เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
POWER BRIDE เจ้าสาวที่กลัวสวยSALMONBOOKS
01: ชัยชนะของผู้หญิงเชิงรุก



  • “ถ้าเราอยากได้ ก็ต้องพยายามจนสุดความสามารถที่จะคว้ามันมาให้ได้นะลูก ไม่ว่าจะเหนื่อยยากแค่ไหน ล้มแล้วต้องรุก!”

    แม่เคยสอนเอาไว้ตั้งแต่อายุได้สามขวบ จำได้ว่าวันนั้นเราอยากกินกล้วยมาก พยายามปีนไปหยิบกล้วยที่ปลายเครือแต่ก็เอื้อมไม่ถึง สุดท้ายตกลงมา หัวเข่าถลอก นั่งร้องไห้โยเย แต่พอได้ฟังคำสอนของแม่ก็รีบเอามือปาดน้ำตา ลุกขึ้นปัดเศษดินที่เปื้อนติดแข้งขา ปีนขึ้นต้นกล้วยอีกครั้ง ยื่นมือไปคว้า ก่อนจะตกลงมาพร้อมกล้วยตานีใบเขื่อง...

    ทั้งหมดนั้นเป็นเรื่องที่แต่งขึ้นมา (อ้าว) ใครจะไปจำคำสอนประโยคยาวๆ ของแม่ได้ตั้งแต่สามขวบ แล้วบ้านมึงก็ไม่มีต้นกล้วยอีนิดนก อย่ามาโม้!

    งั้นเรามาเริ่มกันใหม่…

    ต่อไปนี้คือ ที่มาที่ไปของเราทั้งสองก่อนจะเข้าสู่ประตูวิวาห์ (หรืออาจเรียกได้ว่า ยุค Pre-Featuring Era)
  • 1

    เด็กหญิงนิดนกเติบโตมาในโรงเรียนหญิงล้วน ตั้งแต่ประถมยันมัธยมไม่มีเพื่อนสนิทเป็นผู้ชายสักคน (ก็แน่สิวะ!) เราจึงกลายเป็นคนห้าวสนิท มีชีวิตแบบกึ่งทอมกึ่งหญิงในคนคนเดียว เห็นรุ่นพี่ทอมชู้ตบาสอยู่ก็ไปยืนกรี๊ด เจอรุ่นน้องสวยน่ารักก็ไปจีบ พอตกเย็นไปเรียนพิเศษ เจอผู้ชายต่างโรงเรียนก็เขินอาย
    ไม่กล้าสบตา (ทำไมมึงมีหลายเพศขนาดนี้จ๊ะ) กว่าจะมีเพื่อนผู้ชายเป็นเรื่องเป็นราวก็ปาเข้าไปมหาวิทยาลัย แรกๆ ก็วางตัวไม่ค่อยถูก ไม่รู้ต้องทำตัวกักขฬะมั้ย เขาถึงจะคุยกับเรา แถมในมหาวิทยาลัยก็ดันมีผู้ชายหน้าตาดีเดินกันขวักไขว่ ไม่เหมือนตามโรงเรียนกวดวิชาที่มีแค่หยิบมือ

    นาทีนั้น เราจึงรู้สึกเหมือนเป็นมนุษย์ยุคหินที่รอนแรมมาพบแม่น้ำเป็นครั้งแรก โลกที่มีผู้ชายมันเป็นอย่างนี้นี่เอง (เอามือลูบคาง) นิดนกจึงปวารณาตนเองเข้าสู่ความเป็นเพศหญิง มุ่งหน้าหาคู่สืบพันธุ์ ดำรงไว้ซึ่งเผ่าพันธุ์มนุษย์มิให้สูญหายไปทันที

    เดี๋ยวก่อน... ใจคอมึงจ้องจะสืบพันธุ์ตั้งแต่วันแรกที่ตัดสินใจมาเป็นผู้หญิงเลยหรือไง

    เมื่อมีเป้าหมายชัด ขั้นต่อไปก็ต้องลงมือทำ

    นิดนกในตอนนั้นเป้าตั้งกับตัวเองว่า (ตั้งเป้าก็พอ...) เราจะต้องออกไปเปิดหูเปิดตาสร้างโอกาสใหม่ๆ ให้กับตัวเองตามที่ต่างๆ และในทุกที่ที่เราไปนั้น จะต้องมองหาเป้าหมายให้ได้อย่างน้อยหนึ่งคน เราจะเข้าสู่ยุคใหม่ของตัวเราเอง ทำอะไรทำจริง เป็นผู้หญิงเชิงรุก!


