chapter 1
นิวท์มีคู่นอนหลายคน และคนคนเดียวที่เขารัก
ซึ่งถ้าจะพูดให้ถูกก็คือ…นิวท์มีคู่นอนหลายคน เพราะคนคนเดียวที่เขารัก
ชายหนุ่มรู้ดีว่ามันไม่ใช่ทางออกที่ดีเลย…แต่ในขณะเดียวกัน นิวท์ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทางออกที่ดีคืออะไร เพราะก็เห็นได้ชัดเจนว่าอัลบีไม่มีวันจะมองเขาได้มากไปกว่าเพื่อนที่ดีคนหนึ่ง และนิวท์เองก็ไม่อยากเสียความสัมพันธ์นี้ไปด้วยคำสารภาพที่รู้ๆ อยู่ว่าไร้ความหวัง นั่นจึงทำให้เวลาหลายปีของทั้งสองดำเนินไปด้วยมิตรภาพจากอัลบีและความปวดร้าวเล็กๆ หากหยั่งรากลึกในใจของเขาเสมอทุกครั้งที่เห็นอีกฝ่าย
อัลบีเริ่มต้นออกเดทไล่ๆ กับนิวท์…แต่ต่างกันตรงที่นิวท์ได้เริ่มต้นคบกับแฟนคนที่สองและคนถัดๆ มาคนแล้วคนเล่า แต่อัลบียังคงมีความสุขกับคู่เดทคนแรกของตัวเอง…หญิงสาวผิวสีน้ำผึ้งผู้มีเรือนผมสีดำสนิทเหยียดตรงและรอยยิ้มอบอุ่นบนริมฝีปากเสมอ
ภาพของอัลบีกับโทพาซนั้นเป็นอะไรที่ทำให้นิวท์เจ็บแปลบในใจซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนชาชินเสียแล้ว…และเขาก็ต้องยอมรับว่าโทพาซเป็นคนที่เหมาะสมที่สุดสำหรับอัลบี ชายหนุ่มจึงได้แต่มองภาพความรักของคนทั้งคู่ไปพร้อมๆ กับที่รับรู้ถึงความรู้สึกของตัวเอง…สองสิ่งที่เติบโตไปเรื่อยๆ ตามวันเวลาโดยที่นิวท์ไม่อาจทำอะไรได้เลย
หลายๆ คนแซวเขาเล่นเสมอเรื่องการเปลี่ยนคู่ควงแทบจะเดือนต่อเดือน…สิ่งที่นิวท์รู้ดีว่าคือคำช่วยท้วงติงด้วยความห่วงใย แต่เขาก็ไม่อาจบอกใครได้ถึงเหตุผลที่แท้จริงของทุกสิ่งทุกอย่างตรงนี้…เขาไม่อาจพูดออกไปได้ว่าเขาหวังเสมอว่าตัวเองจะได้เจอใครสักคนที่มาแทนที่อัลบีได้ ใครสักคนที่จะทำให้เขารู้สึกมากกว่าที่รู้สึกกับอัลบี ใครสักคนที่จะทำให้ความรักไร้ทางออกนี้กลายเป็นเพียงความทรงจำ…ความหวังที่โง่เง่าจนน่าหัวเราะ
และสิ่งที่น่าหัวเราะที่สุดก็คือ…นิวท์รู้อยู่ลึกๆ ในใจอยู่แล้วว่าตนไม่มีวันจะได้พบใครคนนั้น เพราะคนคนเดียวที่เขาต้องการคืออัลบี
นิวท์จึงเก็บเหตุผลเบื้องหลังทุกความสัมพันธ์อันรวดเร็วเหล่านี้ไว้ในความเงียบงันของหัวใจ…มันเป็นความลับที่บีบรัดให้หายใจไม่ออกทุกครั้งที่คิดถึง ความลับที่เขาไม่เคยปริปากบอกใครเลยสักคน
แต่ในบางครั้ง การรับรู้ก็เกิดขึ้นได้อย่างง่ายดายถ้าเพียงใครคนนั้นตั้งใจสังเกต
//
มินโฮรู้จักนิวท์มาตั้งแต่สมัยไฮสคูล…ระยะเวลาที่นานพอที่จะทำให้เขาคุ้นเคยกับภาษากายของอีกฝ่ายดีไม่ว่าจะมากน้อยแค่ไหน
และนั่นจึงทำให้ชายหนุ่มสังเกตได้ในเวลาไม่นานว่านิวท์กำลังตกหลุมรัก…มันเป็นช่วงฤดูร้อนของชั้นปีหนึ่งในมหาวิทยาลัย และไม่ทันที่ใบไม้จะเปลี่ยนสี…มินโฮก็สรุปได้เองว่าคนคนนั้นคือใคร
