เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
PARIS IS ALWAYS A GOOD IDEABUNBOOKISH
THE WEATHER MATTERS อย่าเชื่อพยากรณ์อากาศหรือกระทั่งเมฆที่เห็น
  • “ปารีสเป็นเมืองที่อากาศแปรปรวนมาก คุณอาจพบได้ถึงสี่ฤดูในหนึ่งวัน” นี่คือสิ่งที่ฉันอ่านเจอระหว่างหาข้อมูลช่วงก่อนเดินทาง และได้รับการพิสูจน์ตั้งแต่วันแรกที่ไปถึง 

    ขณะที่เครื่องบินกำลังจะลงจอดที่สนามบินชาลส์ เดอ โกลล์ (Charles de Gaulle) ซึ่งอยู่ห่างออกไปทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือของกรุงปารีส ฉันปลื้มปริ่มเต็มที่กับวิวจากหน้าต่างเครื่องบิน ทั้งภาพฟาร์มไร่องุ่นท่ามกลางแดดสีทองยามเย็น และดวงอาทิตย์ที่ปาเข้าไปทุ่มกว่าแล้วก็ยังไม่ลาท้องฟ้า พลางคิดว่าอากาศข้างนอกคงไม่หนาวไปกว่าช่วงฤดูหนาวที่ภาคเหนือบ้านเราสักเท่าไหร่ 

    แต่ทันทีที่เดินพ้นจากตัวอาคารเทอร์มินอลก็รู้ซึ้ง ฉันรีบกระชับแจ็กเก็ตยีนส์ให้แน่นขึ้น แล้วหยิบผ้าพันคอที่เพิ่งถอดออกก่อนลงเครื่องมาพันใหม่อีกครั้ง ถึงแดดจ้าอย่างนั้นแต่มันหนาวโคตรๆ หนาวจนไม่อยากนึกถึงเวลาที่ดวงอาทิตย์จากเราไปเลย

    ฉันกับพี่ปลารี่เลือกเดินทางเข้าเมืองโดยโรซี่บัส (Roissy Bus) ที่วิ่งรับ-ส่งผู้โดยสารจากสนามบินไปยังใจกลางเมือง เมื่อซื้อตั๋วจากในเทอร์มินอลเสร็จสรรพก็ออกมานั่งรอหนาวๆ ที่ท่ารถด้านนอกตัวอาคาร สักประเดี๋ยวรถก็มาถึง
  • เท่าที่สังเกตในรถไม่น่าจะมีคนฝรั่งเศสที่เพิ่งไปเที่ยวแล้วบินกลับมา เพราะทุกคนดูตื่นเต้นและเพลิดเพลินกับวิวสองข้างทางเกือบทั้งคันรถ คู่รักปู่ย่าสำเนียงอังกฤษจ๋าที่นั่งเบาะตรงด้านหน้า คอยชะเง้อมองทิวพุ่มไม้แล้วผลัดกันถ่ายรูปอย่างเชื่องช้าแต่สนุกสนาน ฉันเองก็ตื่นตากับต้นไม้พื้นถิ่นข้างทางตามประสาคนมายุโรปครั้งแรก 

    สักสิบนาทีผ่านไป รถบัสแล่นฉิวเข้าสู่ตัวเมือง วิวเริ่มเปลี่ยนจากต้นไม้เป็นบ้านเรือนกับโกดัง และในทันใดนั้น เมฆดำลึกลับก้อนใหญ่ก็เคลื่อนพลมาบังแสงแดดคาตา จากนั้นฝนก็โปรยลงมาไม่ขาดสาย 

