เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
I WRITE YOU A LOTPrachawit Dax
โพสต์นี้มีเนื้อหาที่อาจไม่เหมาะสมกับเยาวชน คืนสีแดง
  •  ๑๔ กุมภาพันธ์ เมื่อปีที่แล้ว

    ในค่ำคืนฝนกระหน่ำ ผมกับอ้อม

    หญิงสาวในชุดพละสีส้มสด ไว้ผมยาวมัดรวบด้วยยางรัดแกงไว้ด้านหลัง

    มีร่องรอยสีน้ำตาลแดงหลงเหลือจากการย้อมผม

    แก้มขาวเนียนแดงฝาดและมีกระบนใบหน้า

    นัยน์ตาอ่อนโยนแต่แฝงไปด้วยความเศร้า

    เราหลบฝนอยู่ในตู้โทรศัพท์สีฟ้าอ่อนหน้าโรงเรียน

    เรายังไม่กลับจากโรงเรียน คืนนี้เป็นคืนที่ตัดสินและเปลี่ยนแปลงชีวิตผมตลอดกาล

    ผมในชุดนักเรียนยับยู่ยี่ ตัดผมสั้นเกรียนทรงสกินเฮด นัยน์ตาคมกริบ มีหนวดบางๆเหนือริมฝีปาก

    ลูกกระเดือกใต้ลำคอแทงออกมาชัดเป็นเอกลักษณ์กับน้ำเสียงอันนุ่มลึก

    เธอบอกว่ารักนั้นกินไม่ได้

    อุดมการณ์ของเรานั้นแตกต่างกัน

    เข็มทิศของอ้อมนั้นชี้ไปทางทิศเหนือ แต่ของผมชี้ไปทางทิศใต้

    (สงสัยเธอเป็นประจำเดือน ปกติไม่พูดจาอะไรแบบนี้)

    สงสัยวันนี้เป็นวันสีแดง

    ผมและเธอโดดเรียนคาบบ่ายวันอังคาร

    ไปนั่งคุยและปรับความเข้าใจกันในสวนยางหลังโรงเรียน

    เธอร้องไห้ร้องห่ม พรั่งพรูพรรณนาแต่หมื่นคำล่ำลา

    ผมกลับนั่งนิ่งเฉย พิงโคนต้นยาง พยายามรับฟังแต่ไม่แตะเนื้อต้องตัวเธอ

    อ้อมบอกว่าที่เลือกวันวาเลนไทน์เป็นวันจบความสัมพันธ์

    เพราะมันคงเป็นการเริ่มต้นใหม่ ของคู่รักหลายคู่

    ผมจะได้ไปตามทาง และเธอก็จะได้ใช้ชีวิตต่อ

    อีกหน่อยก็จะจบการศึกษากันแล้ว

    ผมไม่แน่ใจว่าเธอมีคนอื่นไหม แต่ก็ช่างมันเถอะ

    ในเมื่อเธอจจะไป ผมจะเหนี่ยวรั้งอะไรไว้ได้

    เราพูดคุยและถกเถียงกันหลายเรื่อง พูดจนคอแห้ง

    ผมเลยบอกอ้อมให้รอนั่งรอที่เดิม เดี๋ยวผมมา

    ผมเดินลัดเลาะไปหลังป่ายาง เลี้ยวขวาผ่านบ่อเผาขยะ

    คล้ายหลุมอุกกาบาศที่องค์การนาซ่าไปเก็บภาพและสำรวจกันมา

    ย่ำเท้าผ่านกอไผ่เขียวครึ้มที่ผมและเพื่อนชอบหนีเรียนกันมานอนเล่น

    และมุดรั้วลวดหนามเพื่อออกสู่ถนนลูกรังหลังโรงเรียน

    หลังโรงเรียนมีร้านขายของชำ เจ้าของร้านวัยกลางคนจำหน้าผมได้

    เพราะโดดเรียนมาซื้อกับเพื่อนบ่อย

    ผมซื้อนมไทยเดนมาร์กรสหวานที่เธอชอบดื่ม

    กับขนมป๊อกกี้สองกล่องราคาแพง เพื่อหวังเพียงว่า

    "เธอจะใจเย็น และยอมกลืนคำบอกเลิก กลืนไปพร้อมกับขนมเหล่านี้"

