เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
อ่านสอบวนไปsarail
อ่านสอบวนไป : สอบ Toefl iBT 3 ครั้งก็ยังไม่แตะ 100 Part 1
  •      ข้าพเจ้าเคยบนบานสานกล่าวไว้ว่า หากคะแนนทะลุ target 100+ จะเขียนรีวิว materials ที่ใช้สอบ + คอร์สเรียนต่างๆ ทว่าจนบัดนี้สอบมา 3 ครั้งก็ยังไม่ทะลุเป้า ถือว่าเป็นการนั่งเขียนสรุปความเข้าใจของตัวเองอีกครั้งหนึ่งแล้วกัน

    *หมายเหตุ* บทความนี้ประกอบด้วยภาษาไทยปนภาษาอังกฤษเพื่อให้ผู้เขียนรำลึกถึง keywords ต่างๆ เพื่อจรรโลงใจและทวนความจำ หากทำให้ท่านผู้อื่นไม่พอใจอย่างไรต้องขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วย

    **TOEFL Overview**

    - ง่ายๆคือ Toefl (โท-เฟิล) เป็นหนึ่งในการสอบวัดระดับภาษาอังกฤษที่บริษัท ETS ในอเมริกาจัดขึ้น เพื่อวัดระดับความสามารถการใช้ภาษาอังกฤษของคนต่างชาติ หรือ Non-native Speaker (=คนที่มาจากประเทศที่ไม่ได้พูด eng เป็นปกติหรือเป็นภาษาราชการ) 

    - พวกการสอบมาตรฐานระดับโลกพวกนี้เรียกกลุ่มว่า Standardize Test เช่น IELTS, TOEFL, TOEIC, GMAT, GRE, ITIL, HSK และอื่นๆอีกมากมาย ไม่ได้จำกัดเฉพาะการวัดระดับความสามารถทางภาษา  แต่วัดพวกความสามารถในการคำนวน (เลข) , การ Config Network อะไรงี้ก็มีด้วย บางตัวสอบแล้วได้ประกาศนียบัตร (certificate) ใช้สมัครงานได้เป็นล่ำเป็นสัน

    - กลับมาที่ English Standardize Test ดังๆในไทยจะมีอยู่ 3 ตัว คือ IETLS, TOEFL, TOEIC ซึ่งแยกประเภทตามจุดประสงค์การนำไปใช้งานได้ง่ายๆคือ 
    1) ใช้ยื่นเรื่องเรียนต่อ -> ยินดีด้วย คุณได้เลือกสอบ IETLS / TOEFL
    หรือ 2) ใช้สมัครงานในตำแหน่งที่ require ความสามารถทางด้านภาษา (ไม่จำเป็นต้องเป็นล่ามก็ต้องใช้นะเออ) -> สอบ TOEIC เสียเถิดสหาย

    - ถ้าอยู่ในประเภท 1) ควรจะสอบ IELTS หรือ TOEFL ดี? ข้าพเจ้าเคยสอบมาทั้งสองตัว ข้อสอบทั้งสอบแบบนี้แบ่งเป็น 4 ส่วน คือ Reading, Listening, Writing, และ Speaking เหมือนกัน แต่รายละเอียดในแต่ละพาร์ตจะไม่เหมือนกัน + วิธีทำข้อสอบด้วย 

    ขอจำแนกคร่าวๆดังนี้

    ** IELTS **

    (เรียงตามลำดับการสอบ)
    ++ ถ้าแยกตามความ prefer ของ U จะพบว่าฝั่งยุโรปจะนิยมชมชอบ IELTS มากกว่านะ

    - Listening 
    ++ ฟังเรื่องทั่วไป บทสนทนาทางโทรศัพท์ เช่น การจอง / นัดหมาย / ซื้อสินค้า, บอกทิศทาง / บรรยายแผนที่, โฆษณา , แคมเปญของบริษัท 
    ++ Test Taker จะนั่งรวมกันใน Hall ห้องสอบขนาดใหญ่ โต๊ะยาวแบบ canteen เก้าอี้ครืดคราดบนพรม มีลำโพงใหญ่ๆอยู่ + proctor เดินไปเดินมาคุมสอบ ก่อนเข้าห้องสอบต้องต่อคิวยาวเพื่อฝากของใน locker และถ่ายรูป การสอบจะเป็น Hand Writing ทั้งหมด 