    ตอนนั้นไม่รู้ว่าเป็นฉันหรือคุณปู่คุณย่าที่หน้าม่อยกว่ากัน

    หวนนึกถึงก่อนหน้าที่จะมาเยือนปารีส ภาพดอกแม็กโนเลียบานท้าแดดสวยจากจากอินสตาแกรมของคนฝรั่งเศสที่ฉันติดตามอยู่ ช่วยกระตุ้นอารมณ์ให้กระปรี้กระเปร่าอย่างเต็มเปี่ยม บวกกับเมื่อยังเด็ก ฉันบ้าอ่านคอมิก วอลท์ ดิสนีย์ ฉบับสำนักพิมพ์เนชั่นฯ ที่เขาเล่าเรื่องฤดูใบไม้ผลิของโลกฝั่งตะวันตกเอาไว้ได้น่ารักฝังใจ เลยคิดมาตลอดว่าจะต้องมาสัมผัสมันด้วยตัวเองสักครั้ง และแล้วหลายปีต่อมา ฉันก็บินมาถึงปารีส ฤดูใบไม้ผลิของฝรั่งเศสได้มาอยู่ตรงหน้า แต่เป็นฤดูใบไม้ผลิที่มีฝน…
  • ถึงจะหวังให้แดดออกตลอดเวลา ก็ใช่ว่าฉันจะไม่ได้เผื่อใจไว้สำหรับสายฝนเอาเสียเลย ในกระเป๋าเดินทางที่อัดสารพัดสิ่งของไว้จนแน่น มีร่มพับที่ได้มาฟรีจากธนาคารเจ้าหนึ่งอยู่ด้วย ถึงแม้สีร่มและโลโก้จะไม่ค่อยเข้ากับบรรยากาศคลาสสิกของเมืองปารีสสักเท่าไหร่ แต่ก็ยังดีกว่าต้องเดินตากฝน

  • วันต่อมา ฉันกางร่มคันนั้นเดินชมเมืองบนถนนแซงต์-ลาซาเร (Saint-Lazare) ไปได้ไม่เท่าไหร่ ลมก็พัดร่มตีกลับด้านทันที สิ่งแรกที่ฉันช้อปปิ้งในปารีสก็เลยเป็นร่มพับสีกรมท่าที่มีปุ่มกดให้กางอัตโนมัติที่ดูทนทานต้านได้ทั้งฝนและลม (แต่ตอนพับเก็บต้องใช้แรงมหาศาล) 
     
    อยู่ไปสักระยะฉันก็ตระหนักได้ว่า การถือร่มไปด้วยเดินไปด้วย ช่างเป็นอุปสรรคในการถ่ายรูปและหยิบจับสิ่งของต่างๆ ไม่เพียงแค่นั้น มือข้างที่ถือร่มยังเจอลมหนาวจนแทบแข็ง เวลาเดินเข้าในอาคารทีก็ต้องเก็บร่มที ช่างลำบากยากเข็ญ ยิ่งพอเช็กพยากรณ์อากาศจากทั้งในแอพพลิเคชั่นและเว็บไซต์แล้วก็พบว่าฝนจะตกและมีอุณหภูมิต่ำไปตลอดทริป ฉันยิ่งต้องคิดหาทางแก้ปัญหาที่เกิดจากสภาพอากาศนี้ให้ได้!

    ในวันที่สี่ของทริป ฉันตัดสินใจซื้อโค้ตหนังที่มีฮู้ดขอบเฟอร์จากร้านขายของวินเทจแห่งหนึ่ง ราคาแพงน้ำตาเล็ด แต่เมื่อติดกระดุมจนครบและสวมฮู้ดไว้แล้ว นอกจากไม่ต้องหวั่นทั้งเม็ดฝนและลมหนาว ยังดูดีมีความเก๋สมกับการเดินในปารีสด้วย (ส่วนกล้องถ่ายรูปที่คล้องคออยู่ก็สมมติเอาว่ามันกันน้ำแล้วกัน) 

    ค่ำนั้นฉันสวมโค้ตเดินตากฝนจากย่านชาเตอเลต์ (Châtelet) กลับที่พักที่อยู่อีกฝั่งของแม่น้ำแซนอย่างสบายใจเฉิบ 

    แต่หลังจากวันนั้นฝนก็แทบไม่ตก และอากาศก็ไม่หนาวพอให้ใส่เสื้อโค้ตหนังตัวนั้นอีกเลย… 
  • ความแปรปรวนทางสภาพอากาศเกิดขึ้นหลังจากที่ฉันเข้าชมพิพิธภัณฑ์ดอร์แซ (Musée d'Orsay) ช่วงที่ต่อแถวรอเข้าไปด้านใน ฟ้ายังหม่น ฝนยังตกปรอยๆ ไม่มีท่าทีจะหยุดง่ายๆ แต่พอเดินเข้าอาคาร ซึมซับงานศิลปะจนอิ่ม เดินออกประตูมาก็พบว่าฟ้าใสแจ๋ว แสงแดดที่คิดถึงได้มาเยือนกรุงปารีสแล้ว มาง่ายๆ เหมือนตอนมันหายไปนั่นแหละ

    แล้วฉันก็พบความจริงอีกข้อว่า สภาพอากาศส่งผลกับจิตใจคนอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