สิ่งที่ได้รับรู้ทำให้เวลาในโลกทั้งใบของเขาเดินช้าลง มินโฮยังคงจำความรู้สึกของการจมดิ่งของหัวใจที่ตัวเองได้ มันให้ความรู้สึกเหมือนภาพของฉากภาพยนตร์…ร่วงหล่นอย่างเชื่องช้า ทุกวินาทีเติมเต็มด้วยความสับสนของตัวเขาที่ไม่อาจทำให้ตัวเองเข้าใจข้อเท็จจริงที่รับรู้นี้ได้
…นิวท์ชอบอัลบี
ในช่วงเวลาที่ทุกคนยังเป็นอิสระจากภาระของการเป็นผู้ใหญ่นั้น การเอ่ยปากสารภาพความในใจไปตรงๆ ยังเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นอยู่เรื่อยๆ…มินโฮจึงคาดเดาไว้ว่าอีกไม่นานตนก็คงได้เห็นนิวท์กับอัลบีเดินเคียงกันไปไหนต่อไหน แต่หลังจากเวลาเกือบเดือนผ่านไป…ชายหนุ่มก็พบว่าเขาคิดผิด
ไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลย
แต่มองอีกแง่หนึ่ง…ความเงียบเฉยของเพื่อนสนิทก็ไม่ใช่เรื่องที่น่าแปลกใจ เพราะแม้แต่ตัวมินโฮเองก็คิดว่าการเอ่ยปากบอกความในใจกับคนใกล้ตัวนั้นเป็นเรื่องที่มีความเสี่ยงสูงนัก แล้วไหนจะข้อเท็จจริงที่ว่าอัลบีเคยบอกอยู่หลายครั้งว่าสาวน้อยคณะศิลปศาสตร์ที่ชื่อโทพาซนั้นน่ารักดี
และในเมื่อนิวท์ไม่ได้เล่าถึงความรู้สึกที่เขาสังเกตได้นี้ให้ฟังด้วยตัวเอง มินโฮจึงคิดว่าสิ่งเล็กน้อยที่สุดที่ตนจะทำได้ก็คือการนิ่งเฉยเสียต่อไปอย่างเดิม
//
มือข้างหนึ่งนั้นถือมวนบุหรี่ไว้ ส่วนมืออีกข้างหนึ่งก็ใช้ปลายนิ้วค่อยๆ เลื่อนรูปถ่ายใบแล้วใบเล่าในกล่อง
นิวท์ไม่ได้เปิดไฟในห้องนั่งเล่นนี้เพราะแสงที่ทอดตัวผ่านประตูระเบียงและกระจกหน้าต่างก็มากเพียงพอแล้ว…แสงแดดอ่อนๆ ทอผ่านผ้าม่านขาวสะอาดเข้ามาในห้องสีสว่าง โอบล้อมบรรยากาศไว้ให้ละมุนอ่อนโยน เข้ากันนักกับสิ่งที่นิวท์กำลังทำอยู่ตอนนี้…การค้นเอารูปถ่ายเก่าๆ ในวันวานออกมาจากกล่องเก็บเพื่อเตรียมหาสมุดอัลบั้มใส่ การค้นหาที่กลับกลายมาเป็นการไล่ดูไปทีละรูป…ซึมซาบความทรงจำอันชวนให้คิดถึงเหล่านี้ใหม่อีกครั้ง
ควันสีเทาลอยเอื่อย…นิวท์แตะมวนกระดาษนั่นที่เรียวปากของตน ละเลียดรสขมๆ บนปลายลิ้น แล้วก็เลื่อนมือกลับออกไปดังเดิม…กันไม่ให้เถ้าบุหรี่ร่วงหล่นบนรูปถ่าย ดวงตาไม่ได้ละไปจากทุกสิ่งทุกอย่างเบื้องหน้าตนเลยสักนิด
หลายรูปซีดจาง หลายรูปก็ไม่มีวันที่เขียนไว้ และถ้าใครค้นดีๆ ไปเรื่อยๆ ก็จะสังเกตได้…หลายรูปไม่มีมินโฮในนั้น
นิวท์รู้ดีว่าทำไม
…เพราะเกินครึ่งของรูปพวกนี้…มินโฮเป็นคนถ่าย
