เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
POWER BRIDE เจ้าสาวที่กลัวสวยSALMONBOOKS
คำนำ
  • อะแฮ่ม

    นี่เป็นครั้งแรกที่ผมรู้สึกเหมือนต้องเป็นประธานในพิธีแต่งงาน ดังนั้นถ้าพิมพ์อะไรติดๆ ขัดๆ แปร่งๆ ก็ขออภัยล่วงหน้านะครับ เพราะว่าไม่เคยจริงๆ (หัวเราะ)

    ก่อนอื่น ขอพูดถึงฝ่าย ‘เนื้อหา’ ก่อน 

    ผมรู้จัก ‘การแต่งงาน’ มานาน เป็นประเพณีที่รู้จักตั้งแต่ยังจำความไม่ได้ ไปงานแต่งมานับครั้งไม่ถ้วนแทบครบทุกแบบทุกศาสนา เคยเป็นทั้งเพื่อนฝ่ายเจ้าบ่าว เป็นญาติฝ่ายเจ้าสาวกระทั่งเป็นเจ้าบ่าวมาแล้วก็ยังเคยจึงเรียกได้ว่า การแต่งงานกับผมนั้นคุ้นเคยกันเป็นอย่างดี 

    การแต่งงานเป็นสิ่งที่ดีครับ เพราะเป็นการแสดงความรักที่ชัดเจนที่สุดรูปแบบหนึ่ง ถึงบางคนจะบอกว่าเป็นพิธีนำพาตัวเองลงนรกก็ตาม โดยเฉพาะฝ่ายผู้ชายน่ะนะ (หัวเราะ) แต่สำหรับผู้หญิง วันนี้เป็นวันในฝัน เป็น ‘ครั้งหนึ่งในชีวิต’ ที่เฝ้ารอมานาน จินตนาการไปล่วงหน้าว่าฉันจะตกแต่งพิธียังงั้น งานหมั้นจะยังงี้ ยังไม่รวมชุด แหวน นู่นนี่ การ์ด เดรสโค้ด ฯลฯ จนเพื่อนในกลุ่มต้องสะกิดให้ตื่นอยู่บ่อยๆ ว่า “หาผัวก่อนดีไหมมึง”

    แต่ก็มีหลายคนครับ ที่มองการแต่งงานด้วยความสงสัยว่า จะแต่งกันไปทำไม เพราะดูแล้วเป็นพิธีกลวงๆ ไม่เห็นจะมีคุณค่า ถ้ารักกันจริง ไม่เห็นต้องประกาศให้ใครรู้ เหมือนพระอรหันต์ท่านย่อมไม่อวดตนนั่นแล ส่วนพิธีที่ทำกันอยู่เนี่ย รู้ความหมายกันบ้างรึเปล่า หรือแค่ทำไปตามกระแส?

    อย่างว่าแหละครับ คนเราแตกต่างกัน การลงน้ำหนักและให้คุณค่าแก่ของแต่ละอย่างก็ต่างกันไป 
    แต่สุดท้ายจะจัดพิธีหรือไม่ คนรักกันมันก็รักกันอยู่ดี จริงไหมครับ

    มาถึงฝ่าย ‘ผู้เขียน’ บ้าง 

    ผมเจอนิดนกเมื่อหลายปีก่อน แวบแรก แม้เธอใส่กระโปรงนักศึกษา แต่ผมไม่รู้สึกว่าเธอเป็นผู้หญิง ด้วยความห้าวและบุคลิกมั่นใจ ทว่าช่างคิด ฝังใจว่าไม่ใช่ จนกระทั่งแน่ใจว่าเป็นสาวแท้ก็วันที่รูปเธอในชุดเจ้าสาวถูกTag มา