    2

    ช่วงปิดเทอมใหญ่ปี 3 เราไม่อยากอยู่ว่าง (ไหนมึงบอกผู้หญิงเชิงรุก ตัดภาพมาปี 3 เฉย) แต่ก็ไม่อยากเรียนซัมเมอร์ เลยหาอะไรทำแก้ว่างและสร้างรายได้ด้วยการสมัครเข้าฝึกงานกับค่ายมือถือเจ้าหนึ่งที่เขารับเด็กฝึกงานในรูปแบบโครงการที่พิเศษกว่าการฝึกงานแบบทั่วไป คือไม่จำกัดสาขาที่เรียน ถ้าคิดว่ามีความสามารถและทำให้เขาเชื่อว่าเราทำได้ เขาก็จะรับ มีงานให้ทำเป็นโปรเจ็กต์จริงๆ (ไม่ใช่แค่ไปชงกาแฟ) และระหว่างฝึกงาน ก็จะมีกิจกรรมให้ทำร่วมกับเพื่อนในรุ่นเดียวกันด้วย

    การคัดเลือกเป็นไปอย่างซับซ้อน ตอนส่งใบสมัครก็มีโจทย์ให้เราทำอะไรก็ได้ อธิบายว่าทำไมบริษัทต้องอยากรับเราเข้าฝึกงาน (นิดนกทำคลิปร้องเพลงบ้าบอส่งเข้าไป) ผ่านจากรอบนี้ก็คัดกันอีกรอบด้วยการเข้าสัมภาษณ์กันเป็นกลุ่ม และสัมภาษณ์กับพี่ที่จะดูแลเราตอนฝึกงานอีกรอบ! ...เข้มข้นยิ่งกว่าการค้นฟ้าคว้าดาว

    ไม่น่าเชื่อว่าเราจะผ่านไปจนถึงรอบสุดท้าย ได้เป็นเด็กฝึกงานโครงการนี้สมใจ แถมได้ไปทำแผนกมาร์เก็ตติ้ง คอมมิวนิเคชั่นส์ (Marketing Communications) ที่ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับเอกภาพยนตร์ที่เรียนมาเลย แต่งานมันน่าทำเป็นบ้าก็ขอสู้สักตั้งแหละวะ!

    แต่ในความดีใจ ก็มีมุมหวั่นไหว

    เราติดเข้าไปหัวเดียวกระเทียมลีบ ไม่มีเพื่อนสักคน ต้องไปหาเพื่อนเอาดาบหน้า งานก็ไม่รู้จะทำได้มั้ย จะมีใครคบหรือเปล่าก็ไม่รู้ ทำไมกูไม่นอนเกาตูดอยู่บ้านวะ พาตัวเองมาลำบากลำบนทำไมเนี่ย (ทึ้งหัว)
  • ในเมื่อมีการคัดเลือกกันอย่างจริงจังขนาดนี้ ทางค่ายมือถือก็เลยจัดกิจกรรมปฐมนิเทศขึ้น ให้เด็กฝึกงานทั้งหมดนั่งล้อมเป็นวงกลม แนะนำตัวเองไปทีละคน นิดนกผู้กำลังตื่นเต้นกับการได้รู้จักเพื่อนใหม่เลยส่องสายตาดูคนนั้นคนนี้ไปเรื่อยจนได้เจอหนุ่มหน้าตี๋ที่นั่งอยู่อีกฟากหนึ่งของวงกลม เป็นผู้ชายตัวสูงเก้งก้าง ตาชั้นเดียวตามมาตรฐานลูกหลานจีน เรียนเอกการตลาด ที่ มศว (แหม เก็บรายละเอียดครบ) ท่าทางเป็นคนเงียบๆ พูดน้อย ใครพูดอะไรมาก็หัวเราะแหะๆ แล้วส่งยิ้มแห้งๆ ตาหยีให้กับคนรอบข้าง