น่าขำดีเหมือนกันที่งานอดิเรกในตอนนั้นกลายมาเป็นงานประจำในตอนนี้…แถมงานประจำที่ว่านี่ก็คือนิตยสารแนวหน้าอย่างเนชั่นแนลจีโอกราฟฟิกเลยด้วย แต่นิวท์ก็ไม่แปลกใจเหมือนคนอื่นๆ ตอนที่เพื่อนสนิทประกาศข่าวนี้ให้ได้รู้…เพราะเขาอยู่กับมินโฮมาตั้งแต่วันแรกที่เจ้าตัวได้กล้องตัวแรกมาครอบครอง และก็ได้เห็นรูปของอีกฝ่ายมาตั้งแต่เริ่มหัดถ่ายมาเรื่อยๆ…สิ่งที่ทำให้นิวท์รู้สึกมาตลอดก่อนที่มินโฮจะได้งานนี้เสียอีกว่านี่คือเรื่องที่คงต้องเกิดขึ้นสักวัน
และนั่นก็ทำให้เขาตระหนักได้ในวินาทีนั้นว่าตนมีมินโฮอยู่เคียงข้างในชีวิตมาเนิ่นนานแค่ไหนแล้ว
ควันบุหรี่ปะปนในลมหายใจอีกครั้ง ปลายนิ้วไล่เลื่อนดูรูปถ่ายต่อไป มองเลขวันเดือนปีที่ผันผ่านและพวกเขาในรูปที่แตกต่างไปจากรูปถ่ายใบก่อนหน้าเรื่อยๆ…ก่อนที่ดวงตาจะหยุดตรงภาพที่ถ่ายตอนช่วงชั้นปีสามในมหาวิทยาลัย มันเป็นภาพของเขา อัลบี และมินโฮที่นั่งคุยกันเรื่อยเปื่อยอยู่ตรงสนามหญ้าที่มีทิวต้นไม้โอบล้อม…อัลบีกำลังพูดอะไรสักอย่างที่ทำให้นิวท์หัวเราะ มินโฮเองนั้นก็กำลังยิ้ม…รอยยิ้มบางๆ ที่คุ้นตาเขามาตลอดชีวิต
และตลอดชีวิตก็เป็นเวลาที่นานพอแล้วที่จะทำให้อีกฝ่ายคุ้นเคยจนสามารถสังเกตได้ถึงสิ่งที่นิวท์ไม่เคยปริปากพูดกับใครทั้งนั้น
//
มินโฮไม่เคยชอบใส่เสื้อเชิ้ตแขนยาวเลย
แต่สภาพอากาศในช่วงปลายฤดูใบไม้ร่วงของชั้นปีหนึ่งนั้นก็เริ่มมีลมเย็นเฉียบของหน้าหนาวปะปนเข้ามาแล้ว นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ทำให้เชิ้ตสีฟ้าอ่อนตัวนี้ถูกมินโฮหยิบมาสวมใส่…หากสุดท้ายแล้ว แขนเสื้อที่ยาวจรดข้อมือนั่นก็โดนพับขึ้นจนถึงศอก เพราะเขามานั่งเขียนรายงานในห้องสมุดที่อากาศอุ่นสบายตั้งแต่ตอนบ่ายยันเย็นแทน
ท้องฟ้ากลายเป็นสีเข้มแล้วตอนที่มินโฮออกมาจากห้องสมุด ชายหนุ่มขยับๆ สายสะพายของเป้ให้วางดีๆ บนบ่า…เตรียมจะเลี้ยวไปทางหอพักนักศึกษาแล้วตอนที่เห็นคนสองคนเดินสวนตนมา
“อ้าว อัลบี?”
เจ้าของชื่อโบกมือนิดๆ เป็นการตอบคำทัก…สีหน้าอาจจะไม่แสดงออก แต่ดวงตาก็มีแววปลื้มสุดๆ ชัดเจนตอนสบตากับมินโฮ…เพราะคนที่เดินเคียงเจ้าตัวมานั้นคือโทพาซ หญิงสาวต่างคณะที่อัลบีอยากชวนไปเดทมาตั้งนานแล้ว และตัดสินจากกระโปรงตัวสวยที่เธอสวมอยู่…วันนี้คงเป็นวันที่อัลบีได้สมหวังแล้ว
มินโฮจึงยิ้มโดยอัตโนมัติอย่างยินดีไปกับเพื่อนทันที…รอยยิ้มที่ปริร้าวเล็กน้อยในวินาทีถัดมาตอนที่หัวใจคิดต่อได้ถึงใครบางคน
พวกเขาทักทายกันพอเป็นสังเขป อัลบีบอกว่าตนกำลังจะออกไปดินเนอร์กับหญิงสาวข้างตัว มินโฮแซวเพื่อนนิดๆ หน่อยๆ ให้พอเรียกเสียงหัวเราะจากโทพาซได้…ก่อนที่จะถามคำถามที่ต้องการคำตอบที่สุดด้วยเสียงสบายๆ อันแนบเนียน
“เออใช่…นายรู้มั้ยว่านิวท์อยู่ไหนน่ะ?”
