เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
เมื่อฉันติดโควิดเมื่อฉันรีวิวหนังสือ
Day 2
  • Day 2


    เริ่มต้นวันใหม่ด้วยแสงแดดที่สดใสหลังจากที่เมื่อคืนนั่งโทรเม้าท์กับเมถึงตี 1 (โดยต้องแอบไปนั่งคุยในห้องน้ำเพราะพี่น้อยกับพี่โอ๋นอนแล้ว) แต่ตื่นมาไม่เท่าไร ความซวยก็มาเยือนเมื่อฉันดันไปเหยียบเศษแก้วอะไรไม่รู้จนเลือดอาบ ตอนแรกตกใจมาก เพราะกลัวเลือดตัวเองหยดลงพื้น แต่โชคยังดีที่สุดท้ายก็ได้พลาสเตอร์จากพี่น้อยมาแปะ โอเคเลยย ผ่านมาหลังจากตื่นนอนไม่เท่าไรก็มีเรื่องให้เจ็บตัวแล้ว

    วันนี้ฉันมีอาการไอเล็กน้อย ไม่แน่ใจว่าเป็นเพราะเมื่อคืนคุยมากเกินไปหรือเปล่า นอกจากนี้ก็มีอาการจมูกตันเหมือนเคย แต่วันนี้อาการพี่โอ๋ค่อนข้างแย่ เห็นบอกว่าไข้ขึ้นแล้วก็หนาว วันนี้พี่โอ๋นอนทั้งวันเลย แบบกินข้าวเสร็จก็นอน เอาจริงๆ คือวันนี้ฉันเห็นพี่โอ๋ตื่นมาไม่ถึง 2 ชั่วโมงด้วยซ้ำ (แต่นอนเยอะๆ ก็ดีแล้วจะได้หายไวๆ) 

    วันนี้เป็นวันที่ตามกำหนดการณ์แล้วฉันควรจะได้ไป X-Ray ปอดและเจาะเลือด แต่รอเท่าไรก็ไม่มีคนโทรมาเรียกสักที ฉันก็เลยคิดไปว่าเขาคงเรียกไปตรวจตอนเที่ยงมั้ง สรุปคือรายชื่อฉันหลุดจ้าา คือคนอื่นเขา X-Ray ไปตอนเช้ากันแล้ว แต่ไม่มีใครโทรมาเรียกฉันเลย สรุปคือฉันก็ต้องไป X-Ray วันพรุ่งนี้

    ด้วยความที่เมื่อวานฉันก็จมูกตันอีกแล้ว ฉันจึงคิดว่ามันถึงเวลาแล้วที่ฉันจะขอยาพ่นจมูกจากพยาบาล แล้วจะได้ขอพลาสเตอร์มาด้วยเลย แต่สุดท้ายคือขอไม่ได้จ้า พี่พยาบาลบอกว่าไว้พรุ่งนี้ค่อยบอกหมอนะคะ เพราะเรื่องยาต่างๆ ต้องให้หมอเป็นคนเบิกค่ะ ฉันก็แบบงงดิค้าบบบ รายชื่อฉันหลุด ไม่ได้ไปตรวจ แล้วพอจะขอยา ก็ยังต้องรอเจอหมออีก เผลอๆ พอขอหมอแล้ว ฉันก็น่าจะต้องรอคนเตรียมยา รอยามาส่ง แล้วถึงจะได้ใช้มั้ง ถ้าอาการฉันหนัก ป่านี้ฉันคงตายไปแล้ว คือเข้าใจว่า hospitel มีคนไข้เยอะ แต่ฉันว่าระบบมันยุ่งยากและไร้สาระมากๆ ต้องรอนู้นรอนี้ตลอด (ตั้งแต่เมื่อวานแล้วนะ) ทำเอาฉันเนี่ยคันไม้คันมืออยากวิเคราะห์ service gap พร้อม suggest way to close the gap มากเลยแม่ (ทำไมก่อนหน้านี้ไม่ทำเรื่องนี้วะ)

    นอกจากเรื่องวุ่นวายต่างๆ สิ่งที่พอจะทำให้ฉันรู้สึกดีใจได้ก็คงจะเป็นเรื่องที่ฉันอ่านหนังสือ ‘โทษ’ ของเฟอร์ดินัน จบ เอาจริงๆ ก็เป็นเล่มที่อ่านเพลินดีนะ แม้ว่าตัวเนื้อเรื่องจะไม่ได้ตรงกับที่คิดว่ามันจะเป็นก็ตาม เล่มต่อไปที่จะอ่านก็คือเลือกยากมาก ตอนแรกหยิบเรื่อง ใครเห็นเป็นศพ มาอ่าน แต่เนื่องจากเคยอ่านเมื่อนานมาแล้วก็เลยลืมชื่อตัวละครหมดแล้วก็เลยยอมแพ้เอาเข้าไปอยู่ในกอง ด.อ.ง (เดี๋ยวอ่านไง) ไว้ก่อน เล่มที่สองที่หยิบขึ้นมาพิจารณาคือเล่ม ประวัติศาสตร์ของความเหงา แต่เนื่องจากมันเป็นหนังสือความรู้ซึ่งจำเป็นต้องใช้สมาธิในการอ่านสูงจึงไม่เหมาะที่จะเอามาอ่านในห้องที่เปิด TV ไว้ตลอดเวลาแบบนี้ เล่มนี้จึงปัดตกไป สุดท้ายเล่มที่ฉันเลือกขึ้นมาอ่านก็คือเล่ม แตกสลาย ของมินะโตะ คะนะเอะ เอาจริงๆ ตอนแรกคิดเอาไว้ว่าเล่มนี้ต้องดราม่าชิบหายวายวอดแน่นอน ดูได้จากชื่อเรื่อง (เอาจริงกลัวอ่านไม่จบด้วยเพราะกลัวดราม่าไปแล้วอ่านไม่ไหว) แต่พอเอามาอ่านจริงๆ กลับผิดคาดมาก เพราะเรื่องมันอบอุ่นหัวใจกว่าที่คิด เรื่องของเรื่องคือตัวเอกได้รับจดหมายจากตัวเองในอนาคตที่เขียนบอกให้ตัวเอกสู้ต่อไปเพราะถึงแม้ตัวเอกจะพึ่งผ่านการสูญเสียครั้งใหญ่ไป แต่ในอนาคตจะมีเรื่องดีๆ เกิดขึ้น ซึ่งเนื้อเรื่องหลังจากนี้ก็จะเป็นเรื่องของตัวเอกในปัจจุบันที่เขียนเรื่องราวของตัวเองส่งไปให้ตัวเองในอนาคต ตอนนี้ฉันอ่านมาได้ถึงหน้าที่ 40 แล้ว ก็รู้สึกว่าอ่านเพลินดีเหมือนกัน (แต่แอบกลัวมันมาดาร์กหลังๆ เหมือนกันนะเนี่ย ยังตราตรึงกับตอนจบของเล่ม คำสารภาพ ของ มินะโตะ คะนะเอะ อยู่เลย)

