เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
I WRITE YOU A LOTPrachawit Dax
Empty Room

  • “ผมมาตามหาผู้หญิงคนหนึ่ง ซึ่งที่จริงเราเคยพบกัน ไม่นานเกือบสัปดาห์
    มันเป็นคืนฟ้าฝนโปรยกระหน่ำ ที่ข้างทางพบใครคนหนึ่ง คอยโบกใต้ต้นไม้”

    ผมได้ยินเสียงเพลงนี้ในขณะที่ยืนซื้อยำมาม่า ที่เพิงร้านค้าริมกำแพงในซอยหอพัก
    เสียงเพลงดังมาจากวิทยุทรานซิสเตอร์เครื่องสีดำ ที่วางอยู่บนลังน้ำแข็งยูนิตสีน้ำเงิน
    “เพลงนี้ชื่อเพลงอะไรเหรอครับ” ผมถามในขณะที่แม่ค้าลวกเส้นมาม่า น้ำเดือดพล่านส่งไอร้อนระอุ
    เธอคงรุ่นราวคราวเดียวกับผม ใช้เวลาหลังเลิกเรียนมาช่วยแม่ขายของ 
    “ไม่รู้เหมือนกันค่ะ วิทยุคลื่นนี้ก็เปิดเพลงเก่าๆไปเรื่อย” เธอตอบ

    พลางตักเส้นมาม่าขึ้นมาพัก และลวกกุ้ง ผักบุ้ง ลูกชิ้นหมู ก่อนจะใส่เครื่องปรุงรสลงไปเพิ่ม
    เหงื่อเม็ดเล็กๆผุดขึ้นบนหน้าผากของเธอ ไม่รู้ว่าเป็นเพราะวันนี้อากาศร้อน หรือเพราะน้ำเดือดที่อยู่ตรงหน้า
    เสียงเพลงต้องสงสัยยังคงบรรเลงต่อไป ท่อนสุดท้ายก่อนจะจบกล่าวไว้ว่า

    “หรือคนก่อนนั้นที่เธอหายไป รถเธอชนที่โค้งต้นไทร”
    “ยำมาม่าได้แล้วค่ะ” เสียงเธอแทรกดึงความสนใจจากเสียงเพลงต้องสงสัย
    ผมยื่นเงินให้เธอสี่สิบบาท หิ้วยำมาม่ากลับหอพัก

    แดดเที่ยงช่างร้อนระอุ เปลวแดดระยิบระยับอยู่บนพื้นถนน มองเห็นแอ่งน้ำเล็กๆอยู่เบื้องหน้า
    ผมอาศัยอยู่ในหอพักราคาถูก ริมคลองแสนแสบ
    ห้องเล็กๆแค่พอซุกหัวนอน ชั้นบนสุด ห้องหมายเลข 502 
    ผมเดินขึ้นบันไดมาถึงหอพักอย่างเหนื่อยหอบ เนื่องจากหอพักนี้ไม่มีลิฟต์มานานแล้ว
    เคยถามเจ้าของหอพักครั้งหนึ่ง หล่อนตอบมาด้วยสีหน้าเรียบๆว่า “เคยมีคนตายในลิฟต์ เลยต้องเอาลิฟต์ออก” 
    ผมเลยไม่เคยได้ใช้ลิฟต์ที่หอพักแห่งนี้ เพราะมันติดลูกกรงเหล็ก และภายในเป็นที่เก็บของไปเสียแล้ว

    ผมไขกุญแจเข้าห้อง วางยำมาม่าบนโต๊ะญี่ปุ่นที่แลกซื้อมาจากเซเว่น
    เปิดพัดลมเบอร์สามขับไล่ความร้อนอบอ้าวในห้อง เลื่อนมือถือขึ้นดูหน้าจอ
    แอปพยากรณ์อากาศเป็นรูปก้อนเมฆ พร้อมข้อความเขียนบอกไว้ว่า วันนี้ให้ระวังฝนตกหนัก
    มือถือเครื่องนี้คงเสีย หรือไม่ก็โลเคชั่นผิดพลาด จึงทำให้พยากรณ์อากาศผิดๆแบบนี้