อัลบียักไหล่ “ที่ห้องแหละมั้ง…ตอนเลิกคลาสเขาถามฉันว่าเย็นนี้จะกินมื้อเย็นที่ไหน ฉันเลยบอกเขาไปว่ามีนัดกับโทพาซไว้แล้ว แล้วเราก็แยกกันตั้งแต่ตอนนั้นแล้วล่ะ”
มินโฮพยักหน้า เอ่ยขอบคุณแล้วก็กล่าวลา
ใช้เวลาไม่นาน…ชายหนุ่มก็มาหยุดอยู่ตรงหน้าประตู เพียงแต่มันไม่ใช่ประตูห้องพักของเขา
เขาสูดลมหายใจลึกๆ ก่อนจะยกมือขึ้นเคาะ…เรียกเจ้าของห้องไปด้วย “นิวท์? อยู่หรือเปล่าน่ะ?”
ไม่มีเสียงตอบ มินโฮเคาะประตูอีกรอบ ก่อนจะถือวิสาสะเปิดเข้าไป
ห้องของนิวท์อยู่ในฝั่งด้านหน้าตึก…นั่นจึงทำให้ตัวห้องมีส่วนเว้าเข้าไปตรงหน้าต่างมากพอจนนั่งได้ และนิวท์ก็ได้เอาผ้าห่มกับหมอนมาสุมๆ ไว้ตรงนั้นเพื่อใช้ต่างโซฟา…มุมที่มินโฮเคยแวะมานอนเล่น ติวหนังสือ ไปจนถึงค้างคืนเวลาที่ลืมกุญแจห้องตัวเองหรือตอนไปตะลอนเที่ยวกันจนดึก
…มุมที่ตอนนี้นิวท์นั่งกอดเข่าอยู่ในความมืดที่มีเพียงแสงจันทร์อาบย้อม
เรือนผมสีทองนั่นขยับไหวนิดๆ ตอนที่เจ้าตัวเงยหน้าขึ้นมา ก่อนจะเอ่ยคำ
“ไม่รู้รึไงว่าเปิดห้องเข้ามาเองแบบนี้มันเสียมารยาท?”
ถ้อยคำเหมือนต่อว่า…แต่เสียงของนิวท์กลับไร้กระแสไม่พอใจอะไร กลับกันแล้ว…มันกลับเรียบนิ่งราวกับเจ้าตัวรู้อยู่แล้วว่าเขาจะต้องเปิดเข้ามา ถ้าเป็นเวลาปกติ…มินโฮคงตอบกวนๆ กลับไปว่าเขาไม่สนหรอก แต่ตอนนี้…ความรู้สึกหม่นหมองปนอยู่ในทุกอณูอากาศของห้อง ชัดเจนด้วยคราบชื้นบนผิวแก้มที่เห็นได้ชัดในแสงจันทร์สีขาวโพลน
เขาจึงแค่ปิดประตูห้อง ปล่อยเป้ให้ไถลจากบ่าไปวางบนพื้นอย่างไร้เสียง…ยืนพิงประตูอยู่แบบนั้น ก่อนที่สุดท้ายจะตัดสินใจทำลายความเงียบลง
“…ฉันรู้เรื่องอัลบีแล้วนะ”
นิวท์ตอบกลับมาเสียงเบา “ฉันก็รู้แล้วเหมือนกัน…วันนี้เขาขอโทพาซไปเดทได้สำเร็จแล้วนี่นะ”
“ไม่ใช่เรื่องนั้น…”
มินโฮส่ายหน้า…เสียงกระซิบที่ชัดเจนในห้องเล็กๆ นี้ ก่อนที่ชายหนุ่มผมดำจะเดินไปจนนั่งลงข้างๆ เพื่อนสนิท…พึมพำประโยคที่ให้ความรู้สึกเหมือนคำสารภาพอย่างประหลาด
“ฉันรู้…” ที่เขารู้สึกแบบนั้นก็คงเพราะนี่คือคำสารภาพจริงๆ…คำสารภาพว่าตนรู้ถึงสิ่งที่อีกฝ่ายต้องการจะเก็บเป็นความลับส่วนตัว “…ฉันรู้ว่านายชอบอัลบี”
นิวท์สูดลมหายใจลึกๆ พร้อมหลับตาลง…ราวกับเจ้าตัวทั้งประหลาดใจแต่ก็ไม่ประหลาดใจในเวลาเดียวกัน ศีรษะที่ปกคลุมด้วยเรือนผมสีทองนั่นแหงนเงยขึ้น…แตะพิงกับกระจกหน้าต่าง ความเงียบโอบล้อมพวกเขาไว้ชั่วครู่…ก่อนที่นิวท์จะเอ่ยคำอีกครั้ง
“ฉันคิดอยู่แล้วล่ะ…ถ้าจะมีใครสักคนที่มองออก ก็คงเป็นนาย” น้ำเสียงนั้นระโหย หากก็ให้ความรู้สึกห่างไกลเหมือนกับว่านิวท์กำลังพูดถึงเรื่องของคนแปลกหน้าอยู่มากกว่าจะเป็นเรื่องระหว่างพวกเขา “แต่ทำไมนายถึงไม่เคยพูดอะไรเลยล่ะ?”
