เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
I just want to sharegettysburg
เจอเค้าที่ Chicago, USA แยกกันที่ BKK เศร้าค่ด (ช-ช)
  • สวัสดีครับ เรื่องนี้เล่าเพื่อความเศร้า และความอึดอัดของตัวเองล้วนๆ เลยครับ ผมรู้สึกค้างคาอ่ะครับ เลยหาที่ระบาย   ก่อนอื่นต้องบอกว่าผมไม่ใช่ชายแท้นะครับ ใครที่ไม่ชอบกดปิดได้เลยครับ 

    เรื่องเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 19 มกราคม 2561 ผมต้องนั่งเครื่องจาก Chicago, USA กลับมาไทยคนเดียว ในขณะที่ Check-in ที่สนามบิน Ohare ผมก็สังเกตว่ามีคนไทยนั่งกลับด้วยกันได้ -- กลัวเหงาน่ะครับ ฮ่าๆ 

    ขณะที่กำลังต่อคิว ผมเหลือบไปเห็น Passport ประเทศไทย ของพี่ผู้ชายคนหนึ่งใส่แว่น เสื้อโปโลสีชมพู สูงประมาณ 175+ เชื้อสายจีน เข้า GYM ผมสูงประมาณ 170 อ่ะครับเลยเดาได้ แน่นอนครับว่า ผมตกหลุมรักพี่เค้าตั้งแต่ตอนนั้นเลย ฮ่าๆ  พี่เค้าน่ารักครับ  

    เอาล่ะ มีเพื่อนกลับประเทศด้วยกันละ  

    ระหว่างที่ผมเข้า GATE มา ผมมองหาพี่เค้า แต่ก็ไม่เจอครับ ผมเลยไปนั่งดื่ม starbucks สักพักพี่ก็เดินเข้ามาในร้าน เหมือนจะสั่งกาแฟ แต่สุดท้ายพี่เค้าก็ไม่สั่งครับ  แล้วก็เดินออกจากร้านไป ตอนนั้นใจเต้นแรงมากครับ ไม่รู้ว่าเป็นเพราะ cold brew หรือเพราะว่าพี่เค้า   

    Flight ของผม delayed ประมาณ 2 ชั่วโมงครึ่งครับ เนื่องจากพายุหิมะเข้า จริงๆ ผมต้องออกจาก Chicago ประมาณ 11.30 น. แต่ออกจริงๆ 13.00 เลยครับ  ทำให้พอถึงญี่ปุ่น (NRT) จากที่ผมมีเวลาต่อเครื่องประมาณ 3 ชั่วโมง เหลือเพียงแค่ 15 นาที... 

    เอาล่ะ จะตกเครื่องไหม... ลุ้นกันต่อไปครับ 

    พอขึ้นเครื่องมา ผมนั่งริมขวาสุดของเครื่อง ริมทางเดินครับ  ส่วนพี่เค้านั่ง แถวหน้าผม แต่ติดริมหน้าต่างครับ  เอาง่ายๆนะครับ ผมสามารถมองเห็นพี่เค้าทะแยงมุมได้เลยครับ (เขินสึด)

    เครื่องบินลอยบนฟ้า ? ได้สักพัก พี่เค้าก็หลับปุ๋ยเลยครับ หลับอยู่นานมากๆ ข้าวมื้อเย็นมาเสิร์ฟ พีี่เค้ายังไม่ตื่นเลยครับ น่าจะเหนื่อยมากๆ     

    ขอข้ามตรงนี้ไปนะครับ ยิ่งเล่าผมยิ่งกลัวตัวเอง เหมือนเป็นโรคจิตเลย ๕๕๕๕๕ 

    เครื่องกำลังจะ land ที่ NRT   ตอนนั้นผมมีเวลาเพียง 15 นาที ในการวิ่งเปลี่ยน Gate  เอาล่ะครับ จะได้กลับประเทศตัวเองตรงเวลาไหม มาลุ้นกันครับ 