    “อืม...น่ารักดีนะ” นิดนกกระหยิ่มยิ้มย่องอยู่ในใจ

    และขั้นตอนมาตรฐานของการทำความรู้จักเพื่อนใหม่ก็เริ่มขึ้น

    ช่วงพักเบรก ทุกคนออกมากินของว่าง เราไม่ปล่อยให้ความตั้งใจของผู้หญิงเชิกรุกหายไป จู่โจมเข้าใส่ด้วยการเปิดบทสนทนา โดยไม่สนใจว่าเขาจะอยากคุยกับเราหรือเปล่า (เอ๊ะ นี่มันถูกต้องเหรอวะ)

    นิดนก: “เธอชื่อเอกชัยใช่หรือเปล่า เราชื่อนิดนกนะ”

    เอกชัย: “นิดนกที่เป็นเพื่อนปอย อยู่วารสารฯ ใช่มั้ย เราเป็นเพื่อนฝน ที่เป็นเพื่อนปอย” (อ้าว รู้จักเพื่อนกูซะงั้น)

    นิดนก: “อ๋อ อีฝนอะเหรอ ฮ่าๆ โลกกลมเนอะ”

    เอกชัย: “จริงๆ เราเคยเจอเธอแล้วล่ะ”

    กรี๊ดดดดดดด พรหมลิขิตทำงาน เราต้องเคยเดินผ่านกัน มีใบไม้ปลิวลงมาหว่างกลาง แล้วเราก็เงยหน้าขึ้นมาสบตากันแน่ๆ

    นิดนก: (เก็บอาการอยู่) “เหรอ เจอที่ไหน”

    เอกชัย: “เธอเคยมาที่ มศว แล้วเธอกับเพื่อนก็ล้อมวงบูมสวนกุหลาบฯ ใส่เพื่อนเราอะ”

    เรานิ่งนึกอยู่พักนึง...เออ จริงด้วยว่ะ เรากับเพื่อนเคยไปหาข้อมูลทำรายงานที่มศว แล้วอีฝน—คนที่เอกชัยพูดถึง ก็พาพวกเราไปแนะนำให้รู้จักเพื่อนผู้ชายคนนึงซึ่งหน้าตาดี พอเรากับเพื่อนคุยกับตาคนนั้น แล้วรู้ว่าเป็นเด็กสวนกุหลาบฯ ก็เลยทำการล้อมวงแล้วบูมเพลงโรงเรียนสวนกุหลาบฯ เข้าใส่ทันที (เอส-ยู-เอ-เอ็น-เค-ยู-แอล-เอ-อาร์-บี-สวนกุหลาบบบบบบบบ...)

    คือมึงเรียนสวนกุหลาบเหรอ ก็ไม่... แล้วไปร้องเพลงโรงเรียนเขาทำไม (ที่สำคัญคือ กูร้องได้ไง…) แถมไปทำนอกสถานที่ ทำกับคนที่เราไม่รู้จัก ทำทำไม โถ หมดแล้วชีวิตกู ความประทับใจแรกในสายตาผู้ชายไม่หลงเหลือ อับอายจนไม่รู้จะย้ายไตไปไว้ตรงไหน
  • 3

    หลังจากเล็งเป้าหมายแล้ว เราก็พบว่ามีเวลาในการจีบค่อนข้างจำกัด เพราะช่วงเวลาฝึกงานมีแค่สองเดือนกว่า แถมยังทำงานกันคนละแผนก ถ้าปล่อยให้หลุดไปถึงเปิดเทอมก็อาจต้องกินแห้ว เพราะดันเรียนกันคนละที่ จะให้นั่งรถไปหาก็ไม่ค่อยมีเงิน โอกาสเดียวที่ทำได้คือ เผด็จศึกตั้งแต่ตอนนี้นี่แหละ!