    ส่วนผมซื้อน้ำตาลมะพร้าวหนึ่งขวด

    ผมนำขนมทั้งหมดใส่เป้ที่สะพายมา แล้วเดินกลับทางเดิม

    ระหว่างทางกลับ สวนทางกับครูฝ่ายปกครองจอมเฮี้ยบในโรงเรียน

    ผมพยายามคุมสติและยกมือไหว้อย่างนอนน้อม

    นัยน์ตาแข็งกร้าวของครูกลับเฉยชา

    พร้อมกับโบกไม้โบกมือให้ผมกลับเข้าไปในโรงเรียน และบอกว่าอย่ามาที่นี่อีก

    ผมพยักหน้าและเดินกลับไปหาเธอ

    เธอนั่งพิงโคนต้นยางอย่างอ่อนล้า ความสับสนเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างเรา

    ได้กดทับเธอราวกับว่าเธอเป็นเสาเข็ม ที่พร้อมจะตอกให้จมลงดินทุกเมื่อ

    ผมเดินอ้อมมาทางด้านหลัง พร้อมยื่นขนมให้

    เธอปรายตามองแล้วพูดอย่างเย็นชา

    “ซื้อของแบบนี้มีเงินหรอ แล้วจำได้ด้วยหรอว่าเราชอบอะไร”

    “จำได้สิ เรื่องแฟนตัวเองเราต้องจำได้ทุกเรื่อง” ผมตอบพลางยิ้มเจื่อนๆ

    “เหรอ แล้ววาเลนไทน์ปีก่อน ให้ช่อดอกกุหลาบเราสีอะไร” เธอถามพร้อมขมวดคิ้ว

    พลางจุดบุหรี่มาร์ลโบโร่ขึ้นสูบ

    “จำไม่ได้ เพราะตอนนั้นไม่มีเงินซื้อกุหลาบให้” ผมตอบพร้อมนั่งพิงโคนต้นยาง

    และยกน้ำตาลมะพร้าวขึ้นดื่มอึกใหญ่ดับกระหาย

    เธอพ่นควันบุหรี่สีเทาขึ้นบนฟ้า พร้อมเขี่ยขี้บุหรี่ลงบนพื้นดินแดงฝุ่นเขรอะ แล้วเอ่ยขึ้นมาว่า

    “เราไม่น่ารู้จักกันเลยว่ะ จะได้ไม่มีใครเจ็บ และไม่ต้องเป็นแบบนี้”

    เธอพูดและอัดบุหรี่เข้าปอดอีกเฮือกใหญ่ ก่อนจะพ่นควันออกมาอย่างเหนื่อยล้า

    เธอจุดบุหรี่ขึ้นอีกมวน พยายามจุดไฟแช็คแต่ไม่ติด

    ผมเลยยื่นกล่องไม้ขีดไฟให้ เธอยิ้มมุมปาก

    ก่อนรับมาแล้วพูดว่า “คนบ้าอะไรพกกล่องไม้ขีดไฟ”