    ผมนั่งกินยำมาม่า พลางพิมพ์เนื้อเพลงที่ได้ยินลงในกูเกิ้ล ไม่นานสิ่งที่ผมสงสัยก็กระจ่าง
    เพลงนี้มีชื่อว่า“ห้องสุดท้าย ขับร้องโดย เอ้ สุภารัตน์”
    ผมพิมพ์ชื่อนี้ลงในยูทูป แล้วฟังอย่างตั้งใจอีกรอบ ฟังจบเรื่องราวต่างๆปะติดปะต่อ
    คล้ายหนังสั้นเรื่องหนึ่ง จะเล่าให้ฟังหยาบๆก็คงจับใจความได้ประมาณนี้

    “ผู้ชายมาตามหาผู้หญิงคนหนึ่งที่แมนชั่น ชั้นบนห้องสุดท้าย
    เพราะสัปดาห์ก่อน ในคืนที่ฟ้าฝนกระหน่ำ ผู้ชายเจอผู้หญิงคนนี้โบกรถใต้ต้นไม้
    จึงจอดรถรับเพราะความเห็นใจ และมาส่งเธอที่แมนชั่นแห่งนี้
    ชายหนุ่มประทับใจหญิงสาว จึงอยากเจอเธออีกครั้ง และมาหาเธอที่แมนชั่นแห่งนี้
    ชายหนุ่มถามผู้คนในแมนชั่น และบอกว่าเธออาศัยอยู่ห้องสุดท้ายชั้นบนสุด
    คนที่ถูกถามต่างก็สงสัย และบอกว่าใช่คนที่เสียชีวิต เพราะรถชนที่โค้งต้นไทร คนนั้นหรือเปล่า"

    เนื้อเพลงท่อนสุดท้ายของเพลงนี้ทำให้ผมเข้าใจเรื่องราวทั้งหมด
    “ผมมาตามหาผู้หญิงคนหนึ่ง เธออยู่ไหน” 

    เมื่อฟังเพลงนี้จบ อารมณ์หม่นเศร้าได้ยึดพื้นที่ในห้องสีเหลี่ยมเล็กๆห้องนี้
    ผมทอดสายตาออกไปยังคลองแสนแสบ หากเจอเหตุการณ์เช่นนี้คงไม่รู้เหมือนกันว่าจะทำอย่างไร
    ผมนั่งพิงขอบเตียง อ่านหนังสือพิมพ์กีฬาที่ซื้อมาเมื่อเช้า

    วันนี้ห้องข้างๆเงียบผิดปกติ ปกติจะได้ยินเสียงเพลงเกาหลีหรือเพลงที่มีเสียงเบสหนักๆ ดังแทรกผนังมาอยู่เสมอ
    จะว่าไปผมก็ไม่ได้เจอเธอหลายวันแล้ว ครั้งล่าสุดเมื่อสองวันก่อน
    มีน้ำเต้าหู้แขวนอยู่ที่ลูกบิดประตู เธอคงจะซื้อมาฝากผม

    ตอนนั้นผมเพิ่งตื่น กำลังจะไปเรียน และเธอก็กำลังกลับมานอน
    ผมรู้แค่ว่าเธอทำงานกลางคืน แต่ไม่รู้รายละเอียดอะไรมากนัก แต่รู้แค่ว่าเธอเป็นคนที่สวยและใจดีคนหนึ่ง
    เธอคงไปต่างจังหวัด หรือไปนอนบ้านเพื่อน หรืออาจจะอยู่ในห้องเงียบๆแบบผม
    ผมคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อย และเผลอหลับไปบนหนังสือพิมพ์กีฬาที่เปิดค้างไว้

    ผมตื่นขึ้นมาในเวลาตอนเย็น นอกระเบียงความมืดเข้าปกคลุม
    แสงไฟนีออนจากห้องพักตรงข้ามสาดส่องเข้ามาในห้อง ผมชันตัวลุกขึ้น
    รู้สึกปวดหัวและคอแห้งผาก หยิบน้ำขึ้นดื่มสองสามอึก
    ปรับสายตาให้ชินกับความมืดในห้อง ก่อนจะลุกขึ้นไปเปิดไฟและเริ่มชินกับอากาศในห้อง
    เวลานอนตอนเย็นมักจะเกิดอาการแบบนี้ แต่ช่วงเย็นเป็นเวลาที่เงียบที่สุด ผมเลยมักหลับเวลานี้