    ถึงจะออกเรือนไปแล้ว นิดนกก็ยังเป็นผู้หญิงคิดเก่ง มาดกวนๆ นิ่งๆ มาพร้อมสำบัดสำนวนที่ดูแค่จากสเตตัสเฟซบุ๊ค ก็รู้ได้ทันทีว่าเธอควรลงมือเขียนหนังสือสักเล่ม ผมทาบทามไปตามประสาคนทำสำนักพิมพ์ แต่ตอนนั้นเจ้าตัวบอกว่า ยังไม่รู้ว่าจะเขียนอะไร หลายคนเชียร์ให้เขียนเกี่ยวกับ ‘วิธีการเอาใจสามี’ แต่ผมยังไม่อยากมีหนังสือแนว ‘กามาสุตรา’ มาประดับสำนักพิมพ์ จึงขอให้เธอเขียนเรื่องที่เบาลงหน่อย กระทั่งพบกันอีกทีบนโลกออนไลน์ เธอก็ตกลงว่าจะเขียนเรื่อง ‘การแต่งงาน’

    การแต่งงานของนิดนกธรรมดาสามัญ เป็นงานแต่งที่เรียบง่าย จบลงด้วยความสุขอย่างที่งานแต่งงานหนึ่งควรจะเป็น แต่ด้วยความเรียบง่ายนั่นเองที่แฝงด้วยความน่ารัก มีเรื่องราวชวนหัว ร่ำรวยไปด้วยความบังเอิญ...ซึ่งถ้าเรียกให้โรแมนติกหน่อย ก็ขอเรียกว่า ‘พรหมลิขิต’ แล้วกันนะครับ (หัวเราะ) 

    ที่สำคัญ ผมสัมผัสได้ว่า มันเป็นงานแต่งงานที่มีความเป็น ‘คนทั่วไป’ เป็นชนชั้นกลางที่จัดงานด้วยตัวเอง งบประมาณก้อนไม่โต เรียกว่าเป็นงานแต่งแบบ DIY ก็ยังไหว เป็นการแต่งงานที่เหมาะสมสำหรับคนที่มีความรัก กำลังมองหาหนทางสำหรับงานมงคลที่ ‘พอดีตัว’ แบบไม่ดัดจริตเกินไป และไม่ต้องการรู้สึกว่างานแต่งเป็น ‘ความลำบากและความทุกข์ใจ’

    โอ้ เปล่าครับ นี่ไม่ใช่หนังสือ ‘วิธีการจัดงานแต่งงาน’ หรอก อย่าเข้าใจผิดหยิบไปเสียล่ะ เพราะที่จริงหนังสือเล่มนี้พูดถึง ‘การแต่งงานอย่างรื่นรมย์และไม่(ค่อย)อารมณ์เสีย‘ มากกว่า

    เอาล่ะ พูดเสียจนยืดยาว คงจะหิวข้าวกันแล้วสินะครับ แต่โต๊ะจีนไม่หนีไปไหนหรอกครับ ดังนั้นผมขอกล่าวต่ออีกสักครึ่งชั่วโมงดีกว่า (หัวเราะ) ล้อเล่นน่ะครับ 

    สุดท้ายนี้ ผม—ในฐานะบรรณาธิการ ที่คุ้นเคยกับ ‘งานแต่งงาน’ และ ‘นิดนก’ มาพอสมควร จนยืนยันได้ถึงความน่ารักและสนุกสนานในการจับคู่ของพวกเขาในหนังสือเล่มนี้ได้ ก็ขออวยพรให้ผู้อ่านอ่านทุกหน้าอย่างมีความสุข ได้ครองคู่กับคนที่ปรารถนา สำหรับคนที่ยังโสดก็ขอให้เก็บความสุขจากทุกตัวอักษรไปสร้างแพสชั่นในการหาผัว เอ๊ย หาคนรักต่อไป (หัวเราะ)

    (เพลงมหาฤกษ์)

    ไช โย
    ไช โย
    ไช โย





  • ขอเชิญเจ้าสาวกล่าวอะไรสักเล็กน้อย...