    กลเม็ดเด็ดพรายที่เราใช้ในตอนนั้นมีดังต่อไปนี้

    ความรักต้องเดินด้วยท้อง

    การให้อาหารทำให้ผู้รับอิ่มท้องและอิ่มใจ ดูอย่างปลาสวายที่วัดระฆังสิ พอเราโยนขนมปังลงไปให้มันก็เอาปากงาบหมับๆ ท่าทางมีความสุข

    การจีบผู้ชายก็เช่นกัน เราต้องพิถีพิถันเลือกของกินอร่อยๆ ไปวางไว้ที่โต๊ะทำงานของพ่อหนุ่ม (นี่มึงไปฝึกงานจริงหรือเปล่า) ทำมาหมดแล้วทั้งข้าวเหนียวสังขยา ซาลาเปาเซเว่นฯ ขนมหม้อแกงเพชรบุรี น้ำชงสีๆ หน้าออฟฟิศ ซึ่งเราไม่วางไว้เฉยๆ มีการแปะโน้ตน่ารักๆ ไว้ที่บรรจุภัณฑ์ของขนมเหล่านั้นด้วย!

    ‘ไม่ซื้อขนมจีบให้ เพราะไม่อยากให้ขนมจีบเธอ
    ...จาก นิดนก’

    (โถ ถ้าเป็นผู้ชายนี่กูกลัวมึงฉิบหายเลยนะเนี่ย) (เพิ่งมารู้สึกตอนอายุใกล้สามสิบ)


    ใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์

    การสอบถามงานอดิเรกถือว่าเป็นเทคนิคการเริ่มบทสนทนาที่สานต่อความสัมพันธ์กันได้ง่ายที่สุดแล้ว

    นิดนก: “เวลาว่างเธอชอบทำอะไรอะ”

    เอกชัย: “ก็...เล่นเกม”

    นิดนก: “เหรอๆ เกมอะไร” (ทำท่าตื่นเต้นมาก ทั้งที่ชีวิตมึงเล่น มาริโอ้ ยังตายตั้งแต่ด่านแรก แม้กระทั่งโทร.ไปเล่นเกม ฮิวโก้ ก็ยังโทร.ไม่ติด)

    เอกชัย: “ก็พวก ไฟนอล แฟนตาซี เทคเคน พวกนี้อะ”
  • นิดนก: “เทคเคน? ที่เป็นหนังเหรอ เออ สนุกนะเรื่องนี้ เลียม นีสัน อย่างเท่เลย”
    เอกชัย: “มันเป็นเกมต่อสู้ของญี่ปุ่นน่ะ”
    นิดนก: “…”
    เอกชัย: “…”

    นิดนก: “แล้วนอกจากเกม ทำไรอีกอะ”
    เอกชัย: “นอน”
    นิดนก: “…”
    เอกชัย: “…”
    อืม...มันจะไปกันรอดจริงใช่มั้ยเนี่ย

    นิดนก: “เราชอบดูหนังแหละ” (เปิดประเด็นเองแม่งเลย กูไม่ถามมันละ เดี๋ยวจะเฟลซ้ำซาก)
    เอกชัย: “เราก็ชอบดูนะ” (อ้าว แล้วเมื่อกี้ทำไมไม่บ๊อกกกกกกก)
    นิดนก: “เหรอ ชอบดูแบบไหน ยืมเราได้นะ เราชอบ
    สะสมดีวีดีหนัง”
    เอกชัย: “ก็ดูได้หมดนะ”
    นิดนก: “เคยดู Little Miss Sunshine หรือยัง”
    เอกชัย: “ยัง”
    นิดนก: “งั้นเดี๋ยวเอามาให้ดู เราชอบมาก”
    เอกชัย: “อืม”