    ตอนต่อแถวออกจากเครื่อง พี่เค้าอยู่หลังผมครับ ตอนนั้นก็เขินมากครับ ๕๕๕  แต่ก็อยากให้พี่เค้ารู้ครับ ว่าเป็นคนไทยเหมือนกัน เลยถามพี่เป็น air ว่า 

    "พี่ครับ ผมจะขึ้นเครื่องไป BKK ทันไหมครับ?"
    "พี่ตอบไม่ได้เหมือนกันค่ะ แต่น่าจะทันนะคะ เพราะทางสายการบินน่าจะรอ เพราะมีผดส. ไป bangkok เยอะอยู่ค่ะ"  
    "น้องต้องวิ่งค่ะ"  
    "ครับ *ยิ้ม*"  

    สักพักมีเสียงจากพี่คนข้างหลัง (พี่ที่ผมชอบนี่แหละครับ) เสียงเพราะมากครับ นี่แหละใช่เลย ขออัดเป็นเสียงนาฬิกาปลุกได้ไหม (ดูหนังมากไป)

    "โทษนะครับ Flight ที่จะไป BKK นี่จะรอ แน่ๆใช่ไหมครับ"  
    "เห็นสายการบินบอกว่าจะรอนะคะ ไม่แน่ใจเหมือนกัน บลาๆ ออกไปจะมี air ground รออยู่ด้านหน้าลองสอบถามดูนะครับ ขอให้ทันนะคะ เดินทางปลอดภัยค่ะ"
    (ในใจผม: สาธุ) 
    "สาธุครับ แหะๆ " พี่เค้าตอบ 

    (เอ้า ใจตรงกันอีก๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕) 

    ตอนเดินออกจากเครื่องบิน ผมก็ไม่รีรอที่จะชวนคุยครับ เพราะผมเชื่อใน YOLO เกิดมาครั้งเดียว เอาไงเอากัน 

    ผม: พี่จะไป Bangkok หรอครับ? 
    พี่: ใช่ครับ 
    ผม: ผมเดินไปด้วยนะครับ...แหะๆ  

    (ในใจ: ไม่เดินแล้ว สึดดดดด ต้องวิ่งแล้วอีก 10 นาที) 

    ใช่ครับ เรา 2 คนวิ่ง สลับเดินเร็ว  ผมเดินตามพี่เค้า พี่เค้าคอยเหลือบมามองผมตลอดเลย เค้าคงกลัวผมเดินตามไม่ทันน่ะครับ เพราะพี่เค้าสับขาไวมาก ๕๕๕๕๕๕๕๕๕  

    วิ่งได้สักพักเจอ Air ground กำลังแจก express connection ใช้เพื่อโชว์เวลาผ่านด่าน เราจะได้ช่องที่ไวขึ้น เหมือน Priority อ่ะครับ  หลังจากผมและพี่เค้ารับใบด่วน เสร็จ  บทสนทนาเราก็เริ่มขึ้นครับ...

