เช้าวันเสาร์สำหรับใครหลายคน คงเป็นเช้าที่สดใส เป็นเช้าที่เฝ้ารอ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับ
มนุษย์เงินเดือน บางคนที่จะได้พักผ่อนจากการทำงานติดกันมา 5 วัน ได้ตื่นสาย ได้ทำกิจกรรมที่ชื่นชอบ ได้นอนเล่นตีพุงอยู่ที่บ้าน แต่....
...แต่เรื่องราวอะไรแบบนั้น มันไม่ได้เกิดขึ้นกับ เด็กหญิงหัวฟู คนหนึ่งที่เพิ่งเรียนจบจากรั้วมหาวิทยาลัยได้เพียง 2 สัปดาห์หรอก ทำไมน่ะเหรอ?...
ย้อนกลับไปตอนใกล้จะเรียนจบปี 4
เด็กหญิงหัวฟูมีความคิดอยากจะทดลองเป็นคนว่างงานสัก 2 เดือน เธอวางแผนว่าจะนอนขึ้นอืดอยู่ที่บ้าน กินขนมสุดโปรดอย่างสาหร่ายอบกรอบยี่ห้อดังที่สตอรี่ของมันถูกนำไปเรียบเรียงเป็นภาพยนตร์ เธอจะกินมันพร้อมกับอ่านหนังสือที่ไปหอบหิ้วมาจากงานสัปดาห์หนังสือแห่งชาติครั้งที่ 44 ให้จบทุกเล่ม เธอยังวางแผนที่จะฝึกเขียน ฝึกแปลภาษา ฝึกวาดรูปให้ได้ทุกวัน และออกเที่ยวเล่นกับเดอะแก๊ง เธอมีความตั้งใจเต็มร้อยที่จะทำภารกิจทดลองเป็นคนว่างงานให้สำเร็จ
วันสุดท้ายที่เด็กหญิงหัวฟูสอบเสร็จ นั่นหมายถึงเธอได้สิ้นสภาพการเป็นนักศึกษาแล้ว เธอไปเลี้ยงฉลองกับเพื่อนๆ และทยอยเก็บของออกจากหอ เพื่อนคนนึงของเด็กหญิงหัวฟูร้องไห้ เธอปลอบเพื่อนว่าไม่เป็นไรนะ เดี๋ยวเราก็เจอกันอีก แต่ความจริงแล้ว ในตอนนั้น จิตใจของเด็กหญิงหัวฟูช่างแสนวูบโหวง เธอคิดถึงช่วงเวลาที่ได้สนุก เหนื่อย เถียง ทำวิจัย ลอกข้อสอบ และการเล่นกันแบบรุนแรงที่ผู้หญิงทั่วไปอาจจะไม่เล่นกัน เช่น การถีบไหล่
เธอกลับบ้าน พร้อมกับความรุ้สึกวูบโหวงนั่น เธอกลับมาและเริ่มต้นใช้ชีวิตการทดลองเป็นคนว่างงาน วันแรกเธอสนุกไปกับมัน อ่านหนังสือ กินขนมแสนโปรด ฟังเพลง เธอเรื่อยเปื่อยแบบนี้ไป 3 วัน จู่ๆ มันก็เครียดเหลือเกิน มันรู้สึกปวดตุบๆ ที่หัวเหมือนมีคนมาเล่นชักเย่อ เธอค้นพบมวลบางอย่างที่เธอไม่สามารถมองเห็น แต่เธอสามารถสัมผัสมันได้ มวลนั้นมีชื่อว่า มวลกดดัน...
ไม่ใช่ เธอไม่ได้ถูกกดดันจากครอบครัว
ไม่ใช่ เธอไม่ได้ถูกกดันจากผู้คนรอบข้าง
แต่ เธอถูกกดดันจาก เด็กหญิงหัวฟู
เธอไม่รู้หรอก ว่ามวลก้อนนี้มันคืบคลานมาหาเธอได้อย่างไร เธอสงสัยว่ามันเริ่มมาจากความกลัว กลัว ที่ต้องเริ่มต้นการใช้ชีวิตแบบใหม่ มันเป็นการใช้ชีวิตที่ประกอบไปด้วยความคาดหวัง ความหวาดกลัว และการให้คุณค่า มันคือ ชีวิตของการทำงาน
เด็กหญิงหัวฟู ใฝ่ฝันอยากที่จะทำงานด้านการเขียน แต่มันคงเป็นเรื่องยากสำหรับเธอ เพราะครอบครัวอยากให้เธอทำงานที่มั่นคง อาชีพในฝันของเธอถูกการให้คุณค่าเล่นงานไปแล้ว เธอจึงมองหางานที่ได้ใช้ทักษะทางด้านภาษาเพิ่มด้วย แต่เธอยังไม่ทอดทิ้งฝันนั่น เธอสมัครงานไปหลายที่ มีทั้งงานที่ครอบครัวอยากให้เธอทำ และงานเขียนที่เป็นความฝันของเธอเอง เธอหย่อนเรซูเม่ลงไปในตะกร้าของสำนักพิมพ์ หรือ บริษัทที่ทำงานด้านการเขียนหลายแห่ง แต่ไม่มีที่ไหนเลยเรียกเธอไปสัมภาษณ์ คงเป็นเพราะ เธอไม่มีพอร์ตด้านการเขียนเป็นชิ้นเป็นอัน
ตอนนี้ เด็กหญิงหัวฟูได้งานทำแล้วหลังจากเรียนจบได้ประมาณ 2 สัปดาห์ เธอได้งานเป็นเลขา ที่ต้องทำหน้าที่เป็นล่ามและเรียนรู้งานด้านการส่งออกด้วย แต่เด็กหญิงหัวฟูยังไม่ทิ้งฝันของเธอ เธอใช้เวลาว่างจากการทำงาน ฝึกฝนงานเขียน และเธอสัญญากับตัวเองไว้ ว่าเธอจะดื้อเพื่อฝันนั้น เธอจะทำ ฝันนักเขียน ให้เป็นจริง
หลายคนรอบตัวถามว่า ทำไมเริ่มทำงานเร็วขนาดนี้ ไม่พักผ่อนหรือ? เด็กหญิงหัวฟูตอบไปเพียง
"กลัว กลัวไม่มีงานทำ"
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in