“ระวังหนามนะครับคุณท่าน”
“บอกสามรอบแล้ว…”
“ผมตัดให้ดีกว่าไหมครับ”
“นี่ อย่าทำเกินไปเลยจุนซู มันไม่ใช่ครั้งแรกที่ฉันเก็บดอกกุหลาบซะหน่อย”
เจ้านายบอกเสียงเรียบในขณะที่ถือกรรไกรในมือหนึ่งและมองหาดอกกุหลาบสีขาวในแปลงที่สวยพอจะเอาไปจัดแจกันไปด้วย
วันนี้คุณคิมแจจุงสวมหมวกสำหรับกันแดด สวมถุงมือสีขาวพร้อมกับถือกะกร้าหวายใบย่อมเดินตรงดิ่งไปยังแปลงกุหลาบหลังบ้านโดยมีพ่อบ้านจุนซูถือร่มเดินตามไปติดๆ ราวกับว่าแสงแดดยามใกล้เที่ยงพวกนั้นจะทำให้เจ้านายคนเดียวมีอันตรายถึงชีวิตได้
“ก็ทำกันแบบนี้ยังไง...คนเขาถึงเอาไปพูดกันว่าฉันเป็นผีดิบ”
“ก็แดดจะทำให้คุณท่านเพลียแล้วก็ทำให้ผิวก็จะคล้ำได้นี่ครับ”
“ฉันก็ใส่เสื้อแขนยาวแล้วนี่ยังไง”
“ก็คุณท่านเคยแพ้แดดจนผิวแดงไปหมด ผมเป็นห่วงคุณท่านนี่ครับ”
ถึงบางครั้งจะดูจุ้นจ้านกันไปบ้างแต่คำพูดของเจ้าเด็กพวกนี้มักออกมาจากใจเสมอ นั่นทำให้คุณคิมแจจุงต้องหันมายิ้มให้แล้วก็เอ่ยขอบใจอีกครั้งทั้งที่อีกฝ่ายไม่ได้เรียกร้องหรือคาดหวังเลย ทุกอย่างที่ทำให้คุณท่านก็ทำด้วยใจทั้งนั้น…
“ขอบใจนะจุนซู เธอเป็นห่วงฉันเสมอเลย”
“คุณท่านดีกับผมมาตลอด ผมเป็นหนี้บุญคุณครับ”
“อย่าเอาแต่บอกตัวเองอย่างนั้นเลย ฉันกับเธอก็เหมือนเป็นครอบครัวเดียวกันอยู่แล้ว”
“ไม่ได้ครับ...คุณท่านคือคุณท่าน”
“จริงๆ เลยนะเรานี่”
“ว่าแต่วันนี้จะจัดใส่แจกันไหนหรือครับ”
“ที่ห้องนั่งเล่นใหญ่นี่น่าจะดีนะ”
คนฟังคิดตาม ห้องนั่งเล่นใหญ่นั้นมีขนาดใหญ่สมชื่อ มีหน้าต่างบานยาวกรอบสีขาวเห็นวิวสวนและแปลงกุหลาบขาวและแดงที่คุณท่านชอบ แต่น่าเสียดายที่ห้องนั้นไม่ค่อยได้ถูกใช้สอยเท่าไรนักเพราะคุณท่านพูดเองว่ามันใหญ่เกินไปสำหรับใช้นั่งอ่านหนังสือตามลำพัง
“แต่เอาไว้ตรงนั้นก็ไม่ค่อยได้เห็นน่ะสิครับ”
“วันนี้ก็คงได้เห็นเยอะหน่อย เดี๋ยวแขกคงมา...”
“แขก? คนเมื่อวานน่ะหรือครับ”
“อย่าทำเหมือนเด็กขี้หวงจะได้ไหม ฉันอายุปูนนี้แล้วนะจุนซู”
“ไม่ใช่ครับ คือผมเป็นห่วงคุณท่าน…ยังไงนายคนนั้นก็ยังเป็นคนแปลกหน้าสำหรับผมอยู่ดี”
“แต่เขาไม่ได้แปลกหน้าสำหรับฉัน”
“หมายความว่ายังไงกันหรือครับ”
พอตัดได้อีกดอกคุณแจจุงก็หันมาคุยกับพ่อบ้านที่ทำหน้าสงสัยเต็มที่ บางครั้งเด็กพวกนี้ก็ขี้กังวล ขี้หวง และดูเหมือนจะขี้หึงนิดหน่อยด้วยในบางสถานการณ์ จนคุณแจจุงรู้สึกว่านี่พวกเขาเหมือนกับเด็กหวงพ่อแม่ไม่มีผิด
“เขาหน้าเหมือนคนที่ฉันรู้จัก”
“แต่เหตุผลนี้…”
“เหมือนคนที่สำคัญกับชีวิตของฉันมากๆ รู้เอาไว้เท่านี้แล้วทำใจให้สบายก็พอ”
“ครับคุณท่าน”
“เลิกทำหน้าบูดแล้วช่วยฉันมองหาดอกที่สวยๆ หน่อยซิ เหมือนสายตาจะเริ่มยาวซะแล้วสิ”
“ครับคุณท่าน”
คุณแจจุงรู้ดีว่าแม้พ่อบ้านจุนซูจะตอบรับอย่างทันทีนั้นก็ใช่ว่าเขาจะเลิกคิดเรื่องทุกอย่างที่ค้างคาใจไปได้…
จุนซูอยู่มาก่อน ตอนที่ชางมินมาทีหลังก็เหมือนจะไม่ชอบหน้ากัน เวลาที่คุณแจจุงไปใจดีกับชางมินที่มีแผลใหญ่และหายช้าแบบนั้นทีไรก็ทำเหมือนเด็กหวงแม่ คอยตามติดคุณท่านไม่ว่าจะทำอะไร คอยแย้งทุกอย่างที่คุณท่านพูดเกี่ยวกับชางมิน พอบอกว่าน่าจะให้เขาขึ้นมานอนในตึกใหญ่เพื่อจะได้ดูแลเขาได้ทันทีเวลามีปัญหาก็แย้งเพราะตึกใหญ่มีคุณท่านนอนอยู่คนเดียว ถึงกับอาสาว่าจะเป็นคนดูแลเจ้านักเลงนั่นจนกว่าจะหายดีเองทั้งที่ไม่ชอบหน้ากัน