    พี่:น้องชื่อ...?   
    ผม: ชื่อ ก. ครับ แล้วพี่ล่ะครับ ? 
    พี่: พี่ชื่อ ก. นะครับ 
    (พี่ ก. น้อง ก.  ก. ไก่เหมือนกันเลย โอ้วววววววววว) 
    พี่: น้องไปเรียนที่เมกาหรอครับ? 
    ผม: เปล่าครับ ผมเรียนที่... (มหา'ลัยดังย่านเชียงราก) ผมมาเยี่ยมญาติเฉยๆ 
    พี่: หืม... (พี่เค้าทำหน้าตกใจ)  พี่ไม่กล้าถามรุ่นเลย พี่จบจาก ที่นั่น มาเหมือนกัน พี่รหัส...
    ผม: จริงดิ (ไม่คิดว่าจะเจอรุ่นพี่เรียนสถาบันเดียวกัน) ผมเรียนคณะ.... (เกี่ยวกับภาษา) พี่จบอะไรมาหรอครับ? 
    พี่: พี่จบเศรษฐศาสตร์ รุ่น...  เรารุ่นอะไรนะ? 
    ผม: (ผมไม่เข้าใจการนับรุ่นของพี่เค้า ) ...ผมเรียนอยู่ปี 2 อ่ะครับ ฮ่าๆ ไม่รู้หมือนกัน
    พี่: ห่างกับพี่รอบหนึ่งเลยนนะนั่น ลังจากพี่จบ ป. ตรี พี่ก็มาเรียนต่อ ป.โท MBA ที่  North Carolina แล้วพี่ก็กลับไปทำงานที่ไทย 
    ผม: (แต่หน้าพี่หน้าเด็กกว่าผมอีก) ฮ่าๆ พี่ไปทำอะไรที่ชิคาโก้หรอครับ?
    พี่: พี่ทำเจรจาธุรกิจน่ะครับ เหมือนมาเช้าเย็นกลับ 
    ผม: ถามจีงงง jetlag แย่เลยดิ 
    (ก็ว่าอยู่ ทำไมอยู่บนเครื่องหลับนานมากกกกก)
    พี่: งงเวลาอยู่เหมือนกัน 
    ผม: ทำไมพี่มาแค่วันเดียวเองอ่ะครับ ไม่อยู่ให้นานกว่านี้
    พี่: อยากอยู่เหมือนกัน แต่นายมาด้วย 
    ผม: น่าเสียดายนะครับ ไม่ได้เที่ยวเลย 
    พี่:ไปเที่ยวไหนมาบ้าง
    ผม: รอบนี้ไปเที่ยวไม่เยอะครับ แต่ 2 ปีที่แล้วไปเที่ยวบลาๆๆ มา 
    พี่: Niagara falls ฝั่งแคนาดาสวยนะ ต้องลองไปดู
    ผม: จริงครับ ผมไม่ได้ขอวีซ่าแคนาดาไว้น่ะครับ 
    พี่: อ๋อ แต่สวยจริงๆ ฝั่งแคนาดา แล้วไปเที่ยงฝั่ง east-coast มายัง?
    ผม: ยังเลยครับพี่ อยากไปอยู่เหมือนกัน 
    พี่: Yosemite ไปตอน Falls สวยมาก ลองไปนะ 
    ผม: งั้นคงต้องอีกทีตอนเรียนจบเลยครับ เพราะ มหา'ลัยปิดช่วง Spring T T 
    พี่:เดี๋ยวพี่เก็บเสื้อก่อนนะ 
    ผม: ครับ *ยืนรอ*
    พี่: เราไปต่อแถวเลยก็ได้ 
    ผม: ครับๆ

    นี่คือบทสนทนาที่เราคุยกันเพียง 4 นาทีครับ ระหว่างที่เดินเร็วมายัง GATE ฮ่าๆ  

    ระหว่างต่อแถวขึ้นเครื่อง... 

    พี่: โตขึ้นอยากเป็นอะไรอ่ะเรา 
    ผม: อืม.... 
    พี่: คำถามไกลไปไหม ฮ่าๆๆ 
    ผม: อยากทำงานบนเครื่องบินครับ 
    พี่: อ่อ Pilot หรือ สจ๊วต 
    ผม: สจ๊วต ครับ 
    พี่: อื้ม.. ภาษาเราก็ได้อยู่แล้ว ต้องเข้าคอร์สอะไรเพิ่มหรือเปล่า 
    ผม: ไม่เคยศึกษาจริงจังเหมือนกันครับ แต่อยากเป็น (เอ้า๕๕๕๕๕) 
    พี่: เวลาในมหา'ลัย 4 ปีไวมากเลยนะ ใช้ให้คุ้มล่ะ อยากทำอะไรทำ  
    ผม: จริงครับพี่ 
    พี่: เห้ออ เลยไม่ได้ซื้อของฝากเลย
    ผม: เหมือนกันครับพี่ เซ็ง ๕๕๕ ไม่ได้ซื้อของฝากให้แม่เลย
    พี่: แม่ฝากซื้ออะไร 
    ผม: เครื่องสำอางค์น่ะครับ 
    พี่: อื้มมม