    ผมได้ยินเสียงเคลื่อนย้ายสิ่งของในห้องข้างๆ เสียงผู้หญิง เสียงผู้ชาย ผสมปนเปกัน
    ผมเปิดประตูเข้าไปดู เห็นเจ้าของหอพักยืนชี้มือชี้ไม้อยู่ ข้าวของเริ่มทยอยเก็บออกจากห้อง
    คนงานขนของสองสามคนขนของอย่างทะมัดทะแมง แต่ไม่เห็นเจ้าของห้องยืนอยู่ตรงนั้น

    “พี่ผู้หญิงเขาย้ายไปไหนหรอครับ” ผมเอ่ยถามเจ้าของหอพัก
    หล่อนเงียบไปชั่วขณะ ก่อนสบตากับผมแล้วเล่าเรื่องทั้งหมดให้ฟังสั้นๆ

    “เธอตายไปหนึ่งอาทิตย์แล้ว รถคว่ำตอนไปต่างจังหวัด ญาติเพิ่งมาเก็บของวันนี้”

    ผมได้ฟังแล้วใจหาย ทั้งสับสนและกลัว ทั้งๆที่ผมรับรู้การมีอยู่ของเธอมาโดยตลอด
    ใจผมเต้นระรัว มองดูสิ่งของชิ้นแล้วชิ้นเล่าที่ขนออกจากห้อง
    ชายวัยกลางคนในชุดสีดำคงเป็นพ่อของเธอ แววตาบ่งบอกความเสียใจและเหนื่อยล้า
    กำลังเก็บสิ่งของยิบย่อยขอบลูกสาวไว้ดูต่างหน้า และเดินออกจากห้องผ่านหน้าผมไป

    ห้องพักกลับคืนสภาพเป็นห้องใหม่ เป็นห้องที่ไร้ร่องรอยสิ่งมีชีวิต
    ราวกับว่าไม่เคยมีใครอาศัยอยู่ในห้องนั้น และพร้อมที่จะให้บริการแก่ผู้เช่ารายใหม่

    ผมรีบปิดประตูห้อง ควานหาโทรศัพท์ในกองหนังสือที่วางอยู่บนพื้น
    ภาพหน้าจอยังเป็นเพลย์ลิสต์เพลง ห้องสุดท้าย ที่เปิดทิ้งไว้ ผมเลื่อนปัดทิ้งไปทางขวา
    ผมโทรหาเพื่อนที่พักอยู่แถวอนุสาวรีย์ บอกว่าจะขอนอนด้วยสักคืนสองคืน
    เมื่อปลายสายตอบตกลง ผมจึงยัดเสื้อผ้าเท่าที่จำเป็น และรีบย่ำเท้าออกจากห้องพัก

    แต่ก่อนไปผมต้องจ่ายค่าหอเดือนนี้เสียก่อน ไม่งั้นสิ่งของในห้องของผมจะถูกขนออกไปเหมือนห้องข้างๆ
    ในขณะที่กำลังจ่ายค่าหอก็มีคู่รักวัยรุ่นมาสอบถามเรื่องห้องพัก แต่ผมไม่ได้สนใจมากนัก 
    ผมจ่ายเงินเสร็จ รับเงินทอน และกำลังมุ่งหน้าไปขึ้นรถเมล์
    ได้ยินเสียงหล่อนบอกกับผู้เช่ารายใหม่ว่า

    “มีห้องว่างห้องหนึ่งพอดี ชั้นบนสุด ห้อง 501 ห้องสุดท้าย ถ้าสนใจเดี๋ยวลดค่าห้องให้พิเศษ”

    ผมย่ำเท้าออกมาถึงปากซอย ลมหนาวพัดบาดผิวกายที่หยาบกร้าน
    ทุกย่างก้าวของผมหนักอึ้ง ราวกับเดินอยู่ในทะเลโคลน
    ผมเดินผ่านร้านน้ำเต้าหู้ และร้านนั้นเปิดเพลงเกาหลีที่เธอชอบฟัง
Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in