    มีหลายอย่างในชีวิตนะคะ ที่เราอยากทำหรืออยากเจอแค่ครั้งเดียว

    ส่วนใหญ่มันจะเป็นเรื่องแย่ๆ ค่ะ เช่น โดนฟ้าผ่า โดนพ่อด่า โดนหมากัด โดนผ่าตัด โดนโกงเงิน ฯลฯ

    แต่ก็ไม่ใช่จะมีแค่เรื่องแย่นะคะ เพราะมันก็จะมีเรื่องดีบางเรื่อง ที่เราอยากจะเจอแค่ครั้งเดียว

    เรื่องนั้นคือ การแต่งงาน

    ใครๆ ก็อยากแต่งงานแค่ครั้งเดียว เพราะนั่นหมายถึงเราประสบความสำเร็จในความรัก ใช้ชีวิตคู่ได้อย่างราบรื่น และพอมันมีจำกัดแค่ครั้งเดียว เราก็เลยจะทุ่มเทกับมันมากเป็นพิเศษ จึงไม่แปลก ที่เรามักจะได้ยินคนกำลังจะแต่งงาน พูดประโยคเดิมซ้ำๆ ว่า

    “เอาวะ ครั้งหนึ่งในชีวิต”

    ไม่น่าเชื่อนะคะ ว่าครั้งหนึ่ง ชีวิตของคนอย่างเราจะได้แต่งงานกับเขาด้วย

    สมัยมัธยม ระหว่างพูดคุยเรื่องความเพ้อฝันตามประสาวัยรุ่นเห่อหมวย หัวข้อการสนทนามักหนีไม่พ้น เธออยากแต่งงานตอนอายุเท่าไหร่ จะมีลูกกี่คน สามีจะเป็นคนชาติไหน ฯลฯ (ชะนีไปหน่อย พอดีผู้เขียนเรียนโรงเรียนหญิงล้วนมาค่ะ)

    พอถึงทีเราตอบบ้าง ก็ใบ้กิน ไม่รู้เลย ไม่เคยคิด ได้แต่ทำตลกกลบเกลื่อน บอกกับเพื่อนไปว่า “อย่างเราเนี่ยนะจะได้แต่งงาน”

    เพื่อนเลยตอบกลับมา “ดีไม่ดี แกนั่นแหละ ได้แต่งงานก่อนเพื่อน”

    ไม่รู้เพื่อนมันพูดเล่นหรือพูดจริง หรือมันได้ผ่านการนั่งทางในแล้วมองเห็นอนาคต แต่สิบกว่าปีให้หลัง เราก็ได้แต่งงานก่อนใครจริงๆ ด้วย

    (ปัจจุบัน เพื่อนคนนี้รับดูดวงผ่านรากผม สามารถติดต่อได้ที่ โทร. 085-xxx-xxxx)

    เมื่อกิจกรรมแบบ ‘ครั้งหนึ่งในชีวิต’ เข้ามาอย่างไม่คาดฝัน เราก็ตั้งตัวไม่ทันเหมือนกัน

    การจัดงานแต่งงานไม่ใช่เรื่องง่าย ไม่ใช่เรื่องเล็ก ต่อให้จัดงานเล็ก แต่รับประกันได้เลยว่ายังไงก็ต้องมีเรื่องให้ปวดหัว

    เจ้าบ่าว เจ้าสาว ที่เคยผ่านการแต่งงานมาแล้วน่าจะรู้ซึ้ง

    จนถึงตอนที่เขียนคำนำอยู่นี้ เราก็ได้ผ่านไอ้ความ ‘รู้ซึ้ง’ ตอนนั้นมาแล้ว

    กับงานแต่งที่จัดไปทั้งๆ ที่ไม่มีเงิน เตรียมงานในช่วงสถานการณ์บ้านเมืองไม่ปกติ แถมยังแต่งวันเดียวกับวันเลือกตั้ง รู้ซึ้งฉิบหายเลยค่ะ

    อีกร้อยกว่าหน้ากระดาษที่จะได้อ่านต่อไป เป็นบันทึกความรู้ซึ้งครั้งหนึ่งในชีวิตของคนที่ไม่เคยคิดจะเป็นเจ้าสาวอย่างเรา

    ไม่รู้ว่าจะสนุกหรือเปล่า คงต้องให้ผู้อ่านเป็นคนตัดสิน

    ถ้าไม่สนุก การเขียนหนังสืออาจจะกลายเป็นอีกหนึ่งประสบการณ์ครั้งเดียวในชีวิต

    ถ้าสนุก ก็อาจจะเป็นการเขียนหนังสือครั้งแรก และมีครั้งต่อๆ ไปตามมา

    ก็เลยขอคิดแบบเข้าข้างตัวเองเอาไว้ก่อนว่า

    คงจะสนุกกันนะคะ :)