    ช่วงแรกที่ฝนตก ฉันออกจะขุ่นใจเพราะชอบบรรยากาศตอนแดดออกมากกว่า ถึงหลังจากนั้นจะทำใจให้ชินจนชอบปารีสตอนฝนตกได้แล้ว แต่ความชอบนั้นมันอยู่ในอารมณ์สวยหม่นแบบหนังของวู้ดดี้ อัลเลน พอเจอแสงแดดเข้าหน่อย เลยเปลี่ยนอารมณ์กลับมาเป็นความชอบอันร่าเริงแบบที่หวังไว้แต่แรก แม้ตอนนั้นพี่ปลารี่จะขอนั่งพักที่คาเฟ่ข้างพิพิธภัณฑ์ดอร์แซ ฉันที่กลัวว่าเมฆฝนจะเปลี่ยนใจกลับมาหา เลยขอแยกออกไปเดินเก็บบรรยากาศตามซอกซอยในย่านนั้นจนทั่ว
     
    ฉันแน่ใจ บ้านเมืองที่เคยดูเหงาๆ กลับดูมีชีวิตชีวาขึ้นแบบที่ไม่ได้คิดไปเอง 
  • ตอนที่แดดมานั้นพอดีกับที่วงดนตรีเปิดหมวกด้านหน้าพิพิธภัณฑ์เริ่มบรรเลง ผู้คนเลยไปนั่งยิ้มแป้นกันอยู่ตรงบันได ตากแดดไปฟังเพลงไปดูครื้นเครง มองไปด้านบน หน้าต่างของแต่ละบ้านที่เคยปิดเงียบเชียบก็มีคนเปิดออกมารับแดดและฟังเพลงกับเขาด้วย


  • ฉันเก็บภาพนั้นแล้วเลี้ยวออกจากพิพิธภัณฑ์ดอร์แซไปจนเจอแม่น้ำแซน เดินเลียบแม่น้ำไปก็เห็นว่ามีคนออกมาทำกิจกรรมต่างๆ เต็มไปหมด ผู้คนตามถนนจากที่เคยเห็นหน้านิ่งเดินดุ่มๆ พอแดดออกก็เริ่มมีรอยยิ้มให้เห็นกันทั้งถนน บ้างก็สวมหูฟังฮัมเพลงอย่างอารมณ์ดี 

    เดินไปอีกนิดก็เจอสวนตุยเลอรีส์ (Jardin des Tuileries) ซึ่งเป็นที่หย่อนใจของชาวปารีสมาตั้งแต่ยุคปฏิวัติฝรั่งเศส ม้านั่งริมสระน้ำมีคนจับจองเกือบหมด แต่ก็ยังเหลือหนึ่งที่นั่งให้ฉันได้ไปนั่งทอดหุ่ยตากแดดอยู่เกือบชั่วโมง แม้แต่นกเป็ดน้ำก็ดูท่าจะสนุกกับการว่ายน้ำอ้อยอิ่งโชว์ตัวให้ผู้คนชี้ชวนกันดู

    ขนาดฉันที่เจอฝนมาแค่สองสามวันยังคิดถึงดวงอาทิตย์ขนาดนี้ นึกออกเลยว่าชาวปารีสที่เจอฟ้าสีหม่นมาเกือบตลอดปีจะเฉาขนาดไหน

    ก้มลงมองพยากรณ์อากาศในโทรศัพท์อีกครั้ง จากที่โชว์ไอคอนรูปเมฆฝนเป็นแถวเมื่อชั่วโมงที่แล้ว ก็เปลี่ยนเป็นรูปเมฆกับดวงอาทิตย์หน้าตาเฉย

    หลังจากนั้นไม่ว่าพยากรณ์อากาศจะบอกแบบไหน อากาศตอนตื่นนอนจะเป็นอย่างไร ฉันก็ต้องเตรียมทุกอย่างใส่เป้ไว้ให้พร้อม ทั้งร่ม แจ๊กเก็ต หมวก ผ้าพันคอเผื่อหนาว เมื่อของทุกอย่างรวมกันแล้วกระเป๋าก็เลยหนักทุกวัน บ่าฉันจึงแข็งแกร่งขึ้นอีกหนึ่งระดับเพราะอากาศที่แปรปรวนแท้ๆ (แถมด้วยส้นเท้าที่แตกอย่างครึ่งๆ กลางๆ เพราะอากาศชื้นบ้างแห้งบ้างสลับกันไป) 
Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in