อ้อมแขนที่โอบกอดและเสียงที่กระซิบว่ามันไม่เป็นไรที่จะร้องไห้กับข่าวดีนี้

     

     

     

     

     

    งานแต่งงานของอัลบีถูกกำหนดไว้ในราวๆ กลางเดือนหน้า ช่วงเวลาที่นิวท์รู้ดีว่าไม่มีทางนานพอที่จะทำให้เขาตัดใจ แต่น่าจะนานพอที่จะทำให้เขาทำใจได้…และการหายไปจากเมืองที่คุ้นเคยนี้กับคนคนเดียวที่เขาอยู่ด้วยแล้วสบายใจที่สุดก็เป็นทางเลือกที่ดูจะช่วยได้ไม่มากก็น้อย

     

     

     

     

     

    ชายหนุ่มผมทองจึงหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมา ข้อความสั้นๆ ถูกส่งออกไป

     

     

     

     

     

    ‘ตกลง

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

    tbc.

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in