  • ตอนเด็กๆ การไปงานแต่งงานดูเป็นเรื่องน่าเบื่อ

    ต้องแต่งตัวนานๆ เจอคนแปลกหน้าเยอะๆ และเห็นแต่อะไรเดิมๆ (หงส์น้ำแข็ง โต๊ะจีนหูฉลาม ประธานพูดเนือยๆ สไลด์ประกอบเพลง ฉันเป็นของของเธอ คู่แท้ที่หากันเจอ~)

    แต่พออายุล่วงมาถึงวัยที่เฟซบุ๊คเต็มไปด้วยภาพงานพรีเวดดิ้งของเพื่อน

    (แนวขี่ม้า ถือลูกโป่ง กระโดดขี่หลังหรือเอาจมูกชนกันเหมือนกระซู่)

    เราเริ่มรู้สึกว่า เรื่องนี้มันใกล้ตัวเราเข้ามาทุกที

    ไม่ใช่ในแง่โรแมนติกชีวิตเลิฟลั้ลลา

    แต่เป็นในแง่เรียลๆ อย่างการจัดการกับรายละเอียดร้อยแปดที่แค่คิดก็ปวดกบาลแล้ว

    และพอถึงจังหวะที่อยากจะพูดคุยกับเพื่อนสนิทสักคนเพื่อถามไถ่ถึงประสบการณ์ในวันที่สำคัญวันนี้

    นิดนกมันก็เขียนหนังสือออกมาให้เราอ่านพอดี

    ย้อนกลับไปประมาณปีกว่าๆ

    ตอนได้ข่าวว่า นิดนกจะแต่งงาน

    เรารู้สึกสองอย่าง หนึ่งคือ รู้สึกช็อค เพราะแต่ก่อนเธอทอมมาก บู๊มาก

    ตอนเจอกันครั้งแรกสมัยปีหนึ่ง รู้สึกโดนแม่งตบหัวก็บ่อยครั้งอยู่

    เห็นอีกที เอ้า เข้าวินวิวาห์เป็นคนแรกของแก๊งซะงั้น

    เออ...ดีเนอะมึง

    สองคือ รู้สึกเสียดาย

    เพราะเธอดันชิงจัดไปตอนเรากำลังค้าแรงงานอยู่ที่นิวยอร์กพอดี

    เลยอดไปร่วมม่วนกับงานของเธอเลย

    ว่ากันในรุ่นว่า งานแต่งของเธอยังตราตรึงในใจเพื่อนๆหลายคนจนถึงทุกวันนี้

    ทั้งในแง่ความซึ้งและความซิ่ง

    ซึ้งยังไงนี่ไม่รู้ แต่ซิ่งนี่พอนึกภาพออก

    เพราะนิดนกเป็นผู้หญิงมันๆ มาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว

    และพอได้อ่านหนังสือของเธอ เราก็รู้สึกสนุกสัสเหมือนกับคาแรคเตอร์เธอทุกประการ

    คือช่างสังเกต ช่างหาข้อมูล และช่างแซะอย่างพองาม

    ถ้าชอบมุกเชี่ยๆ เลวๆ ก็มีให้สัมผัสแบบสาแก่ใจ

    แต่พอถึงคราวเธอลั้ลลา ก็พาเราฟีลกู๊ดไปกับมันได้ลื่นๆ

    ที่เราชอบมันเป็นพิเศษคือ ไม่ฟอร์มมาก

    ชอบบอกชอบ แฮปปี้ก็บอกแฮปปี้ เศร้าก็บอกเศร้า แพ้ก็บอกแพ้

    คือมีอะไรกูใส่หมด ก็กูรู้สึกแบบนี้น่ะ ใครจะทำไม

    เราชอบเสพอะไรแบบนี้ อ่านแล้วมันรู้สึกคอนเน็กต์และอินไปกับมันดี

    ถ้าเธอนิยามตัวเองว่าเป็นผู้หญิงเชิงรุก

    ตัวหนังสือเธอก็คงจะเป็นอักษรเชิงเร้า (ใจ)




