เราหยิบหนังสือเล่มนี้มามั่วๆจากชั้นหนังสือที่คิโนะคุนิยะเมื่อนานมาแล้วแล้วก็เปิดไปกลางเล่ม อ่านไปหนึ่งย่อหน้า แล้วก็ตัดสินใจจ่ายตังเลย จริงๆแล้วนี่ก็คือวิธีเลือกหนังสือตามปกติของเราน่ะแหละไม่มีอะไรพิเศษ ที่เราเลือกซื้อหนังสือแบบนี้เพราะเคยคุยกับเพื่อนมานานแล้วว่าบทแรกย่อหน้าแรกมักหลอก คนเขียนมันต้องคิดมาดีแล้วว่าเนี่ยคมชัวร์ เปิดกลางเล่มสิ จะได้เจอของจริง ถึงมันสปอยก็จำไม่ได้หรอกเพราะกว่าจะอ่านจบก็ลืมแล้ว
ชื่อคนเขียนอ่านว่า ปีเตอร์ ฮิ้ว
Høeg แปลว่า hawk (เท่ปะล่ะ)
สำหรับใครที่หาซื้อเวอร์ชันแปลของ US หนังสือใช้ชื่อว่า Smilla's Sense of Snow
เราใช้เวลาอ่านหนังสือเล่มนี้นานมาก นานแบบปกติเรื่องนี้ใช้เวลานานขนาดนี้และไม่ต่อเนื่องขนาดนี้เรามักจะเทไปแล้ว แต่จริงๆแล้วที่ใช้เวลาอ่านนานส่วนหนึ่งเพราะว่าเราไม่ค่อยแคร์พล็อตเรื่องตอนกลางๆเท่าไหร่ แบบไม่ได้รู้สึกว่าฉันต้องอ่านให้จบคืนนี้!! แถมกลับมาอ่านเมื่อไหร่ก็ต่อติด แล้วเราก็ตั้งใจจะอ่านให้จบด้วยเลยเข็นมาได้นานขนาดนี้
จริงๆก็ลืมตลอดว่านิยายเรื่องนี้นับเป็นหมวดสืบสวนสอบสวน เอาเป็นว่าเนื้อเรื่องคือ มีคนตายแล้วทุกคนไม่เชื่อว่าเป็นคดีฆาตกรรม ตามแบบฉบับมุกดาดๆของนิยายแนวนี้ แต่สิ่งที่ทำให้เราติดใจจากเรื่องนี้คือแม่สมิลล่า (แม่ as in mother not a pronoun)
สมิลล่าเป็นเจ้ลูกครึ่งกรีนแลนด์กับเดนมาร์ก เจ้สูง 160 หนัก 50 เจ้เลยวัยสาวแล้ว จำไม่ได้ว่าอายุเท่าไหร่ แต่เจ้แซ่บ และเจ้โสด เจ้มองโลกในแง่ร้าย ขี้แดกดัน ฉลาดแทบบ้า บู้ก็ได้ ทนหนาวเหมือนเป็นหมีขั้วโลก แต่ก็จริงจังกับงานเป็นนักสำรวจ นักวิจัย นักวิทยาศาสตร์ หมกมุ่นเรื่องหิมะและน้ำแข็งเคยได้ยินใช่มั้ยที่บอกว่าภาษากรีนแลนดิกมีคำไว้เรียกหิมะเยอะมากมาอ่านเรื่องนี้นี่รู้เรื่องเลย ตอนนี้สมิลล่าเป็นไอดอลของเราอันดับต้นๆในหมวดคาแรกเตอร์หญิงไปแล้ว
ใครที่เก็บกดกับการโดนคนจากเมืองหนาวล้อว่าไม่ทนหนาวเลยแบบเรา อ่านเรื่องนีี้แล้วสะใจมาก เพราะสมิลล่าล้อว่าคนเดนมาร์กไม่ทนหนาวตลอดเวลา รู้สึกเหมือนมีคนแก้แค้นแทน
คนเขียนนิยายเรื่องนี้เป็นชาวเดนมาร์ก บริบทที่เขียนก็ไม่เก่ามากแต่ก็ไม่ใหม่ หนังสือเขียนขึ้นในปี 1992 (เออ จริงๆก็เก่าแหละ เราขอโทษ เราแก่เองก็ได้) ผู้เขียนด่าประเทศตัวเองเหมือนไปแค้นอะไรมา เรื่องที่แซะก็มีตั้งแต่วัฒนธรรม นิสัยใจคอ การเมือง เศรษฐกิจ การล่าอาณานิคม ถ้าเราไม่รู้มาก่อนคงคิดว่าคนเขียนเป็นคนกรีนแลนด์ซะเอง ที่เราประทับใจคือมุมมองที่มีต่อคนกรีนแลนด์ก็ให้เกียรติพอสมควร ข้อเท็จจริงแค่ไหนเราก็ไม่ค่อยรู้หรอก แต่เทียบกับน้ำเสียงที่คนขาวเขียนถึง indigenous people ในหนังสือเรื่องอื่นแล้วเรื่องนี้เราอ่านแล้วไม่รู้สึกแย่อะ