    นอกจากนี้วันนี้ก็ติดต่อหาแม่ให้แม่ช่วยเอายาพ่นจมูกมากให้หน่อยเพราะไม่อยากต้องมารอยาจากหมอ นอจากยาก็เลยใช้โอกาสนี้ขอให้แม่ช่วยเอาหนังสือมาเพิ่มให้ด้วยเลย แต่แม่ก็ตอบกลับมาว่า แม่ไม่อยากเอาหนังสือมาให้เพราะกลัวฉันจะอ่านจนไม่ได้นอน ฉันนี่สะอึกเลยจ้า เพราะไม่คือเรื่องจริง เถียงไม่ออก ถถถ แต่ก็เลยบอกแม่ไปว่ามันนอนไม่หลับ แม่ก็เลยบอกว่างั้นจะเอาหนังสือมาให้บางเล่มแล้วกัน ฟังแล้วก็ค่อยโล่งอก อย่างน้อยถ้าอ่านหนังสือเล่มจบแล้วเอาเป็นว่าจะค่อยซื้อ e-books มาอ่านต่อแล้วกัน 

    เอาจริงๆ ชีวิตวันหนึ่งของฉันก็มีแค่นี้แหละ ตื่นนอน กินข้าว วัดไข้ เล่นโทรศัพท์ อ่านหนังสือ กินข้าว รีวิวหนังสือ เล่นโทรศัพท์ อ่านหนังสือ นอนกลางวัน กินข้าวเย็น วัดไข้ เขียนบันทึก แล้วก็นอน 

    วันนี้สิ่งที่เพิ่มขึ้นมาคงเป็นความรู้สึกคิดถึงบ้านมั้ง เอาจริงๆ คือตั้งแต่โควิดมาคือฉันแยกอยู่กับพ่อแม่มาได้ 3 อาทิตย์ได้แล้ว ใจนึงก็รู้สึกดีที่การแยกกันอยู่ทำให้พ่อแม่ฉันไม่ติดโควิด แต่อีกใจก็เป็นห่วงเรื่องที่บ้าน เพราะตอนนี้พ่อแม่ทำงานกันแค่ 2 คน แถมที่บ้านยังยุ่งๆ อีกด้วย ปกติฉันกับพี่จะเป็นคนช่วยงานพ่อแม่ แต่เพราะตอนนี้แยกกันอยู่พ่อแม่เลยต้องทำงานกันเอง ในขณะที่ฉันใช้ชีวิตอยู่ที่ hospitel สบายๆ แบบนี้ พ่อแม่ก็อาจจะกำลังทำงานยุ่งกันอยู่ก็ได้ แค่คิดก็รู้สึกผิดแล้ว คงได้แต่หวังว่าถ้าครบ 14 วันแล้ว ฉันจะสามารถกลับบ้านไปหาพ่อแม่ได้นะ

    ปล. อีกอย่างที่พีคของวันนี้คือระหว่างที่นั่งดูข่าวกับพี่น้อยอยู่มันก็มีข่าวยาฟาวิพิราเวียร์ปลอมขึ้นมา ซึ่งที่ตลกคือไอ้ยาปลอมที่ว่ามันดันหน้าตาเหมือนยาที่ฉันมีเปี๊ยบเลย 

    ‘เอาแล้ววว ยาฟาวิเธอหน้าตาเหมือนในข่าวเลยไม่ใช่หรือนั้น’ - พี่น้อย

    ‘เออ เหมือนจริงด้วยค่ะ /ยังช็อคอยู่/’ - ฉัน

    ‘เนี่ย ยาฟาวิแท้มันต้องมีสลักอักษร F ด้วย /ย้อนรูปจากใน internet ให้ดู/’

    ‘อ่า เดี๋ยวหนูลองถามแม่อีกครั้งก่อนนะคะ’

    สรุปก็คือยาที่ฉันได้น่าจะเป็นของจริงแหละ เพราะว่าได้มาจากวิทยาลัยจุฬาภรณ์ /ได้ฟังแบบนี้ก็ค่อยโล่งใจหน่อย 5555


เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in