ครั้งนี้พอเห็นว่าคุณท่านมีเพื่อนใหม่อย่างชองยุนโฮทั้งที่หลายปีที่ผ่านมาแทบไม่มีใครได้เข้าบ้านนี้นอกจากหมอประจำตัวแล้วก็ยิ่งไม่พอใจ กลายเป็นว่ากลับไปเป็นเด็กเหมือนตอนที่เพิ่งได้เจอกับชางมินอีกแล้วน่ะสิ
“ตั้งใจหน่อยเจ้าหนู เดี๋ยวกุหลาบของฉันจะช้ำซะก่อน”
“ครับคุณท่าน”
“เป็นหุ่นยนต์หรือจ๊ะถึงได้แต่พูดคำเดิมมาสามครั้งแล้วน่ะ”
“เปล่าครับ ผมแค่กังวลเรื่องผู้ชายคนนั้น”
“เธอเพิ่งจะอายุเท่านี้เอง...คงไม่เข้าใจง่ายๆ หรอกว่าความรู้สึกของฉันเป็นแบบไหน”
“หมายความว่าผมเด็กน่ะหรือครับ”
“ไม่ได้อยู่ที่อายุของเธอ…”
“แล้ว…”
“มันหมายถึงการที่มีใครต่อใครผ่านเข้ามาในชีวิตของเธอต่างหาก...ฟังฉันให้ดีนะ พอเธออายุมากขึ้น คนที่อยู่ในชีวิตของเธอก็จะตายจากไปมากขึ้นเหมือนกัน บางคนก็อาจจากไปทั้งที่เธออาจจะตั้งตัวไม่ทันด้วยซ้ำแต่พออยู่มาวันนึงเธอได้พบกับใครสักคนที่ทำให้เธอนึกถึงคนสำคัญที่ไม่อยู่แล้วอีกครั้ง... เธอก็คงอยากที่จะทำความรู้จักกับเขาเหมือนที่ฉันอยากทำความรู้จักกับพ่อหนุ่มคนนั้นแน่”
“ผมไม่เข้าใจครับ ในชีวิตผมมีแต่คุณท่าน”
คุณคิมแจจุงหันมายิ้มอย่างนึกเอ็นดูเจ้าตัวยุ่งที่ครองนิสัยเข้าใจอะไรยากกว่าอีกคนหนึ่งแล้วก็หันไปจัดการกับกุหลาบสีขาวที่กำลังสวยสู้แดดเหล่านั้นต่อ พอตัดก้านแล้ววางมันใส่ตะกร้าก็พูดต่อ แต่ครั้งนี้ทำเอาจุนซูต้องยอมเงียบแต่โดยดี
“ก็ลองดู...ตอนที่ฉันไม่อยู่แล้วถ้าเธอได้บังเอิญไปเจอใครสักคนที่ดูเหมือนฉันมาก เธอก็คงอยากจะคุยกับเขาเหมือนกันนั่นแหละ เชื่อสิ”
- YURI -
‘หลับฝันดี’วิคเตอร์ที่หุนหันปั่นจักรยานออกมาจากบ้านตอนสี่ทุ่มเป่าปากเรียกยูริในชุดนอนออกมาเพื่อบอกเท่านั้น แม้ว่าเขาจะทำตัวเปิ่นแบบแปลกๆ แต่ตอนนั้นเขาก็น่ารักที่สุดเท่าที่ยูริเคยเห็น
ช่วงที่ความรักกำลังหวานฉ่ำ หัวใจของทั้งยูริและวิคเตอร์ได้เบ่งบานเช่นกัน วิคเตอร์ไม่ได้มาเพราะอยากบอกให้ยูริหลับฝันดี และยูริก็ไม่ได้ผิดหวังเลยที่เขาพูดเท่านั้น หลังจากที่ยืนมองหน้ากันไปมา เขาก็ขยับเข้ามาใกล้รั้วอีกหนึ่งก้าว แล้วจับมือกับยูริ...คนแถวนี้ไม่เว้นแม้แต่แม่บุญธรรมของยูริเข้านอนกันหมดแล้ว มีแต่คนสองคนและหัวใจที่กำลังสูบฉีดอย่างดีด้วยความรักเท่านั้นที่ยังเอาแต่คิดถึงกัน แล้วก็คงจะนอนไม่หลับแน่ถ้าหากไม่ได้ออกมาเจอหน้ากัน
“มือนายเปียกไปหมด”
“ฉันคงร้อน”
“วิคเตอร์…”
“หืม”
“ฉันหวังว่านายคงจะปีนรั้วนี่ไหว เราจะได้ไปนั่งคุยกันที่ชิงช้าตัวโปรดของฉัน”
วิคเตอร์คนนี้น่ะหรือจะเอาชนะรั้วที่สูงแค่อกไม่ได้ ยูริหันหน้ากลับมาปุ๊บ เขาก็ปีนรั้วทันทีโดยไม่สนใจมองซ้ายขวา ไม่มีสมาธิฉุกคิดเลยว่าถ้าหากมีใครตื่นมาเห็นว่ามีคนกำลังปีนเข้าบ้านคนอื่นแบบนี้เรื่องจะไปกันใหญ่แค่ไหน แต่ไม่ว่าจะมีใครเห็นหรือไม่อย่างไรวิคเตอร์ก็เข้ามาแล้ว และพวกเขาก็นั่งอยู่ด้วยกันบนชิงช้าในบ้านของยูริ ชิงช้าตัวโปรดที่ยูริมักจะมานั่งอ่านหนังสือในวันหยุด...ตัวที่เล็กซะจนพวกเขาตั้งนั่งเบียดกันโดยไม่ได้ตั้งใจ
“นายตัวใหญ่จัง”
“ถ้าอึดอัดฉันลุกก็ได้นะ”
“ไม่เป็นไร”
“แต่นายดูอึดอัด”
“ฉันไม่---อ๊ะ!!!!”
