“You’re gonna be here around 3AM right?”
ป้าแคเรนเท็กซ์มาถามผมขณะกำลังนั่งกวาดตาเหม่อๆ อยู่ในโลกออนไลน์ เธอถามเวลาที่เครื่องลง ผมจิ้มโทรศัพท์ตอบเธอไป
ป้าแคเรนเป็นเจ้าของบ้านที่ผมเคยไปพักด้วยตอนบินไปทำธุระในเทศกาลหนังของพอร์ตแลนด์เมื่อสามปีก่อน เราสองคนคุยกันถูกคอพอสมควร จึงติดต่อส่งข่าวคราวและถามไถ่กันเป็นระยะ พอเธอมาเมืองไทยเมื่อปีที่แล้ว (2014) ผมก็พาป้าเดินเที่ยวเล่นในกรุงเทพฯ และเชียงใหม่อยู่พักใหญ่ (พร้อมกับทำแคเรนขี้แตกไปหนึ่งรอบ จากการยุยงให้เธอลองกุ้งแช่น้ำปลา) พอผมคิดจะกลับไปพอร์ตแลนด์ เธอจึงชวนให้พักกับเธออีกหน แถมยังใจดีอาสามารับถึงสนามบินอีก
ก่อนจะบินมารอบนี้ แคเรนถามผมว่า “ติดใจอะไรพอร์ตแลนด์ ถึงได้กลับมาที่นี่อีก”ตอนนั้นผมกล่าวติดตลกว่า “จะกลับไปกินเบียร์” (พอร์ตแลนด์เป็นเมืองที่มีโรงเบียร์เยอะเป็นอันดับต้นๆ ของประเทศ) เพราะถ้าให้ตอบจริงๆ คงยาวมาก
แม้ตอนนั้นจะมีโอกาสได้สัมผัสเมืองในระยะเวลาสั้นๆ แค่ห้าวัน แต่พอร์ตแลนด์ก็มีอะไรหลายอย่างที่ผมหลงรัก นอกจากภาพจำ ที่คนทั่วไปมักคิดถึงอย่างเมืองจักรยาน เมืองฮิปสเตอร์ หรือเมืองคินโฟล์ก ผมพบว่าพอร์ต-แลนด์น่ารักตรงความเขียวชอุ่ม ต้นไม้เยอะ โครงสร้างเมืองที่ใกล้ชิดกับธรรมชาติ ความเป็นมิตรของประชากรท้องถิ่น หรือจังหวะชีวิตของคนในชุมชนที่ผ่อนช้าลงกว่าที่อื่น สิ่งเหล่านี้ดูสวนทางกับเมืองใหญ่อื่นๆ ของสหรัฐฯ อย่างนิวยอร์ก แอลเอ ชิคาโก หรือไมอามี จึงไม่น่าแปลกที่พอร์ตแลนด์จะกลายเป็นเมืองเดียวของสหรัฐฯ ที่ติดหนึ่งใน 25 เมืองน่าอยู่ที่สุดในโลกประจำปี 2015 จากการจัดอันดับของ Monocle นิตยสารชื่อดังของอังกฤษ (ที่ร้านกาแฟบ้านเราชอบเอามาวางให้ดูชิคๆ)
จากลิสต์ข้างบน คาดเดาว่าถ้าคนไทยได้ไปอยู่พอร์ตแลนด์สักคนมีหวังได้โพสต์ภาพลงอินสตาแกรม พร้อมติดแฮชแท็ก #ชีวิตดี หรือ #slowlife ทุกวันแน่ๆ แต่ในความเป็นจริงนั้น จะดีงามอย่างที่เขาว่ากันหรือไม่ คงต้องขอไปพิสูจน์อีกที ไปรอบนี้ผมกะจะอยู่ยาวๆ ให้รู้ซึ้งถึงความเป็นพอร์ตแลนด์ไปเลย
และหวังลึกๆ ว่า การมาพำนักอาศัยครั้งนี้ ผมจะได้ซึมซับบรรยากาศดีๆ รื่นรมย์กับชีวิตมากขึ้น ขี้นอยด์น้อยขึ้น และสามารถหลับปุ๋ยบนเครื่องขากลับไปนิวยอร์กได้บ้าง
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in