    เอาบุหรี่มั้ย? อ้อมถามขึ้น

    ผมส่ายหน้า พลางล้วงกระเป๋ากางเกงสีน้ำเงิน เอาห่อยาเส้นและใบจากตราดาว

    เธอนั่งมองผมพันใบจากและโรยยาเส้นอย่างชำนาญ

    ราวกับเชฟที่มาทำอาหารให้ดูในรายการทีวีคืนวันอาทิตย์

    ผมพ่นควันพลางทอดสายตามองไปในสวนยางที่ทางกว้างไกล

    แต่ระยะทางระหว่างเรา คงจะสิ้นสุดลงในวันนี้

    จบไปพร้อมกับการเรียนจบการศึกษา

    พลางเสียงอ้อมเสียดแสรกเข้ามาในห้วงความคิด

    “บุหรี่เราหมดแล้วอ่า มวนยาเส้นให้เราหน่อยสิ” อ้อมทำสายตาอ้อนวอน

    ผมสบตาและทำตามคำสั่ง พร้อมมวนยาเส้นอย่างชำนาญ

    จุดไม้ขีดและยื่นให้เธอ เปลวไฟสีแดงสัมผัสกับใบจากหอมๆสีเหลืองอ่อน

    ยาเส้นสันดาปและเผาไหม้จนเกิดควันจางๆคล้ายควันจางลา

    ราวกับเผาความสัมพันธ์ของสองเรา

    อ้อมยกมวนยาเส้นขึ้นสูบ พร้อมพ่นควันและถอนหายใจ

    “แรงเหมือนกันนะเนี่ย ถ้าเป็นมะเร็งทำไงอ่ะ” อ้อมถามพร้อมทำหน้าสงสัย

    “สูบบุหรี่เหี้ยอะไรก็เป็นมะเร็งหมดแหละ” ผมตอบ

    เธออมยิ้มแต่ซ่อนแววตาที่เหนื่อยล้าเอาไว้ แล้วถามผมต่อ

    "นี่ทำไมพกไม้ขีดไฟ จะเผาโรงเรียนหรอ

    แล้วถ้าเกิดเหลือก้านเดียวแล้วจุดไม่ติดทำไง"

    เธอถามพร้อมหอบความสงสัยมากองอยู่ตรงหน้าผม

    “ไม้ขีดก้านสุดท้ายก็เปรียบเสมือนโอกาสครั้งสุดท้าย

    ถ้ามือเราเปียกเพราะความตื่นเต้นหรือเพราะคราบน้ำตา

    ไม้ขีดไฟก็จะด้านและจุดไม่ติด และต้องทิ้งทั้งกล่องทั้งไม้ขีด

    ราวกับโยนโอกาสสุดท้ายทิ้งไปนั่นแหละ"



    “งั้นที่เราใช้ไฟแช็ค เพราะเราเป็นพวกที่ใช้โอกาสเปลือกอย่างนั้นหรอ” ? อ้อมถามขึ้นด้วยสายตาสงสัย

    “ก็แล้วแต่จะคิดนะ เราห้ามความคิดใครไม่ได้” ผมตอบพลางพ่นควันออกจากปาก

    หลังจากนั้นสองเราก็นั่งกันเรื่อยๆไร้ซึ่งบทสนทนาใดๆ

    อ้อมย้ายมานั่งฝั่งเดียวกับผม ก่อนจะยัดหูฟังใส่หูของผมและของตัวเอง

    พร้อมหลับตาพริ้ม Playlist บทเพลงของ Greasy Café

    ขับกล่อมให้สองเราที่นั่งอยู่ในสวนยาง หลุดไปอยู่ในโลกของบทเพลงในภวังค์

    ไม่ว่าจะเป็นเพลง ปะติดปะต่อ เพลงจากอัลบั้มใหม่ล่าสุดในรอบสี่ห้าปี

    เพลงภายใต้ท้องฟ้าสีดำ ที่ผมเคยเปิดให้อ้อมฟังตอนนั่งทำการบ้านใต้อาคารเรียน

    ในวันที่ฝนตกและพายุถล่มโรงเรียนเมื่อหน้าฝนสองปีก่อน

    หรือเพลงสิ่งเหล่านี้ที่คู่รักในโรงเรียนเวลาเลิกกันจะชอบขอเพลงส่งให้กันทางวิทยุประชาสัมพันธ์ของโรงเรียน

    และอีกหลากหลายเพลง ราวกับ Ipod ของอ้อมเครื่องนี้มีแต่อัลบั้มกรีซซี่ คาเฟ่

    เธอถอดหูฟังออกจากหูของผม เราต่างเผลอหลับกันใต้โคนต้นยาง ในโรงเรียนใต้โคนยางที่เราสถาปนาขึ้น

    เธอบอกว่าเย็นมากแล้ว โรงเรียนคงเลิกไปสักพักแล้ว เพราะไม่ได้ยินเสียงกริ่งบอกเวลาคาบสุดท้าย