    - Reading 
    ++อ่าน topic ยาวๆประมาณ 2 หน้า A4 แล้วตอบคีย์เวิร์ด ตอนเราทำข้อสอบได้อ่านประวัติเครื่องล้างจานแล้วเติมคำที่เกี่ยวข้อง , เรื่องทั่วไปเช่น ประกาศรับสมัครพนักงาน / ประกาศย้ายที่ตั้งร้าน, โฆษณา 

    - Writing มี 2 ส่วน 
    ++ Part แรกเป็นการบรรยายแผนภาพ / กราฟ / แผนที่ / ตาราง แล้วแต่ดวง เราฝึกทำ Pie Chart กับ Line Graph ไป แต่ในข้อสอบจริงเจอตาราง 2 อันนี่น็อคเลย 5555 

    ++ Part สอง เป็นการตอบคำถามด้วยการเขียน Academic Essay (= บทความเชิงวิชาการ ใช้ภาษา formal, ห้ามใช้ตัวย่อ, มี topic sentence, transition words, example , opinion สุภาพ เป็นกลาง และ ชัดเจน ตรงนี้เราคิดว่าต่างจาก TOEFL นิดหน่อยตรงที่ TOEFL จะเน้น 'specific example + experience' คือเราสามารถใส่ประสบการณ์ส่วนตัวได้ )

    --- break N/A--- 
    ++ตรงนี้แล้วแต่ดวงเลยว่าใครจะว่างขนาดไหน บางคนได้นัดสี่โมงหรือข้ามไปสอบอีกวันเลยก็ดี ตอนแรกเราได้นัดสอบ Speaking 4 โมงกว่าเราเลยนั่งแกร่วอยู่แถวห้องสอบ ปรากฏว่าเขาเห็นว่างๆเลยเรียกเข้าไปสอบก่อนเลย /ฮา..

    - Speaking 
    ++ คุยเรื่องทั่วไปกับคนคุมสอบในห้องเดี่ยวส่วนตัว และขยายความจาก topic เรื่องทั่วไปนั้น การสอบจะเริ่มด้วยการ break the ice คือ ให้เราแนะนำตัวสั้นๆ ชื่อ เรียน/ทำงานอยู่ (รู้สึกว่าคำถามสำหรับคนที่เรียนกับคนที่ทำงานจะได้ต่างกันด้วย) 
    + +ตอนเราสอบได้หัวข้อ Birthday กับ Town 
    ++ การขยายหัวข้อก็จะมีคำถามที่เกี่ยวข้องกับหัวข้อที่เราตอบไป เช่น หัวข้อ Birthday เราได้คำถามว่า คิดว่าการฉลองวันเกิดเป็นเรื่องสำคัญมั้ย ถ้าอายุมากแล้วยังควรฉลองอยู่รึเปล่า ของขวัญจำเป็นรึเปล่า เราประทับใจของขวัญแบบไหน เป็นต้น 

    ข้าพเจ้าซื้อหนังสือเตรียมสอบ IELTS มาพอสมควร พบว่าเล่มสีขาวของ Cambridge ทำให้ทำความรู้จักกับข้อสอบได้ดี แต่ส่วน Listening จะง่ายกว่าของจริง ข้าพเจ้าคิดว่าเล่มสีส้มจะมี Listening ที่พูดรัวเหมือนข้อสอบจริงมากกว่า ส่วนตัวไปสอบสำหรับยื่นคะแนนขอทุน ซึ่ง minimum requirement 6.0 .. 