“ก็นายไม่เล่านี่” มินโฮยักไหล่ ไม่พยายามปรุงแต่งถ้อยคำเลยเพราะเขารู้ว่านั่นไม่ใช่สิ่งที่อีกฝ่ายต้องการในตอนนี้ “พอนายไม่เล่า…ฉันก็เดาว่านายคงไม่ได้อยากให้ฉันรู้ ก็เลยไม่ถามอะไรต่อ”
นิวท์ลืมตาขึ้นแล้วผงกศีรษะกลับมา หัวเราะขื่นๆ เล็กน้อย
“ฉันไม่เล่าก็เพราะ…เพราะฉันคิดโง่ๆ เองน่ะว่าถ้าพูดออกมาแล้ว มันก็คือการยอมรับว่าฉันรู้สึกแบบนี้จริงๆ…แล้วถ้าลงได้ยอมรับออกมาให้ชัด ความรู้สึกนี้ก็จะไม่หายไป” ชายหนุ่มผมทองส่ายหน้าราวกับจะเยาะความอ่อนเดียงสาของตัวเอง “แต่ประเด็นก็คือ…ต่อให้ฉันจะหลอกตัวเองแค่ไหน ต่อให้ฉันพยายามจะไม่ยอมรับแค่ไหน…ฉันก็รู้อยู่แล้วล่ะว่าตัวเองชอบเขาจริงๆ…”
ถ้อยคำขาดหาย…ถูกแทนที่ด้วยเสียงสะอื้นติดขัดในลำคอ แล้วมินโฮก็รู้ได้เองว่านี่เป็นประโยคที่ตัดเส้นด้ายสุดท้ายที่รั้งความสามารถในการคุมตัวเองของนิวท์ให้ขาดลง…เพราะไม่มีการต่อบทสนทนาอะไรอีกแล้ว น้ำตาพร่างพรูจากดวงตาโตสีเข้มนั่น…น้ำตาที่มินโฮคิดว่าถูกเก็บไว้เนิ่นนานตั้งแต่ในวันวานใต้แสงแดดของฤดูร้อนแล้ว
มือเรียวขาวนั่นพยายามปาดหยดน้ำเหล่านั้นออกไปแต่ก็ไม่ได้ผลอะไร…มินโฮมองภาพเพื่อนสนิทของตนที่ร้องไห้พร้อมกับซึมซาบรสชาติความเจ็บร้าวที่ค่อยๆ โอบรัดหัวใจตัวเอง ไม่สามารถที่จะเอ่ยคำใดได้
ชายหนุ่มจึงแค่ดึงแขนเสื้อที่ถูกพับไว้ทีแรกให้คลายกลับลงมา แล้วปาดผ้าเนื้อนิ่มนั่นบนผิวแก้มขาวสะอาดของคนข้างตัว…นุ่มนวลและเงียบงัน
นิวท์ยังคงสะอื้น แต่ก็เงยหน้าขึ้นนิดๆ…ก่อนที่สุดท้ายจะเอนตัวเข้ามาจนอยู่ในวงแขนของมินโฮเพื่อให้เขาซับน้ำตาจนหมดไป สัมผัสใกล้ชิดที่ไม่ได้ทำให้ใจรุ่มร้อนอะไรเลย…คงเพราะตัวชายหนุ่มผมดำเองก็ไม่ได้รู้สึกหมองเศร้าน้อยไปกว่ากัน
แขนเสื้อสีฟ้าอ่อนให้สัมผัสชื้นๆ บนข้อมือของเขา น้ำหนักที่เหมือนกับเศษเสี้ยวของหัวใจที่แตกร้าวอย่างประหลาด
tbc.
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in