ยูริรีบเอามือตะครุบปิดปากตัวเองเอาไว้ได้ทันก่อนที่จะร้องโหวกแหวกปลุกคนอื่น หลังจากที่จู่ๆ วิคเตอร์ก็ยกยูริขึ้นมานั่งบนตัก แล้วก็ยังมีหน้ามายิ้มตอนที่เห็นว่ายูริตกใจจนเบิกตากว้างไปหมด
“ตานายสวย…”
“คนบ้า! ถ้าฉันร้องดังจนคุณแม่ตื่นจะทำยังไง”
เขายิ้มจนตาหยี ตอนนั้นยูริเพิ่งจะรู้ตัวว่านอกจากตนจะนั่งอยู่บนตักของเขาแล้ว มือก็ยังกอดคอเขาเอาไว้ด้วย แล้วเขาก็ยังกอดเอวของยูริเอาไว้อีก
มันไม่เหมือนตอนซ้อนท้ายจักรยานของเขาเลย ไม่เหมือน...เพราะตอนนั้นไม่ได้เห็นหน้าเขาแบบนี้…
“ฉันอยากให้นายนอนหลับฝันดีจริงๆ หรอกนะยูริ”
“อืม”
“และน่าจะดี ถ้านายฝันถึงฉัน”
“ฉันเบื่อแล้ว”
“ว่ายังไงนะ”
“ตั้งแต่รู้จักกันมา ฉันฝันถึงนายบ่อยจนจะเบื่อหน้าอยู่แล้ว”
“จริงหรือนั่น...อา ยูริ~” เขาทำยักคิ้วหลิ่วตาทำหน้ากรุ้มกริ่มขณะมองยูริ กว่าเจ้าตัวจะรู้ว่าถูกเขาคิดถึงไปถึงไหนต่อไหนแล้วก็แทบไม่ทันการ
“ไม่ใช่แบบนั้นนะ! ไม่เคยฝันแบบนั้นซะหน่อย!!”
ยูริไขว้นิ้วบอกเสียงแข็ง
“จริงเหรอ”
“อือ”
“นึกว่าเราเป็นเหมือนกันซะอีก”
“หมายความว่ายังไง”
ยูริผู้น่ารักรู้สึกร้อนฉ่าไปทั้งใบหน้า
“มันก็เป็นธรรมดานี่...เราเป็นแฟนกันแล้วนะ ฉันจะคิดถึงนายแบบนั้นมันก็ไม่เห็นจะแปลกตรงไหน”
“ไม่แปลกแต่ก็ไม่เห็นจะต้องพูดได้หน้าตาเฉยแบบนี้เลยนี่ บ้าจริงๆ วิคเตอร์!”
“ก็ฉันไม่อยากโกหกหรือปิดบังนายนี่ ไม่ดีหรือไง”
“ไม่ได้บอกว่าไม่ดี…”
“โธ่ ยูริ”
“อะไรหรือวิคเตอร์”
เขาไม่ได้ตอบในทันที แต่ยูริรู้สึกได้ว่าเขาขยับแขนกระชับเอวของยูริให้มั่นมากกว่าเดิม
“ฉันอยากจูบนาย”
“จ...จูบหรือ!?”
“เราก็คบกันมาสักพักแล้วไม่ใช่หรือไง...ทีแรกฉันก็คิดว่าคงรอนานกว่านี้ได้ แต่พอมาเห็นนายแบบนี้…”
“จูบที่ไหน”
“ยังจะถามอีก”
“ก็ฉันไม่เคย…”
“แล้วอนุญาตหรือเปล่า”
“อ...อื้ม”
จังหวะนั้นยูริโน้มหน้าเข้าไปใกล้ๆ เขาแล้วหลับตาก่อนที่จะได้รับรู้ถึงความอ่อนนุ่มที่เข้าเบียดกับริมฝีปากของตัวเอง จากนุ่มนวลและเชื่องช้าก็มีจังหวะที่เร็วขึ้น ยูริไม่เคยจูบใคร แต่วิคเตอร์คงมีประสบการณ์...เขาเป็นผู้นำให้ยูริที่แทบไม่กล้าขยับตัวเพราะประหม่า จนกระทั่งกลายเป็นแข็งทื่อแล้วก็ทำหน้าเหมือนจะร้องไห้ออกมาเลยตอนที่วิคเตอร์ถอนจูบออกไป
“ข...ขอโทษนะ ฉันทำไม่เป็น…”
“กอดฉันแน่นๆ ใช่ แน่น...แต่ว่าไม่ต้องเกร็งสิ”
“อืม”
วิคเตอร์เริ่มอีกครั้ง คราวนี้ยูริทำดีขึ้น...ปล่อยตัวสบายๆ ตามความรู้สึกและการชักนำของคนรักจนกระทั่งวิคเตอร์รุกล้ำมากกว่านั้น ริมฝีปากของเขาหนา เรี่ยวแรงของเขาก็เยอะ เขารุกจูบหนักขึ้นอย่างกับจะกลืนยูริลงท้องไปทั้งตัวแต่ถึงจะรู้สึกกลัวและประหม่าอยู่บ้างแต่ยูริก็ตั้งใจ ไม่อยากให้วิคเตอร์ต้องผิดหวังกับจูบแรกของเรา...รวมถึงตัวเองก็ไม่อยากมานึกเสียดายทีหลังด้วยจึงทำตามวิคเตอร์ทุกอย่าง จนกระทั่งรู้สึกจะหายใจไม่ออกนั่นแหละถึงได้เผลอจิกเล็บกับบ่าของเขาจนต่างคนต่างต้องยอมถอนจูบออกมาอย่างอ้อยอิ่ง
เราสบตากันโดยไม่มีคำพูดกันอยู่ครู่หนึ่ง ยูริมองหน้าวิคเตอร์ ไล่มาตั้งแต่ตาเล็กๆ ของเขา มาจนถึงจมูก และมาจบที่ริมฝีปากเปียกๆ ของเขาก็หน้าแดงหนักเข้าไปอีก พอเอามือแตะเข้าที่ริมฝีปากของตัวเองบ้างก็พบว่ามันชุ่มฉ่ำไม่ต่างกัน แค่เท่านั้นก็รู้สึกเหมือนมีอะไรระเบิดอยู่ในอกดังตูมใหญ่แล้วก็ทำอะไรไม่ถูก พูดอะไรไม่ออกนอก จากบอกเขาว่า
“ฝันดีนะ”