    ออกจากป่ายางกันเถอะ เธอลุกขึ้นและปัดเศษใบไม้และเศษดินที่เลอะกางเกงพละ

    ก่อนจะเดินนำหน้าผม เมื่อออกจากป่ายาง

    เราเดินลัดเลาะ ผ่านเส้นทางหลังบ้านพักครู 

    ผ่านโกดังเก็บไม้เก่าของโรงเรียน ก็จะเจอกับทางลูกรังสีแดงทอดยาวสู่อาคารเรียน

    เป็นอันรู้กันว่าเข้าสู่เขตรั้วโรงเรียนแล้ว

    อ้อมบอกให้ผมเดินแยกไปอีกทาง และให้ไปรอที่โรงรถหน้าโรงเรียน

    จะได้ไม่มีใครสงสัย หรือเห็นว่าเราหายไปด้วยกันทั้งวัน

    อ้อมบอกให้ผมเข้าไปเอากระเป๋าที่ตึกให้ด้วย เพราะเราเรียนห้องติดกัน

    เธอจะไปเข้าห้องน้ำก่อน แล้วเจอกันที่โรงรถ

    ผมเดินลัดเลาะมาถึงอาคารเรียน อาคารสีเขียวเปลือกมะนาว

    ภารโรงแง้มประตูเหล็กบานเฟี้ยมไว้ แต่ยังไม่ใส่แม่กุญแจ ผมจึงแทรกตัวและเข้าไปเอากระเป๋าของสองเรา

    ก่อนจะเดินไปหาเธอที่โรงรถ ระหว่างทางเดินผมรู้สึกถึงลมหนาวที่พัดมาปะทะผิวกายอันหยาบกร้านของผม

    ลมพัดกรรโชกแรง ต้นไม้กิ่งไม้พลิ้วเอนไหวตามแรงลม ใบไม้ปลิดปลิวจากขั้วต้นและพลิ้วไสวตามกระแสลม

    ฝนกำลังจะตก ภายใต้ท้องฟ้าสีดำทะมึน ถ้าหากขับรถต่อไปคงสูญหายและถูกกลืนกินไปกับเงาของฝนแน่ๆ

    ผมกึ่งเดินกึ่งวิ่งมาถึงโรงรถ

    อ้อมยืนรออยู่ที่รถ สายฝนพรำอาบหน้าและแก้มแดงระเรื่อ

    เม็ดฝนเม็ดใหญ่อาบไล้บริเวณร่องน้ำตา ราวกับว่าเธอกำลังยืนร้องไห้กลางสายฝน

    “ไปส่งบ้านหน่อยสิ ค่ำแล้ว แม่ออกมารับไม่ได้”

    ผมเอื้อมมือไปปัดใบไม้สีน้ำตาลไหม้ที่ตกใส่หัวของอ้อม แล้วพูดว่า

    “ได้สิ แต่เราไม่มีร่มนะ และรถเราก็เก่าด้วย”

    เธอพยักหน้าแต่ไม่ได้พูดอะไร

    ผมพาอ้อมซ้อนท้ายขึ้นรถเวฟสีแดงคันเก่าบุโรทั่ง

    ยามเย็นถูกกลืนหายไปกับสายฝนและหมู่เมฆคิวมูโลนิมบัสสีดำใหญ่มหึมา

    เราขี่รถมอเตอร์ไซค์กันออกมาได้แค่หน้าโรงเรียน

    ฝนกลับเทลงมาเหมือนท้องฟ้าจะแตก ผมขี่รถไปต่อไม่ได้แล้ว

    ราวกับความสัมพันธ์และบางส่วนในใจของสองเราที่มันหยุดชะงัก

    ระหว่างขับรถ สายฝนเม็ดใหญ่สาดกระเซ็นเข้าตา

    ผมคิดถึงการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นและเป็นไป

    ทำให้เราสองคนพร้อมจะถูกกลืนหายไปในร่องน้ำตาของสายฝน

    ผมเหลือบไปเห็นตู้โทรศัพท์สีฟ้าอ่อนที่เลิกใช้แล้ว

    ริมกำแพงหน้าโรงเรียน คงพอจะมีที่ให้หลบฝน

    ผมเลยชี้ให้อ้อมดูและขับรถฝ่าสายฝนไปที่ริมกำแพง

    พอถึงตู้โทรศัพท์ อ้อมก็วิ่งเข้าไปในนั้น

    ส่วนผมเก็บกระเป๋าใส่ใต้เบาะรถ เพราะกลัวหนังสือของอ้อมจะเปียก

    ส่วนหนังสือเรียนของผมไม่เคยเอากลับบ้านหรอก อยู่ใต้โต๊ะ หรือที่ไหนสักแห่งในห้องนั่นแหละ