    ค่ะ สุดท้ายมาจบลงที่ว่าชอบดูหนังเหมือนกัน ซึ่งถือว่าเป็นของโปรดของเราเลย หลังจากนั้นเราจึงเดินหน้าสานต่อด้วยการเลือกหนังจากที่บ้านมาให้เอกชัยดู ดูจบแล้วก็หาเรื่องชวนคุย

    นิดนก: “ชอบมั้ย”
    เอกชัย: “ชอบ”
    นิดนก: “หมายถึงหนังหรือเรา”
    เอกชัย: “...”
    หมัดฮุกบางทีก็ไม่ต้องรอจังหวะค่ะ ชกมั่วๆ ไปแม่งเลย โมฮัมมัด อาลี ว่าไว้งี้ (กูไม่เคยพูด—อาลีกล่าว)
  • หมั่นทำโอที

    แปดชั่วโมงในเวลาฝึกงานมันไม่พอสำหรับการปิดเกมให้เด็ดขาดหรอก เพราะมาฝึกงานก็ต้องทำงานนะคะ พี่หัวหน้านี่สั่งงานกูจัง ให้ทำงานเยอะขนาดนี้แล้วหนูจะเอาเวลาที่ไหนไปจีบผู้ชาย (พี่หัวหน้า: “...”)

    เพื่อเร่งทำคะแนน เราเลยต้องจัดกิจกรรมซ่อมเสริมนอกเวลางาน ถ้าเป็นตอนเย็น ก็จะชวนเอกชัยไปกินข้าว หรือถ้าวันไหนไม่ได้ไปทำงานก็ต้องแวะกลับมาจีบ ทุ่มเทยิ่งกว่าการศึกษา ถ้าแม่มาเห็นคงน้ำตาซึม

    นอกจากนี้ สมัยนั้นยังมีรายการ เกมวัดดวง อยู่ (เช็กอายุมาก) เราและเพื่อนชาววารสารฯ จึงรวมตัวไปออกรายการ หวังเอาเงินค่าตัว และเงินรางวัลทั้งหมดไปทำละครคณะ ซึ่งวันนั้นอีนิดนกดวงห่วยทำสถิติโลก ตกรอบแบบไม่มีลุ้น แถมไปตกเอาด่านที่ต้องกระโดดน้ำ ตัวเปียกเป็นลูกลิง ชุดก็ไม่มีจะเปลี่ยน เดินปากสั่นแหงกๆ รอจนการแข่งขันจบ (รู้สึกว่าทีมวารสารฯ ไม่ได้รางวัลอะไรเลย เล่นแทบตายได้เงินมาไม่น่าจะถึงหมื่น)

    ทีนี้ไอ้เกมที่ว่ามันแข่งอยู่ที่สวนรถไฟ ไม่ไกลจากออฟฟิศเท่าไหร่ นิดนกผู้กำลังอินเลิฟ (อยู่ฝ่ายเดียว) ก็คิดเลยว่า ถ้าเรากลับบ้านไปเปล่าๆ ปลี้ๆ มันก็น่าเสียดาย ลองโทร.หาเอกชัยสักหน่อยดีกว่า

    “วันนี้กลับบ้านด้วยนะ เราอยู่แถวนี้พอดี เดี๋ยวรอที่รถไฟฟ้านะ”

    (...มึงรุกมาก)

    ก่อนที่ผู้อ่านจะคิดว่าอีนี่จู่โจมมั่วซั่ว ขออธิบายก่อนว่าบ้านเราและเอกชัยอยู่ฝั่งธนฯ เหมือนกัน แต่ไม่ใกล้กันเท่าไหร่ คือถ้าจะกลับบ้านกับเอกชัย นิดนกต้องเดินทางเพิ่มอีกสองต่อ ยากลำบากขนาดนี้ มีหรือคะที่อีนิดนกจะไม่ทำ! (เดี๋ยวนะ…) เราหาเรื่องกลับบ้านกับเอกชัยตลอด แล้วพอเอกชัยถึงที่หมาย เราก็กระหืดกระหอบต่อรถกระป๊อ และวินมอเตอร์ไซค์ (ซึ่งพอมาคิดตอนนี้แล้วรู้สึกว่าทำไมกูทุ่มเทจัง)