แล้วก็ลุกขึ้นมาจากตักเขาก่อนจะวิ่งเข้าบ้านไปอย่างรวดเร็ว
พอปิดประตู ยูริเริ่มคิดถึงเรื่องอาการหัวใจวายขึ้นมาเป็นครั้งแรกหลังจากที่รู้สึกว่าหัวใจกำลังเต้นแรงที่สุดในชีวิต มันแรกอย่างกับจะกระเด็นออกมาให้ได้ ต้องเอามือหนึ่งมากุมอกซ้ายเอาไว้แล้วสะกดจิตตัวเองให้หายใจเข้าออกลึกๆ จนอาการดีขึ้นถึงได้กลับมานึกถึงจูบแรกที่เพิ่งเกิดขึ้นและจบไปเมื่อครู่นี้อีกครั้ง
ยูริจำสัมผัสของวิคเตอร์ได้อย่างดี มันนุ่ม ร้อน แล้วก็หวานอย่างบอกไม่ถูก แต่แค่นึกภาพและย้ำเรื่องจริงที่ว่าได้มีจูบแรกกับวิคเตอร์แล้วก็อย่างกับจะบินได้ ยูริยกมือขึ้นปิดหน้าร้อนๆ ของตัวเองเอาไว้ แล้วก็ไหลลงไปนั่งกองอยู่ที่หลังบานประตูนั้นเอง…
“ฝันดีนะ ยูริ”
- YURI -
ยุนโฮดูข่าว เขารู้ว่าวันนี้ฟ้าเปิด แดดแรง อาจจะเป็นวันที่อุณหภูมิสูงที่สุดวันหนึ่งในฤดูนี้ ตอนที่มองออกไปนอกหน้าต่างเห็นแสงแดดจ้าพวกนั้นแล้วก็ต้องคิดใหม่อีกครั้งเรื่องที่จะใช้บริการรถสาธารณะเดินทางไปที่บ้านผีสิงเหมือนครั้งก่อน และมันอาจไม่ใช่เหตุผลเรื่องลมฟ้าอากาศ...แต่อาจเป็นเหตุผลเรื่องความไม่ทันใจเสียมากกว่าที่ทำให้เขาตัดสินใจเดินย้อนกลับมาหยิบกุญแจรถ ร้องบอกลาพ่อแม่แล้วรีบก้าวไวๆ ออกมาขึ้นรถแล้วขับออกไปหน้าตาเฉยทำอย่างกับไม่ได้ยินเลยว่าเขาถูกถามไถ่เป็นชุดจากแม่ที่รักว่าจะแต่งตัวหล่อไปไหนกันเชียวในวันหยุดแบบนี้
เขาตั้งใจแต่งตัวเป็นพิเศษ เลือกเสื้อผ้าชุดเก่ง ไม่ว่าจะเป็นแจ็คเก็ตตัวโปรด เสื้อเชิ๊ตสีขาวกับกางเกงขายาวและรองเท้าผ้าใบคู่ใหม่เอี่ยม…
พอมาถึงที่หมาย เขายังใช้เวลาตรวจเช็คความเรียบร้อยของหน้าตาและทรงผมอยู่ครู่ใหญ่ และทั้งที่ยังไม่ทันเรียบร้อยดีนักพ่อบ้านที่เคยต้อนรับเขาอย่างไม่ค่อยเป็นมิตรนักก็ออกมายืนอยู่ที่หน้าบ้านอย่างกับกำลังรอเขาอยู่เลย
“สวัสดีครับคุณชองยุนโฮ”
“สวัสดีครับ”
สวัสดีแล้วก็เท่านั้น พ่อบ้านที่สวมชุดดำเหมือนครั้งก่อนสูดหายใจลึกๆ ทำใจอีกครั้งก็เอ่ยปากออกมาอีก
“วันก่อนขอโทษนะครับที่เสียมารยาทกับคุณ”
“ไม่เป็นไรครับ ผมไม่ได้ถือสาอะไร”
“ถ้าอย่างนั้นก็ขอบคุณมากครับ”
เพราะเขาก็ไม่ได้อยากพูดขอโทษซ้ำสองหรอก ที่จริงก็ไม่คิดจะขอโทษด้วยซ้ำถ้าหากไม่ถูกคุณท่านว่าไปตั้งแต่วันนั้น
“คุณท่านกำลังรออยู่ที่ห้องนั่งเล่น เชิญตามผมมาเลยครับ”
นี่เป็นครั้งแรกที่เข้าได้เข้าบ้านผีสิงจริงๆ วันก่อนนี้ยังอยู่กันที่เรือนกระจกในสวนเท่านั้นแต่ตอนนี้กำลังได้เดินเข้าไปในตัวบ้านตามการนำทางของพ่อบ้านที่คุณแจจุงเคยพูดถึงไปยิ้มไปเมื่อตอนนั้น
บ้านนี้เป็นบ้านเก่าแบบฝรั่งก็จริง แต่ภายในยังคงดูดี เฟอร์นิเจอร์ตกแต่งที่เห็นอยู่นี้ก็เป็นแบบเก่าแทบทั้งนั้น โดยเฉพาะข้าวของบนตู้โชว์พวกนั้นถ้าพวกคนที่ชื่นชอบของเก่ามาเห็นเข้าก็คงจะตาลุกวาวแล้วแย่งกันให้ราคากันเป็นแถวแน่ๆ ในบ้านมีกลิ่นไม้หอมจางๆ แสงสว่างลอดผ่านหน้าต่างที่เปิดรับลมเย็นเอาไว้และทอดยาวเป็นแนวขวางกับทางเดินหลัก ยุนโฮตื่นตาตื่นใจกับบ้านที่เป็นเหมือนพิพิธภัณฑ์แห่งนี้เป็นพิเศษ จนเขาไม่ได้มองทาง และทำให้ชนกับคนที่เดินออกมาจากอีกมุมทันทีจนได้ยินเสียงแก้วแตกพร้อมกับเสียงร้องอูยจากคนตัวเล็กกว่าที่ลงไปนั่งกองอยู่กับพื้น
“ขอโทษครับ! ผมขอโทษ! เป็นอะไรหรือเปล่าครับ!”
เขาร้องอย่างตกใจ แล้วพยายามจะเข้าไปช่วยคุณพ่อบ้านอีกคนที่ล้มลงอยู่ตรงหน้า
“ไม่ต้องมายุ่งเลย!!”