    ก่อนผมจะเบียดแทรกตัวเข้าไปในตู้โทรศัพท์ขนาดสามสี่คนโอบรอบที่อ้อมยืนอยู่

    เราต่างเปียกโชกไปด้วยสายฝนที่ยังตกหนักอย่างต่อเนื่อง

    ผมทอดสายตามองสายฝนเย็นเบื้องหน้าอย่างเย็นชา พลันอ้อมเอ่ยขึ้น

    “ถอดถุงเท้าสิ จะได้ไม่ป่วย” เธอพูดพลางถอดถุงเท้าและรองเท้าออก

    ผมทำตามที่เธอบอก และถอดรองเท้าออก ม้วนถุงเท้าใส่ในรองเท้าอีกที

    “หนาวเนอะ เราไม่เคยติดฝนในตู้โทรศัพท์ ท้องฟ้าก็มืด ยิ่งอยู่กับแกยิ่งน่ากลัว” อ้อมบอก

    ผมถอดเสื้อนักเรียนออก ใส่เสื้อกล้ามหานคู่สีขาวที่ใส่ไว้ด้านในแทน

    อ้อมตกใจเล็กน้อย ก่อนที่ผมจะบิดชุดเรียนไล่น้ำฝน และสะบัดสองสามที

    ก่อนนำไปคลุ่มร่างอันสั่นเทาของอ้อม ผมไม่อยากให้เธอป่วย

    เพราะเธอยิ่งบอบบางอยู่ ทั้งเรื่องความรักความรู้สึก

    และเรื่องระหว่างสองเรา

    เธอจ้องมองหยดฝนที่กระทบกับกระจกตู้โทรศัพท์

    ก่อนแสงของไฟรถยนต์สีแดงหรือเหลืองส้มสาดเข้ากระทบเม็ดที่เกาะพร่างพราวนอกกระจก

    ราวกับความสัมพันธ์ของเราในตอนนี้ เลือนรางและไม่ชัดเจนดังหยดน้ำที่สะท้อนภาพจากกระจก

    ราวกับสีของไฟนีนอนในค่ำคืนสีแดง

    “อยากบุหรี่ว่ะ มีบุหรี่อีกมั้ย” อ้อมเอ่ยพลางทอดมองสายฝนเย็นฉ่ำที่ยังโหมกระหน่ำ

    “มีแต่ยาเส้น” ผมตอบและล้วงเข้าไปในกระเป๋ากางเกง

    สำรวจดูด้วยดวงตาของมือขวา ยาเส้นยังไม่เปียกชื้นมากนัก เป็นอันว่าใช้ได้

    ผมมวนยาเส้นให้เธอ พลางควานหากล่องไม้ขีดไฟในกระเป๋าเสื้อ

    เปิดออกเหลือไม้ขีดก้านสุดท้าย อ้อมมองผมราวกับยอมรับชะตากรรม

    ไม้ขีดไฟหนึ่งก้าน คู่รักสองคู่ ในตู้โทรศัพท์ กับค่ำคืนวาเลนไทน์ที่ฝนกำลังถาโถมกระหน่ำลงมา

    ผมใช้อุ้งมือป้องละอองฝน

    และจุดไม้ขีดด้วยมืออันสั่นเทา

    ผมขีดไม้ขีดลงข้างกล่อง เสียง แชะๆ ดังขึ้นสองสามครั้ง

    ไม้ขีดไฟเปียกฝนและจุดไม่ติด เธออ้อมก็ถอนหายใจ ใบหน้าเรียบเฉย

    “ราวกับยอมรับชะตากรรม ว่าเราไปกันไม่ได้

    ไม้ขีดไฟก้านสุดท้ายในกล่อง ก็เปรียบเสมือนโอกาสสุดท้ายดั่งที่ผมบอกเอาไว้

    และผมได้ทำมันพังลงไปแล้ว

    อ้อมฉวยทั้งกล่องไม้ขีดและยาเส้นเต็มถุงโยนไปบนพื้นถนน

    ผมรีบวิ่งตามไปเก็บด้วยความเสียดายยาเส้นกลางสายฝนพรำ

    ฝนเริ่มขาดเม็ดแล้ว แต่ความเปียกและเงาของฝนยังรับรู้ได้อยู่

    ผมโกรธและพูดด้วยน้ำเสียงขุ่นเคือง

    “โยนยาเส้นกูทำไม ถึงไม่มีไม้ขีด มันก็ยังเก็บไว้สูบได้”

