แรก ๆ ก็จะขยันเขียนแบบนี้ล่ะนะ รู้สึกว่าการเขียน BLOG นี่ง่ายกว่าเขียนรายงานส่งลูกค้าเป็นไหน ๆ แถมไม่มีคำวิจารณ์มากเรื่องมาให้ปวดหัวอีกต่างหาก
เมื่อกี้ ฉันพึ่งเปลี่ยนชื่อเรื่อง BLOG จาก My Frist Story เป็น The Diary | ถึงฉัน...ตอนอายุ 60 ปี
ฟังดูเหมือนนิยายยุคคุณป้ายังไงไม่รู้
แต่ช่างมันเถอะ เพราะฉันคงไม่มีสมองส่วนไหนจะตั้งชื่ออื่นแล้วล่ะ
ที่มาของชื่อเรื่องก็ง่าย ๆ เลย คือ ฉันตั้งใจเขียน BLOG ไปจนถึงอายุ 60 นั้นแหละ
ฟังดูเหมือนอีกยาวไกลนะ แต่ชีวิตคนเราไม่แน่ไม่นอน จะตายวันนี้ พรุ่งนี้ก็ไม่รู้ได้
แถมดูการใช้ชีวิตทุกวันนี้ของฉันเสียก่อน ขาดแค่สายน้ำเกลือ ก็จะกลายร่างเป็นคนติดเตียงดี ๆ นี่แหละ เนื่องด้วยออฟฟิศของฉันมีนโยบาย Work From Home/ Work From anywhere อย่างที่กล่าวถึงตอนก่อน ซึ่งเป็นนโยบายที่เหล่า First Jobber ใฝ่ฝัน
แต่...
ถ้าคุณได้สวัสดิการนี้เหมือนดิฉัน ที่ 1 เดือนจะออกเดินทางไปออฟฟิศสัก 5 ครั้งแล้วละก็...คุณจะอ้วนค่ะ
โอเค มันอาจจะดูเหมือนยัดเยียดความคิดเกินไป แต่ถ้าคุณมีอุปนิสัยขี้เกียจแบบฉัน แน่นอนว่าคุณจะอ้วนแน่นอน แบบไม่มีข้อกังขาใด ๆ เพราะกิจกรรม 1 วันของฉันคือ
1. ตื่นนอนแล้วเปิดโน้ตบุ้กพร้อมทำงานทันที
ฉันไม่ได้ข้ามขั้นตอนไหนไปนะคะ คุณอาจจะสงสัยว่าแปรงฟัน ล้างหน้า อาบน้ำล่ะ ไม่ทำหรอ
ใช่ค่ะ ไม่ทำ (ภาวนาอย่าให้มีคนรู้จักได้มาอ่าน BLOG เลยเถอะ)
นั้นแหละค่ะ วัน ๆ แทบไม่ได้เจอแสงแดดเลย ทำให้ผิวฉันไม่ดำ ไม่ขาว ไปกว่าเดิม (หรือนี่คือข้อดี ?)
2. เวลาที่จะลุกจากเก้าอี้ มีแค่เข้าห้องน้ำ และหาข้าวกิน
บางคนอาจจะมีความคิดว่าคนที่ WFH/WFA สามารถทำงานได้ชิว ๆ จะไปไหนก็ไป ทำอะไรก็ทำ
มันก็มีแหละค่ะ แต่ไม่ใช่ที่นี้
อย่าลืมว่าพนักงานเป็นต้นทุนของบริษัท ไม่มีนายจ้างคนไหนอยากจ่ายเงินเปล่าประโยชน์โดยไม่ได้รับผลตอบแทน เพราะฉะนั้น พนักงานอย่างดิฉันก็มีหน้าที่ทำงานทุกนาทีอย่างคุ้มค่าตามบัญชา (จริง ๆ ก็ไม่หรอก บางครั้งก็แอบขี้เกียจตอนกลางวัน แล้วไปทำงานกลางคืนแทน แต่งานต้องเสร็จค่ะ)
คุณจะทำงานบนเก้าอี้ตัวเล็ก ๆ แล้วมีพุงปลิ้นมาข้างหน้าให้อึดอัดเล่นอย่างไม่รู้ตัว ไม่นับรวมปัจจัยเสริม เช่น ของขบเคี้ยว น้ำหวาน น้ำชา ต่าง ๆ ที่เป็นข้ออ้างเวลาคิดงานไม่ออก
'วันนี้เหนื่อยจัง อยากกินชาสักแก้วให้ชื่นใจ'
'ถ้าได้กินขนมนะ จะปั่นงานให้เสร็จเลย!'
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in