“ผมขอโทษจริงๆ ให้ผมช่วยเถอะนะครับ”
“ผมดูแลจุนซูเอง คุณเป็นแขกกรุณาอยู่เฉยๆ เถอะครับ”
ปกติเขาก็ไม่ใช่คนดีเลิศอะไรหรอก แต่พอเห็นว่าตัวเองเป็นต้นเหตุแบบนี้ก็รู้สึกผิดเป็นธรรมดาแล้วทำไมถึงรู้สึกว่าจะถูกกีดกันจากคนที่นี่เหลือเกิน
“แต่ผม”
“อยู่เฉยๆ เถอะครับคุณยุนโฮ!”
“ใช่ อย่าหาเรื่องทำให้คนอื่นเจ็บตัวอีกเลยน่าคุณ!!”
มันชัดเจนทีเดียวว่าที่จริงแล้วทั้งการต้อนรับและคำขอโทษที่เขาได้รับจากพ่อบ้านทั้งสองคนตั้งแต่ก่อนหน้านี้ล้วนเป็นเรื่องที่ทำไปตามมารยาทเท่านั้น เพราะไม่ว่าจะคิดยังไงเขาก็ไม่เคยเป็นที่ต้อนรับจากสองพ่อบ้านนี้เลย แล้วที่ยืนอยู่ตรงนี้ก็เหมือนจะผิดที่ผิดทางไปหมด ขนาดคิดที่จะเดินออกไปก็ยังเก้ๆ กังๆ เกรงว่าจะไปสร้างเรื่องอะไรให้ใครเดือดร้อนอีกจนไม่กล้าขยับไปไหน ได้แต่ก้มหัวปลกๆ และเอ่ยขอโทษทั้งที่ไม่มีใครสนใจจะฟังเลยด้วยซ้ำ
“ทำไมพวกเธอถึงพูดจาแบบนี้กับแขกของฉัน”
“คุณท่าน!!?”
“คุณแจจุง…”
คุณแจจุงมีสีหน้าเรียบเฉย ไม่แสดงท่าทีว่าโกรธหรือไม่พอใจอะไรแต่แค่เท่านั้นคนฟังทั้งสามก็รู้สึกได้ว่าเขาไม่ได้กำลังอยู่ในอารมณ์ปกติ
“เป็นอะไรมากหรือเปล่าจุนซู”
“ล้มกระแทกนิดหน่อยครับคุณท่าน”
“ถูกแก้วบาดหรือเปล่า”
“ไม่ครับ”
“ถ้าอย่างนั้นก็รีบลุกแล้วมาเก็บกวาดให้เรียบร้อย ส่วนชางมิน...เดี๋ยวเอากล่องยามาให้ฉันที่ห้องนั่งเล่นด้วย”
เขาไม่ตอบรับคำสั่ง แต่นึกอยากถามคุณท่านมากกว่าว่าเป็นอะไรถึงต้องใช้กล่องยาที่ว่า แต่ไม่ทันไรเจ้านายที่กำลังดูน่ากลัวกว่าตอนดุกันก็ให้คำตอบออกมาก่อน
“คุณยุนโฮเขาต้องทำแผล”
เจ้าตัวเองก็ไม่ได้รู้ตัวด้วยซ้ำจนกระทั่งเขายกมือตัวเองขึ้นมาดูและพบว่ามันมีแผลจริงๆ...
บ้านของยุนโฮก็มีขนาดใหญ่พอตัว สมฐานะผู้อำนวยการบริษัทของพ่อแต่ห้องที่ทุกคนในบ้านเรียกว่าห้องนั่งเล่นก็ไม่ได้ใหญ่โตเท่ากับห้องนั่งเล่นในบ้านของคุณแจจุงเลย อย่างดีก็อาจจะแค่สองในสามเท่านั้น แล้วพอมันเป็นห้องใหญ่ๆ แบบนี้แต่พวกเขาอยู่กันตามลำพังก็เลยยิ่งรู้สึกว่าบรรยากาศมันช่างเงียบยิ่งกว่าที่เคย อย่างน้อยวันนี้คุณแจจุงก็ไม่ยิ้มเลยตั้งแต่ที่ได้เจอกัน พวกเขาทักทายกันอย่างธรรมดา คุณแจจุงเองก็ไม่ค่อยพูดอะไร ยังก้มหน้าก้มตาทำแผลให้เขาอย่างตั้งใจ
แผลยาวประมาณหนึ่งเซนติเมตรเท่านั้นแต่เลือดออกอยู่ตลอดคุณแจจุงต้องห้ามเลือดอยู่พักหนึ่งทีเดียวกว่าจะยอมหยุดได้
“คุณทำแผลเก่งนะครับ”
เขาชวนคุย ในขณะที่คุณแจจุงกำลังฉีกพลาสเตอร์ออกจากซองตอบเขาเบาๆ
“ไม่ได้บอกไปแล้วหรือว่าคุณแม่บุญธรรมของฉันเป็นหมอ”
“ไม่เห็นเคยบอกเลยครับ”
“ถ้าอย่างนั้นก็ถือว่าบอกแล้วนะ เอ้า เสร็จแล้ว...ยังเจ็บอยู่หรือเปล่า”
“ไม่ครับ สบายมาก”
“ฉันต้องขอโทษแทนทั้งสองคนนั้นด้วยที่ไม่ทันไรก็เสียมารยาทกับคุณอีกแล้ว”
“ไม่เป็นไรหรอกครับ ผมคงดูไม่ค่อยน่าไว้ใจสำหรับพวกเขา”
“เจ้าพวกเด็กไม่รู้จักโต…”
“ไม่เป็นไรครับคุณแจจุง ผมไม่ได้ถือสาอะไรเลย”
“ฉันออกไปทันได้ยินชางมินขึ้นเสียงกับเธอพอดี”
“แต่ผมไม่ได้ถือสาเลย...จริงๆ นะครับ”