    กำลังเดินเข้าเครื่อง
    ผม: พี่สุดยอดมากอ่ะ ปกติผมเคยเห็นแต่ในหนังที่มีนักธุรกิจไปทำธุรกิจต่างประเทศ ไปเช้า เย็นกลับ ไม่คิดว่าจะมีแบบนี้อยู่จริงๆ 
    พี่: กูก็ไม่คิดเหมือนกันวะ! ๕๕๕๕ 
    ผม: แล้วพี่เดินทางบ่อยไหมครับ 
    พี่: ปีที่ผ่านมาก็เริ่มเดินทางบ่อยขึ้นนะ 

    เข้าเครื่องมา เดินหาที่นั่ง ใช่ครับ เรา 2 ต้องแยกกันแล้ว 
    พี่: *ยกมือแบบ แล้วเจอกัน*
    ผม: *ยกมือตอบกลับไป* 

    รอบนี้เรานั่งคนละฝั่งกันเลยครับ (เศร้าค่ด)    


    ในระหว่างนั่งเครื่อง 7 ชม. จาก นาริตะ-ไทย ผมนั่งคิดว่า "ผมควรจะขอ contact พี่เค้าไว้นะ ไหนๆเราก็ได้รู้จักกันแล้ว แม้พี่เค้าจะปฏิเสธ อย่างไงก็ลองแล้ว ยังดีกว่าไม่ทำอะไรเลยแล้วรู้สึกเสียใจในภายหลัง... "


    ณ ประเทศไทย  

    ขณะที่กำลังต่อแถวออกจากเครื่อง ผมรอโอกาสที่จะได้พูดคุยกับพี่เค้าอีกครั้ง พี่เค้าเดินเร็วมากๆ แต่ผมก็วิ่งตามครับ เพราะผมอยากคุยกับพี่เค้าอีก ๕๕๕ จนมาถึงที่ สแกน Passport ครับ  

    จุดรับกระเป๋า... 

    ผมได้เจอพี่เค้าอีกครั้งครับ พี่เค้ากำลังคุยโทรศัพท์มือถือ ดูเหมือจะเป็นสายสำคัญซะด้วย แต่อย่างไรก็ตาม ผมขอแค่ได้คุยเป็นครั้งสุดท้าย   

    ผมยืนรอกระเป๋า  พี่เค้าก็คุยโทรศัพท์พร้อมรอกระเป๋าของพี่เค้าด้วย 

    กระเป๋าพี่เค้ามาก่อนผม 

    พี่เค้ากำลังจะเดินออกไป... 

    ผม: พี่ก. ครับ *ยกมือไหว้* ขอบคุณพี่มากนะครับ 
    พี่: เอ้า... พี่ไม่เห็น

    ท่าทางพี่เค้ารีบมาก ผมไม่แน่ใจว่าแฟนเค้าอาจจะรอรับอยู่หรือเปล่า 

    พี่: แล้วเจอกัน เดี๋ยวพี่เอากระเป๋าไปเคลมก่อน 

    นี่คือบทสนทนาสุดท้ายของผมกับพี่เค้าครับ

    พี่เค้าเดินออกไปแล้วครับ ผมไม่กล้าแม้แต่จะถาม contact เพราะพี่เค้าดูรีบมาก  
    หลังจากผมเดินออกมา หลังจากได้กระเป๋าของผมครบ 

    ผมไม่เจอพี่เค้าเลยครับ พี่ที่ใส่เสื้อสีชมพูอ่ะครับ 

    ใช่ครับ ผมเศร้า หดหู่ อยากร้องไห้แต่ร้องไม่ออก ไม่มีแม้แต่ contact รู้จักแค่ชื่อ

    ผ่านมา 10 กว่าวันแล้วครับ 

    ผมยังคิดถึงพี่เค้าอยู่เลย

    หวังว่าโลกจะเหวี่ยงให้เรามาเจอกันอีกครั้งนะครับ  


    น้อง ก. 

     







      




Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in