    วันนั้น เอกชัยตอบตกลง เราก็เลยได้กลับบ้านด้วยกัน

    ภาพมันคงจะโรแมนติกมาก ถ้าวันนั้นเราไม่ได้อยู่ในสภาพเปียกชื้นยิ่งกว่าผ้าอ้อมของทารกที่แม่ลืมเปลี่ยนมาสามวัน ผมเผ้านี่กระเซิงยุ่งเหยิงเป็นสมการเชิงซ้อน เสื้อผ้าชิ้นนอกแม้จะแห้งแล้วแต่ก็เริ่มส่งกลิ่น ไม่ต้องพูดถึงชิ้นในที่ไม่ได้รับพลังงานแสงอาทิตย์จากแหล่งใดทั้งสิ้น สิบโมงเช้าชื้นยังไง ห้าโมงเย็นก็ยังชื้นอยู่อย่างนั้น แลัววันนั้นอีแอร์ฯ รถไฟฟ้าก็หนาวเหมือนเปิดไว้ต้อนรับขบวนเพื่อนฝูงหลินฮุ่ย ลงรถไฟฟ้าก็ยังต้องต่อรถ ปอ. ยังดีที่เอกชัยชวนไปกินราเมนในห้างฯ ได้ซดน้ำซุปเพิ่มอุณหภูมิให้ร่างกายหน่อย

    และนั่นก็คือเดตแรกของเรา (ฝ่ายชายคิดหรือเปล่าไม่รู้ แต่ไม่เป็นไร กูคิดแทนให้แล้ว)
  • 4

    หลังฝึกงานจบ บริษัทพาไปเข้าค่ายปัจฉิมฯ ที่ต่างจังหวัด (นี่จบ ม.6 โรงเรียนยังไม่พาไปเข้าค่ายแบบนี้เลยนะ) ทำกิจกรรมโดดหอ ถ่อเรือ กระโดดข้ามสิ่งกีดขวาง กินวิบากครบถ้วนตามมาตรฐานค่ายไทย แต่ไฮไลต์ของครั้งนี้อยู่ที่ตอนกลางคืน เพราะแต่ละกลุ่มจะต้องออกมาทำการแสดงตามโจทย์ที่ได้ และปิดท้ายด้วยช่วงเรียกน้ำตา บายศรีแบบตอนรับน้อง ปิดไฟ จุดเทียน บลา บลา บลา

    “ใครอยากพูดอะไรกับใครก็พูดเลยนะ วันนี้พี่ขอให้ทุกคนเปิดใจ” พี่ที่ดูแลโครงการบอกน้องๆ

    (นาทีนั้นเหมือนมีสปอตไลต์ส่องมาที่หน้าข้าพเจ้า กล้องซูมเร็วเข้ามาจนเหลือเป็นโคลสอัพชอต)

    “นี่แหละโว้ยยยยยยย เวลาของเรา!!!”

    ในห้องประชุมที่ปิดไฟมืด มีเพียงแสงสว่างจากเปลวเทียนหลายสิบเล่ม แต่ละคนนั่งอยู่คนละมุม ถ้าใครอยากคุยกับใคร ก็เดินเข้าไปหาได้เลย

    เรารอจังหวะที่เอกชัยนั่งว่าง ย่างสามขุมเข้าไปหา พอเอกชัยเงยหน้ามาเห็นก็ทำสายตาประหนึ่งว่า “กูว่าแล้ว อีนี่ต้องมา”

    เรานั่งคุยเรื่องนู้นนี้กับเอกชัยจนคิดว่าถึงจังหวะที่พอเหมาะ แสงเทียนสลัวๆ สร้างบรรยากาศได้ดี แล้วเราก็กลั้นใจบอก