เจ้าของบ้านพยักหน้าช้าๆ พยายามทำใจให้สบายกว่าที่เป็นอยู่ ไม่อยากรับแขกทั้งที่อารมณ์ยังขุ่นมัวอยู่แบบนี้เลย
“คุณแจจุงครับ”
“หืม”
“ทีมสารคดีของผมถามผมว่าตกลงคุณจะให้สัมภาษณ์กับเราหรือเปล่า ผมบอกว่าคุณปฏิเสธไปนะครับ”
“บอกว่าฉันปฏิเสธไปแล้วแต่เธอก็ยังมาที่นี่อยู่อีกน่ะหรือ”
“ครับ...อย่างที่ผมบอกไป ผมอยากฟังเรื่องของคุณ”
เจ้าของบ้านยิ้มได้อีกครั้ง
“ฉันดีใจนะที่มีคนแบบเธอ ถึงจะยังไม่ได้รู้จักกันมากกว่านี้แต่เท่าที่เห็นก็พอรู้ว่าเธอเป็นคนน่าคบหาดี”
“ขอบคุณครับ”
“ว่าแต่...ไฝเล็กๆ ที่ปากนี้เป็นกรรมพันธุ์หรือเปล่า”
“เอ๊ะ? อา...ใช่ครับ จากฝั่งแม่น่ะ แต่แม่ไม่มีนะครับ...แม่บอกว่าคุณยายมี น้องสาวผมก็ได้ไปด้วย”
“ตอบก็ตอบไปสิ...เธอมายิ้มอะไรให้ฉันแบบนั้น”
“ไม่มีอะไรครับ ผมแค่คาดไม่ถึงว่าคุณจะสังเกตมันด้วย”
“คนๆ นั้นก็มีแบบนี้เหมือนกัน...เธอจะอึดอัดหรือเปล่านะถ้าฉันจะพูดอีกว่าเธอกับเขาเหมือนกันมาก”
“ไม่เป็นไรหรอกครับ”
“ฉันกลัวว่าจะทำให้เธออึดอัดน่ะ เป็นใครก็คงไม่ชอบใช่ไหมเวลาที่มีใครมาบอกว่าเธอเหมือนคนอื่นซ้ำๆซากๆ”
“อืม...ตอนเด็กๆ แม่บอกว่าผมดูเหมือนดาราตลกคนนึงมาก ผมไม่ชอบเลย เวลาแม่พูดก็หน้าบึ้งใส่ทันทีเลยครับ ก็นะ...แม่หมายถึงดาราตลกจริงๆ ถ้าบอกว่าเหมือนพระเอกดังๆ ล่ะก็ไม่มีปัญหาเลย”
คุณแจจุงปิดปากหัวเราะเบาๆ อีกครั้ง
“ไม่มีหรอกนะ ดาราตลกที่หล่อขนาดนี้น่ะ”
“เดี๋ยว! คุณเพิ่งจะชมว่าผมหล่อหรือครับ”
“วิคเตอร์น่ะหล่อที่สุดในเมืองแล้ว ฉันบอกว่าเธอดูเหมือนเขามาก…มันก็แปลว่าอย่างนั้น”
ยุนโฮตั้งใจฟัง เขาฟังไปพร้อมๆ กับสังเกตอากัปกิริยาของคุณแจจุงไปเรื่อยและพบว่าระหว่างที่พูดถึงคุณวิคเตอร์ที่บอกว่าเหมือนกับเขานักหนาทีไรก็จะพูดไปยิ้มไปตลอดเวลา
“ขอบคุณนะครับ”
“จริงสิ ชาร้อนหน่อยไหม”
“ก็ดีครับ”
ระหว่างที่มองดูเจ้าของบ้านจัดแจงรินน้ำชาให้ ยุนโฮก็สังเกตเขาไปด้วยอย่างจงใจ คุณแจจุงคนนี้ไม่ว่าจะมองยังไงก็ดูไม่เหมือนคนอายุสี่สิบแล้วเลยสักนิด ทั้งผิวพรรณ รูปร่าง แล้วก็บุคลิกท่าทางทั้งหมด วันนี้เธอไม่ได้ใส่แว่นสายตาเหมือนครั้งก่อนก็เลยได้เห็นตาสีแปลกของเธอได้ชัดขึ้นแล้วก็ดูเหมือนว่าเธอจะเล็มผมด้านหน้าออกนิดหน่อย แต่มันก็ยังยาวอยู่ดีจนต้องจับมาทัดหูแก้รำคาญอยู่บ้างในขณะที่คุยกัน
เธอสวมเสื้อไหมพรมสีขาวกับกางเกงขายาวขณะที่อยู่ในบ้าน แต่เขาสังเกตว่าตรงประตูเข้าบ้านเมื่อครู่นี้มีเสื้อโค้ทสีเบอร์กันดีแขวนอยู่ด้วย
“วันนี้อากาศดีนะครับ”
“นั่นสิ ฉันก็ชอบเวลาที่มีแดดแบบนี้เหมือนกัน”
“ผม…”
ยุนโฮพูดออกมาอย่างเป็นกังวล ท่าทางที่เขาเอามือถูต้นขาตัวเองไปมานั่นก็บอกได้อย่างดีว่าเขาเป็นแบบนั้น
“ไม่รู้จะจะถามอะไรคุณแล้วล่ะครับ”
“หืม?”
“คือผมคิดมาตลอดทางแล้วว่าวันนี้ผมควรเริ่มคุยกับคุณแบบไหน จะชวนคุณพูดถึงอะไร แต่ก็คิดไม่ออกจริงๆ ครับว่าต้องถามยังไง ถามแบบไหนถึงจะดูไม่เป็นการละลาบละล้วงคุณจนเกินไป”
“ไม่คิดจะลองถามกันก่อนหรือ”
“ได้หรือครับ”
แจจุงพยักหน้า
“ถ้าอย่างนั้น...วัยเด็กของคุณ เป็นยังไงครับ”
“วัยเด็กน่ะหรือ”
“ครับ”
“อืม…ก็...”