    อ้อมเดินเท้าเปล่าออกมาจากตู้โทรศัพท์ นัยน์ตาแข็งกร้าวไร้ความอ่อนโยน

    พร้อมส่งชุดนักเรียนให้ผมคืน ผมรับมาพาดบ่า และอ้อมเอ่ยขึ้นว่า

    “สิ่งของที่มันเคยคู่กัน วันหนึ่งเมื่อแตกหรือแยกออกจากกันแล้ว

    จะปะติดปะต่อเรื่องราวต่างๆเข้าด้วยกัน

    มันคงยากแล้วล่ะ เหมือนยาเส้นที่ไร้ไม้ขีดไฟนั่นแหละ"

    "เรื่องระหว่างเราก็คงเหมือนไม้ขีดไฟก้านสุดท้าย" อ้อมร้องไห้และพูดด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ

    “พอแค่นี้เถอะนะ เรื่องราวระหว่างเรา” อ้อมพูดพร้อมยกมือปาดน้ำตาออกจากแก้ม

    อ้อมมองผมครั้งสุดท้าย ทั้งสายฝนและร่องน้ำตาของเธอเจิ่งนอง และชะล้างน้ำตาไปกับฝนเม็ดใหญ่

    ชุดพละสีส้มของเธอเปียกแนบเนื้อและน่าเค้นคลึง เหมือนในคืนนั้นที่เราไปทะเลด้วยกัน

    เธอเดินไปที่รถมอเตอร์ไซค์ที่ผมเสียบกุญแจค้างไว้ พร้อมหันมาสบตาผมครั้งสุดท้ายแล้วพูดว่า

    “ไว้เราจะให้พ่อขับรถมาคืนให้นะพรุ่งนี้”

    ก่อนเธอจะเร่งเครื่องและขี่เร้นหายออกไปในคืนสีแดง

    ภายใต้ท้องฟ้าสีดำและเงาของฝนที่ยังโปรยปราย

    ผมเดินกลับเข้าไปในตู้โทรศัพท์สีฟ้า

    ที่ๆเคยมีภาพของสองเรา พลางทรุดตัวลงนั่ง แล้วพึมพำกับตัวเอง

    “ชิบหายเอ้ย ใบจากกูเพิ่งซื้อมาใหม่

    สูบได้สองสามที มึงกลับโยนทิ้งอย่างไร้เยื่อใย

    ทิ้งกูแล้วยังทิ้งใบจากคู่ใจกูอีก

    แถมไม้ขีดไฟก็หมด และรถกูมึงก็เอาไปอีก

    เหลืออะไรให้กูบ้างในค่ำคืนระยำนี้”

    ผมเหนื่อยล้าและเผลอหลับไปในตู้โทรศัพท์

    รุ่งเช้า ผมชันตัวลุกขึ้นออกจากตู้โทรศัพท์

    หลวงพี่บิณฑบาตผ่านหน้าผมไป

    เด็กวัดสามสี่คนชี้ให้หลวงพี่หันมองผม

    แต่หลวงพี่ทอดสายตาไปเบื้องหน้าและสำรวมท่าที

    ผมล้วงขึ้นไปหยิบยาเส้น ก็ยังดีที่ยาเส้นยังอยู่ ผมคิดในใจ

    จะได้ไปเอาไม้ขีดที่บ้านจุด แล้วสูบให้หายอยากสักสองสามที

    ผมย่ำเท้าเปล่า

    พ่อเธอคงนำรถมอเตอร์ไซค์มาคืนที่บ้านแล้ว

    ผมหิ้วรองเท้านักเรียนเดินกลับบ้าน

    เดินกลับคืนรังสู่จุดเริ่มต้นของชีวิตผมอีกครั้ง

    และผมคงกลับมาโรงเรียนในตอนสาย

    ผมไม่ได้กลับมาหาเธอ หรือกลับมาหาใคร

    แต่ผมกลับมาโรงเรียน...

    เพื่อยอมรับความเป็นจริงที่เกิดขึ้น

    และตั้งใจเรียนหนังสือ เพื่ออนาคตที่ดีกว่านี้

    ดีกว่าที่สิ่งที่ผมพบเจอใ น คื น สี แ ด ง คื น นั้ น . . .
Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in