    “เราชอบเธอนะ”

    เอกชัยมีท่าทีเหมือนจะสตั๊นไปหลายวินาที ก่อนจะตอบเรากลับมา

    “เราก็ชอบนิดนกเหมือนกัน”

    และหลังจากประโยคนั้นเอง ทำให้เมื่อฝึกงานเสร็จ เราเลยเดินหน้าจีบเอกชัยแบบเต็มสูบ ไม่ดูช้างดูม้าอะไรทั้งนั้น มีทั้งชวนออกไปดูหนังตามเทศกาล (เอกชัยหลับสนิท) ชวนไปดูคอนเสิร์ตวงฟลัวร์ (นิดนกโยกจนหัวหลุด ส่วนเอกชัยยืนกอดอกหน้านิ่ง) ชวนไปไหนเอกชัยก็ไปด้วยทุกครั้ง ตอนนั้นรู้สึกว่าตัวเองท็อปฟอร์มมากจนคิดว่าอีกพักนึงต้องมีสมาคมสาวโสดติดต่อเข้ามาขอดูงานแล้วแหละ

    โอ๊ยยยย ยิ่งคิดยิ่งจั๊กจี้ เขินผิว สยิวกิ้วไปทุกหน่วยของร่างกาย


    หนึ่งเดือนผ่านไป

    เอกชัยมีแฟนแล้ว

    ...เป็นคนอื่น ไม่ใช่กู...

    (ใบไม้ปลิวลงมาเบาๆ เอนด์เครดิตขึ้น จบแล้วความรักของเรา)

    กล่าวอย่างสั้นๆ ช่วงที่เราเปิดเกมรุกหนัก เป็นช่วงที่แฟนเก่าของเอกชัยกลับมากิ๊กกั๊กกันอีกที เอกชัยในตอนนั้นจึงกลายเป็นไอ้หล่อเลือกได้ ซึ่งมีอยู่สองทางเลือกคือ หญิงบ้า เที่ยวจีบผู้ชายไม่ดูตาม้าตาเรือ กับคนที่เคยคบกันมาก่อน 

    แน่นอนว่าเอกชัยย่อมเลือกทางที่ศิวิไลซ์กว่า

    ก็ต้องถือว่าเอกชัยทำได้ถูกต้องแล้ว (ปาดน้ำตา)
  • 5

    ช่วงนั้น เราเจ็บปวดพอสมควร ได้ยินเพลง ใจนักเลง ท่อน ‘ให้เธอได้กับเขา และจงโชคดี’ เมื่อไหร่นี่เหมือนโดนมีดมาปักที่กลางใจ ช่วงนั้นจึงต้องห่างหายจากการเข้าร้านอาหารที่มีเล่นดนตรีสด (ที่แม่งชอบเล่นแต่เพลงชาติของคนอกหัก) ไปพักใหญ่

    แต่พอเปิดเทอม เข้าสู่ปีสี่ เราก็มีกิจกรรมให้ทำเยอะจนช่วยเยียวยาให้ชิ้นส่วนภายในกลับมาแข็งแรงเหมือนเดิม ยังคุยกับเอกชัยอยู่บ้าง แต่ไม่บ่อยเหมือนเช่นเก่า รู้ตัวอีกที ไอ้แผลที่เจ็บหนักก็แทบจะหายสนิทแล้ว

    หลังเรียนจบ เราเข้าไปทำงานที่เดิมกับที่ที่เคยฝึกงาน ซึ่งมันคงไม่มีอะไรเท่าไหร่ ถ้าก่อนหน้านั้นสี่เดือน เอกชัยไม่ได้เข้ามาทำงานที่นี่

    และเลิกกับแฟนแล้ว… (เลิกกับแฟนแล้ว เลิกกับแฟนแล้ว เลิกกับแฟนแล้ว) (เสียงเอคโค่)