คุณแจจุงคิดพลางมองไปทางอื่น ก่อนจะค่อยๆ พูดออกมา
“หลังจากเกิดเรื่อง ฉันกลายเป็นเด็กกำพร้าทันที… ก็ลำดับเรื่องไม่ค่อยแน่นอนหรอกนะ แต่คุณแม่บุญธรรมที่เป็นหมอแล้วก็เป็นผอ.โรงพยาบาลนั้นรับฉันไปเลี้ยง ท่านคุ้นเคยกับพ่อแม่ฉันดี...แล้วก็เมตตาฉันมากพอที่จะดูแลทั้งฉันแล้วก็ดูมรดกของพ่อกับแม่ให้ฉันด้วย”
“คุณเป็นเด็กแบบไหนครับ”
“ฉันเป็นเด็กปกตินั่นแหละ แต่ถึงจะยังเด็กก็ไม่ได้สนุกไปหมดทุกเรื่องหรอกนะ ตอนนั้นบางคนก็กลัวฉันที่มีตาสีนี้ พ่อแม่เด็กบางคนไม่ให้ลูกมายุ่งกับฉัน...เขาโกรธที่ฉันเป็นลูกของพวกโซเวียต พวกคอมมิวนิสต์จอมยุยง ทั้งที่ตอนนั้นฉันยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าคอมมิวนิสต์แปลว่าอะไร บางคนบอกว่าเพราะคนทางพ่อฉันนั่นแหละที่ทำให้มีการแบ่งเหนือใต้อย่างทุกวันนี้ แต่ฉันจำได้นะว่าเวลาที่อยู่กับคุณพ่อน่ะฉันคุยแต่เรื่องนิทานที่ชอบ ดาวที่ชอบ...ฉันยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าทางเหนือก็มีคนพูดภาษาเดียวกับพวกเราอยู่ด้วย”
“คุณอยู่ที่ไหนหรือครับ”
“ไม่ไกลจากตรงนี้...แต่ตอนฉันเด็กๆ เรายังมีที่ว่างตรงเชิงเขามากพอที่จะแบ่งเป็นหมู่บ้าน ทำฟาร์ม ปลูกผัก มีชีวิตที่ถึงจะไม่สะดวกเท่าทุกวันนี้ แต่ก็สบายใจกว่ากันเยอะทีเดียว...ฉันยังจำวิวและถนนคอนกรีตเส้นเล็กๆ ที่ฉันใช้ปั่นจักรยานไปโรงเรียนทุกวันได้อยู่เลยนะ อย่างกับภาพวาดแน่ะ”
“ได้ยินว่าคุณได้ทุนเรียนจากรัฐบาลด้วย ไม่สิ ไม่ใช่ได้ยิน ผมอ่านเจอจากในเน็ตต่างหาก”
“อย่างน้อยข้อมูลก็ถูกอยู่บ้างก็แล้วกัน...พวกเขาบอกว่า พร้อมที่จะส่งฉันไปที่โรงเรียนที่ดีที่สุด มหาวิทยาลัยที่ดีที่สุด แต่ฉันเลือกที่จะอยู่ที่นี่เอง”
“ทำไมล่ะครับ”
“เพราะตอนนั้นฉันรู้สึกว่าฉันไม่รู้อะไรมาก ก่อนจะไปโรงเรียนที่ดีที่สุดที่ว่าฉันยังแทบไม่รู้อะไรสักอย่าง ดังนั้นฉันจะไม่ไปเป็นคนโง่ที่นั่นหรอกหนุ่มน้อย...ฉันยังไม่รู้เลยว่าสักวันฉันจะถูกฆ่าบ้างไหม เพราะฉะนั้นฉันจะไม่ไปไหน ฉันบอกสั้นๆ ว่าฉันจะอยู่ที่นี่แล้วก็วิ่งหนีขึ้นไปคลุมโปงอยู่ในห้องนอน ถึงคืนนั้นจะถูกคุณแม่ดุก็คุ้มดี เพราะคนพวกนั้นก็ไม่มาอีกเลย”
‘น่ารัก’ ยุนโฮนึกภาพคุณแจจุงที่ยังเป็นเด็กแล้วก็ทำตัวแบบนั้นแล้วก็รู้สึกได้อยู่อย่างเดียว นั่นก็คือรู้สึกว่าถ้าเขาได้เห็นเองกับตา เขาคงจะต้องพูดคำว่าน่ารักซ้ำไปซ้ำมามากกว่านี้แน่นอน
“เธอเล่นกีฬาบ้างไหมยุนโฮ”
“ผมเหรอครับ? ก็เคยว่ายน้ำจนถึงม.ปลายน่ะครับ”
“มิน่าล่ะ…ไหล่เธอกว้างมาก”
“รู้ด้วยหรือครับว่านักว่ายน้ำจะมีรูปร่างแบบไหน”
“สมัยเรียนฉันไปดูเขาแข่งว่ายน้ำกันบ่อยๆ ได้เห็นไปเรื่อยๆ ก็ชินตาไปเองว่าพวกนักกีฬาว่ายน้ำจะดูเป็นแบบไหน อีกอย่าง...วิคเตอร์ก็ว่ายน้ำเหมือนกัน”
“ผมเหมือนกับเขากี่อย่างแล้วนะครับนี่”
“ถ้าบอกว่าเธอเป็นลูกชายเขาฉันยังเชื่อเลย”
ยุนโฮหัวเราะ ตอนนั้นเขาสัมผัสถึงความแตกต่าระหว่างวัยได้อีกครั้ง เขากำลังคุยกับคุณแจจุงที่ถ้าเทียบอายุแล้วก็สามารถมีลูกวัยไล่เลี่ยกับเขาได้ด้วยซ้ำไป แต่เขากลับไม่ได้รู้สึกว่าคุณแจจุงห่างเหินหรือเป็นผู้ใหญ่ที่ควรจะก้มหัวให้อย่างสุดตัวเหมือนกับที่เขาเป็นกับผู้ใหญ่คนอื่นๆ
“เธอหล่อเหมือนเขาจริงๆ มองกี่ทีฉันก็คิดแบบนี้”
“เขาคงเป็นคนโปรดของคุณเลยใช่ไหมครับ”
“อื้ม”
“ถ้างั้นผมก็มีความหวังแล้วล่ะ สักวันผมก็คงจะเป็นคนโปรดของคุณได้บ้าง ใช่ไหมครับ”