  • นิดนกเป็นเพื่อนเรา มันเป็นคนไม่สวย

    ใช่ครับ มันเป็นคนไม่สวย ถ้าวัดจากค่านิยมปัจจุปัน (หุ่นดี หน้าวีเชป ตาโต ตัวเล็ก ผมมีน้ำหนักจัดทรงง่าย รักแร้ไร้รูขุมขน พร้อมสักคิ้วสามมิติ) นิดนกไม่ได้มีอะไรใกล้เคียงกับประโยคในวงเล็บก่อนหน้านี้เลย ผู้หญิงใส่แว่นกรอบดำ ดูทอมนิดๆ แต่งตัวธรรมดา และหน้าคล้ายๆ กับพี่โต๊ะ (อัสนี-วสันต์)

    (ตอนนี้มันคงก่นด่าผมในใจ—ไอเฮียมอร์มึง สลัด) ถ้ามองจากภายนอกคนคงคิดว่าผู้หญิงคนนี้คงทำได้แค่แอบชอบหนุ่มหน้าจืดคนหนึ่งอยู่ไกลๆ ฟังเพลงเหงาๆ อารมณ์ โอ...หัวใจฉันมันอ้างว้างเหลือเกิน ได้แต่รอใครซักคนจะเข้ามาทำให้ฉันรู้ว่ารักเป็นอย่างไร และกอดหมอนโทมินจุน มโนแล้วหลับไป

    แต่นิดนกดั๊นเป็นผู้หญิงเชิงรุก

    เมื่อรู้สึกด้วยหัวใจแล้ว ก็ต้องใช้สมองให้เป็นประโยชน์ พอรู้ตัวว่าชอบใคร นิดนกก็วางแผนอย่างแยบยลและแนบเนียน เปิดเกมบุกโดยไม่ต้องรอโชคชะตา ความช่วยเหลือจากภาครัฐ หรือรถเมล์ฟรีจากภาษีประชาชน

    อีกทั้งนิดนกก็ไม่ได้พยายามจะเป็นใคร

    ผู้หญิงหลายๆ คนเข้าใจว่าต้องทำตัวแบ๊ว ผมยาวดัดลอนพร้อมกับย้อมสีน้ำตาลไม้มะฮอกกานี ใส่บิ๊กอายสีเทาลายกะ สักคิ้วผู้ชายถึงจะชอบ

    ...ซึ่งผิด

    เพราะนิดนกเป็นผู้หญิงที่รู้จักความสุขของตัวเอง (มอร์—คำเชื่อมมึงเยอะไปละนะ)

    รู้ว่าของดีที่มีอยู่กับตัวคืออะไร จึงไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนตัวเองให้เป็นเหมือนกับที่ผู้ชายชอบเพราะนั่นเป็นแค่เรื่องภายนอก ตรงกันข้ามนิด นกจีบเอกชัยด้วยความตลกๆ ลั่นๆ มั่วซั่วๆ แบบมันนี่แหละ ผลลัพธ์นะเหรอ...หนังสือเล่มนี้ไง

    เราเป็นแฟนตัวอักษรของนิดนกมานานแล้ว เราชอบอ่านสเตตัสของมันไม่ว่าจะยาวแค่ไหน ทุกๆ ครั้งมันจะมีมุมมองรวมถึงรายละเอียดให้เรารู้สึกอะไรด้วยตลอด สรุปแล้วคือ มันเป็นผู้หญิงที่มีเสน่ห์ทั้งตัวจริงและโลกออนไลน์อย่างไม่เหมือนใครทีเดียว

    ที่ร่ายยาวมาทั้งหมดเนี่ยเพื่อที่เราจะยืนยันประโยคนี้นะครับ

    นิดนกเป็นเพื่อนเรา มันเป็นคนไม่สวย

    แต่มันเป็นเจ้าสาวคนแรกๆ ของรุ่น ;)


  • แด่
    แด แด แด
    แด่ แด๊ แด่ แด
    ~

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in