    เราและเอกชัยทำงานอยู่คนละทีม แต่อยู่แผนกเดียวกัน เอกชัยในเวลานั้นโสดสนิท เราเลยได้คุยกันและกลับมาซี้กันอีกครั้ง แต่ก็ในฐานะของคนรุ่นราวคราวเดียวกัน ที่มาเป็นน้องใหม่ของทีมด้วยกันทั้งคู่

    แต่นิดนกยังไม่ลืมคอนเซ็ปต์การเป็นผู้หญิงเชิงรุกของตัวเอง เพียงแค่คราวนี้เราไม่บุ่มบ่ามห้าวหาญเหมือนแต่ก่อน (ก็แน่สิ กูเจ็บหนักมาแล้วรอบนึง) เราค่อยๆ พัฒนาความสัมพันธ์ผ่านการเป็นเพื่อน เป็นที่ปรึกษา เป็นแหล่งพลังงานด้านบวกอยู่ข้างๆ เอกชัย เปลี่ยนแทคติกการเอาชนะใจ จากการรุกไม่ดูตาม้าตาเรือ มาเป็นการค่อยๆ ให้เอกชัยซึมซับและรับเราเข้าไปทีละน้อย

    รู้ตัวอีกที เอกชัยก็เปิดใจ และให้โอกาสเราได้อยู่ข้างๆ สร้างความสุขในฐานะแฟน (แอร๊ย เขิน)
  • 6

    สี่ปีผ่านไป เราผ่านชีวิตการเป็นแฟนมาเหมือนคู่รักทั่วไป ทะเลาะเบาะแว้งตามมาตรฐาน เวลาดีก็ดี เวลาไม่ดีก็ทุกข์ เรากลายเป็นเพื่อนสนิทที่คุยกันได้ทุกเรื่อง มากกว่าเป็นแฟนที่มีแต่ความหวานแหววโรแมนติก

    อีกอย่างที่ทำให้เรารู้สึกสบายใจเวลาอยู่กับเอกชัยคือ เราไม่ต้องตัวติดกันตลอดเวลาก็ได้ เวลาไปดูหนัง ถ้าเกิดว่าเรื่องที่อยากดูเป็นคนละเรื่องกัน ก็จะไม่มาเสียเวลาเป่ายิ้งฉุบ น้ำเต้าปูปลาเพื่อหาว่าจะเข้าไปดูเรื่องไหน ก็แยกโรงกันแม่งเลย มีความสุขกันทั้งสองฝ่าย ถ้าเราอยากไปเที่ยวที่ไหน แต่เอกชัยไม่อยากไป ก็โบกมือบ๊ายบาย แล้วกลับบ้านไปจัดกระเป๋าเดินทางคนเดียวได้โดยไม่มีใครว่า เวลาไปซื้อของก็แยกกันเดินได้ ตัดปัญหาความเซ็งจากการยืนรออีกฝ่ายพิถีพิถันเลือกไหมขัดฟัน หรือตอนไปนั่งทำงานที่ร้านกาแฟ ยังเลือกนั่งกันคนละมุม เพราะฝ่ายหญิงชอบนั่งรับแดด ส่วนฝ่ายชายชอบโต๊ะสูงทำงานสะดวก

    คงเพราะความรู้สึกสบายใจแบบนี้แหละมั้ง ที่พอคิดว่าจะต้องอยู่กับไอ้ตี๋นี่ไปอีกนาน เราเลยไม่กังวลเท่าไหร่

    ป.ล. เพิ่งมารู้ก่อนแต่งงานแป๊บเดียว ว่าไอ้ประโยค “เราก็ชอบเธอนะ” ของเอกชัย มันมีหมายความว่า ‘เออ เราก็ชอบที่เธอเป็นมนุษย์ที่ดีคนหนึ่งน่ะ แบบเป็นคนตลกดีก็เลยชอบ ไม่ได้เกลียด’ ...โถ แล้วปล่อยให้กูคิดไปเองอยู่นานมาก

    แต่ช่างมันเหอะ สุดท้ายก็ได้กัน คริคริ

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in