วิคเตอร์ก็ฉลาดพูดแบบนี้ นี่เป็นเหตุผลให้คุณแจจุงแก้มแดงไปโดยไม่รู้ตัว ในขณะที่เจ้าตัวพยักหน้าให้คำตอบกับชายหนุ่มไปด้วย
“ยูริ…”
วิคเตอร์…“ตั้งแต่วันนั้น ชื่อนี้ก็ติดหูของผมไปเลยนะครับ”
“ถ้าเธอจะเรียกฉันว่ายูริ ฉันก็ไม่ขัดข้องอะไร”
“จริงหรือเปล่าครับ”
“จริงๆ แล้วมันเป็นชื่อที่ค่อนข้างโหลและเชยมากต่างหาก”
“ไม่หรอกครับ มันทั้งเพราะแล้วก็เหมาะกับคุณมากจริงๆ”
“ขอบใจนะ ท่าทางเหมือนเด็กซื่อๆ ของเธอทำให้ฉันอารมณ์ดีขึ้นมาเลย”
“ผมยินดีครับ คุณยูริ”
เจ้าของชื่อยิ้มเขิน ก่อนที่รอยยิ้มนั้นจะค่อยๆ จางหายไปเมื่ออีกฝ่ายเอ่ยคำต่อมา
“แปลกนะครับ”
“อะไรที่ว่าแปลก”
“ตอนแรกที่ผมยังไม่ได้มาเจอคุณ...ผมคิดว่าคุณจะลึกลับกว่านี้ซะอีก”
“ก็แปลว่าฉันยังดูลึกลับอยู่ดีใช่ไหม”
“ก็คุณไม่ออกจากบ้าน ไม่ให้ใครเห็น และไม่ไปพบใคร…”
“ฉันอยู่มาสี่สิบปีแล้ว ชีวิตฉันมีคนจากไปมากกว่าที่มีเข้ามาเสียอีก ฉันคิดว่าถ้ามันต้องเป็นแบบนั้นไปเรื่อยๆ ฉันอาจจะทนไม่ไหว”
“หมายความว่ายังไงครับ”
“ถ้าเธออยู่ในที่ของเธอและไม่ให้ใครเข้ามาวุ่นวาย...เธอจะพบว่ามีแค่เธอคนเดียวที่คอยรับความรู้สึกต่างๆนานา เช่นถ้าเธอไม่ให้ใครเข้ามาหา เธอจะไม่รู้จักเขา เมื่อไม่รู้จัก...พอเขาจากไป เธอจะไม่เจ็บปวดและถ้าหากเธอไม่ออกไปพบใคร ก็จะไม่มีใครผูกพันกับเธอเหมือนกัน...เมื่อถึงเวลาที่เธอไม่อยู่แล้วก็จะไม่มีใครต้องเจ็บปวดเพราะเธอ”
ยุนโฮส่ายหน้า เขาเข้าใจความคิดของคุณยูริ และรู้ว่ามันต้องเป็นอย่างนั้นแน่ แต่อย่างไรในตอนนี้ก็พยักหน้าเห็นดีเห็นงามด้วยไม่ได้เลย
“คุณยูริ…มันคือการปิดกั้นตัวเองนะครับ”
“ฉันปิดกั้นตัวเองเพื่อที่จะไม่ต้องเจ็บปวดและไม่ให้ใครมาเจ็บไปกับฉันก็ดีไม่ใช่หรือไง...สงสารก็แต่ชางมินกับจุนซู ต่อให้แก่ตาย ยังไงฉันก็คงไปก่อนแน่ แล้วเจ้าสองคนนั้นจะเสียใจแค่ไหน...ไม่อยากจินตนาการเลย”
“คุณครับ”
“พอเธอแก่ตัวไป เธอก็อาจจะเห็นด้วยกับฉันก็ได้นะ...ดื่มชาเถอะ อย่าเครียดนักเลย”
ยุนโฮขัดใจที่ถูกปิดกั้นไม่ให้เถียงเหมือนกัน แต่ในตอนนั้นเขาก็ทำอะไรไม่ได้ ด้วยเหตุผลแรกคืออีกฝ่ายเป็นผู้ใหญ่มากกว่าเขา และอีกเหตุผลก็คือเรายังไม่ได้สนิทกันมากพอที่เขาจะพูดอะไรตามใจตัวเองได้
แต่ก่อนที่การคุยกันที่เริ่มต้นด้วยรอยยิ้มจะจบลงไปก่อนเวลาอันควร คุณยูริก็เป็นฝ่ายถามในหัวข้อใหม่ขึ้นมาบ้างหลังจากที่เธอวางถ้วยชาลงกับที่แล้ว
“ขอโทษนะ ฉันอาจจะทำให้เธอรู้สึกอึดอัด พอดีไม่ค่อยได้คุยกับคนอื่นเท่าไหร่”
“ไม่เหงาบ้างหรือครับ”
“ก็ไม่นะ...มีความสุขดี ฉันมีหนังสือดีๆ ให้อ่านเยอะแยะ...หลังบ้านฉันติดทะเลสาบ ในสวนก็มีต้นไม้ให้คอยดูแลเต็มไปหมด ไม่มีเวลาให้เหงาหรอก”
สีหน้าคนฟังดูไม่ค่อยเข้าใจคำตอบนั้นเท่าไหร่ เขาพยายามคิดแล้วว่าถ้าเขาจะต้องอยู่แต่ในบ้าน อ่านหนังสือและมองวิวเดิมๆ จากหน้าต่างอย่างที่คุณแจจุงทำบ้างล่ะก็… คงจะเบื่อน่าดู
“คุณเบื่อไหมครับ”
“ก็มีบ้างนะ เวลาที่มีพวกเพลี้ยกับหอยทากมาวุ่นวายกับต้นไม้ของฉัน”
“ครับ?”
“จริงๆ! มันกำจัดยากเย็นนักนะเจ้าพวกนี้ ครั้งก่อนพิทูเนียสีม่วงของฉันเกือบไม่รอดแน่ะ”
“คุณรักต้นไม้มาก”
“รู้ตัวอีกทีก็เป็นแบบนี้ไปแล้วน่ะ…”
“คงเป็นเพราะว่าเขา--”
“ใช่ วิคเตอร์ก็รักต้นไม้เหมือนกัน”
'ยูริ' ตอบอย่างไม่ลังเล ก่อนจะส่งยิ้มจางๆ บนใบหน้าให้กับชองยุนโฮที่กำลังตกลงไปอยู่ในภวังค์ประหลาดของตนอีกครั้ง...
tbc
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in