เราชอบรายละเอียดเกี่ยวกับวัฒนธรรมนี้มาก คนไทยและคนจากอีกหลายๆที่บนโลกก็คงรู้เรื่องกรีนแลนด์กันไม่เยอะเท่าไหร่ นี่ไปลองส่องรีวิวใน amazon มา คนก็ดูว้าวกันเยอะ คงเพราะไม่ค่อยมีใครเขียนถึงด้วย มันเลยน่าตื่นเต้นอะ
ขออภัยที่ไม่มี quote ตอนพูดถึงกรีนแลนด์เลย เราไม่ได้ถ่ายรูปเก็บไว้ กลับไปหาก็ไม่เจอแล้ว แหะแหะ
(รีวิวใน amazon ที่ตลกสุดคือบ่นว่าแปลนของเรือในเรื่องนี่มันมั่วมากๆฉันอยู่บนเรือมาทั้งชีวิต นังคนเขียนตอแหลสุด)
เราว่าการสืบคดีในเรื่องนี้เป็นเหมือนแค่จุดเริ่มต้นของเหตุการณ์ต่างๆมากกว่า ความรู้สึกเหมือนดู House MD อะ เราสนใจเคสคนป่วยแค่ซีซันแรกเท่านั้นแหละหลังจากนั้นก็สนุกกับการฟังหมอด่าคนไข้และอีโมไปวันๆ ถ้าใครอยากอ่านเรื่องนี้เพื่อจะลุ้นว่าตอนจบคดีเป็นยังไงละก็
จริงๆมันก็ลุ้นมากอะนะ
ช่วง 50 หน้าสุดท้ายเรานี่กลั้นหายใจอ่าน อ่านไปก็ wtf ในใจไปเยอะมาก แต่พอปูมาขนาดนี้แล้วย่อหน้าสุดท้ายเราไม่ค่อยว้าวยังไงก็ไม่รู้ อาจจะเพราะมีช่วงเวลา mind fucked ไปเยอะมากแล้วจนตอนจบก็คาดหวังมาก ว่ามันต้องคม ต้องพีค แต่ก็ออกมาเด๋อๆ สมเป็นยุค 90 ดี
เหตุผลของตัวโกงอาจจะมุกเดิมๆ แต่มันมีของที่ว้าวอยู่แบบ เห้ย เอาจริงดิ นี่มัน?!?!?!
ใจจริงเราอยากบ่นเรื่องความต่อเนื่องของการเดินเรื่องมาก มีหลายจุดที่เรางงว่ามันมาโผล่ตรงนี้ได้ยังไงวะ แต่เนื่องจากเราก็อ่านๆหยุดๆมานานก็บ่นได้ไม่ค่อยเต็มปากเท่าไหร่ อาจจะผิดที่เราเอง แหะแหะ
เอาเป็นว่า ถ้าใครมองหานิยายอีโมช้ำรักขี้แดกดันที่เอาวิทยาศาสตร์มาสอดแทรกและวัฒนธรรมจากดินแดนที่เราไม่คุ้นมารวมกันเรื่องนี้ตอบโจทย์มากๆ อย่างเดียวที่ไม่ควรคาดหวังคือปมเรื่องการไขคดีเราว่าคนเขียนไม่ได้ให้ความสำคัญเท่าไหร่ ซึ่งเราก็ไม่ค่อยแคร์หรอก บอกตามตรงเราอยากรู้ว่าแม่สมิลล่าจะด่าตัวประกอบที่พึ่งโผล่มายังไงมากกว่า
ความรู้สึกตอนอ่านหนังสือเรื่องนี้มันเย็นชาแต่ก็สวยงามเหมือนหิมะน่ะแหละ ก็สวยดี แต่ขออยู่ด้วยแค่แป้บเดียวละกัน บางช่วงมันหนาวและเหงาจนขอพักปาหนังสือทิ้ง ไว้อ่านต่อวันหลัง เราไม่สู้เราไม่ทนหนาว แต่ก็สวยมากๆเลย เราเป็นคนจำรายละเอียดเหตุการณ์ไม่เก่งอยู่แล้ว แต่จำความเย็นในหนังสือเล่มนี้ได้ขึ้นใจใครชอบอะไรหนาวๆก็เอาเลย มาถูกทางแล้ว ตอนอ่านก็แค่อย่าเผลอลิืมว่านี่เป็นหนังสือสืบสวนสอบสวน ไม่ใช่รวมคำคมยุโรปเหนือแบบเราก็พอ
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in