    คะแนน: (เต็ม 9.0) R 7.0 L 6.5 W 5.5 S 6.5 Overall 6.5 / ขอทุนสำเร็จ แต่ไม่พอสำหรับการเข้ามหาลัยที่ทุนกำหนด ..--- 55555555
    *edit* คะแนน IELTS สอบตอนปี 2014 ตอนนั้นยังไม่มี UKVI 

    **TOEFL iBT** 

    (เรียงตามลำดับการสอบ)
    ++ TOEFL มีการสอบหลายแบบ เช่น PBT (Paper based test) , CBT (Computer based test) ส่วนที่พูดถึงนี้เป็น iBT ซึ่งเป็นการสอบรูปแบบใหม่ของ ETS และได้รับการยอมรับเป็นวงกว้าง บางมหาลัยตอนนี้ไม่รับ PBT, CBT แล้ว
    ++ iBT (internet based test) สอบในคอมทั้งหมด แต่ต้องเดินทางไปสอบที่ศูนย์สอบนะจ้ะ
    ++ ขึ้นชื่อว่า internet แปลว่า หากเน็ตหรือไฟที่ศูนย์สอบไม่เสถียร แปลว่าคุณเจอแจ็คพ็อตแล้วล่ะ
    ++ หลายๆ U ในเมการับแต่ TOEFL ไม่รับ IELTS หรือ รับใน range คะแนนที่ไม่สมดุลกันเลย (เทียบตารางคะแนนได้ที่นี่)

    - Reading 
    ++ ข้อสอบ TOEFL จะต่างกับ IELTS ตรงนี้ เอา Reading ขึ้นก่อน และ Reading ของ TOEFL เป็น Academic Passage ที่กล่าวได้ว่ายากกว่า IELTS มาก สำหรับคนที่ไม่ได้เรียนหรืออ่านหนังสือภาษาอังกฤษแล้ว แทบเป็นข้อสอบที่เดินตัวเปล่าแบบไม่เตรียมตัวอะไรเข้าไปทำไม่ได้เลย หัวข้อใน Reading มีได้หลากหลายมาก ตั้งแต่ประวัติศาสตร์ วิทยาศาสตร์ นวัตกรรม การแพทย์ ศิลปะ จิตวิทยา และอื่นๆ ข้าพเจ้าสอบมา 3 ครั้ง เจอหัวข้อไม่ซ้ำแนวกันเลย ดังนั้นถ้าคิดจะเก็งแนวข้อสอบจริงๆ แนะนำให้อ่าน wikipedia ,Science American News หรือเปิด Discovery Channel ดู / ฟัง บ่อยๆ 
    ++ คำถามแบ่ง set ได้ง่ายๆ คือ ถามความหมายของคำศัพท์, ถามว่าผู้เขียนยกประโยคนี้มาเพื่ออะไร, จากประโยคที่ยกมา สื่อถึงอะไรได้บ้าง (inference), ถามรายละเอียด (ทำให้ท่านไม่สามารถ skim-scan เฉยๆได้), บางทีก็ให้ประโยคยาวๆมาแล้วถามว่าควรจะใส่เพิ่มไปตรงไหนในบทความ, และส่วนที่เราคิดว่ายากที่สุดคือคำถามสุดท้ายของทุก passage จะเป็น summarize question ซึ่งเราต้องจับประโยค 3 อันที่ถูกและครอบคลุม main idea ของ passage มาใส่ (จากตัวเลือก 6 ข้อ).. ซึ่ง.. ได้ 2/3 ตลอดเลยเฟ้ยย อ้ากกกกก 

    - Listening 
    ++ จดเท่านั้น take note สำคัญมาก เนื่องจากหากฟังแล้วแตกฉานจดจำรายละเอียดได้จะไม่จำเป็นต้องจด แต่ Non-native อย่างข้าพเจ้าก็ได้แต่ขูดๆขีดๆกระดาษทดวนไป ฟังไม่รู้เรื่องบ้าง ตก negative words บ้าง (ทำเอาความหมายผิดขั้วเลย).. 
    ++ หัวข้อที่ให้ฟังมักจะเริ่มจากหนุ่มสาวสองคนคุยกัน บางทีมาคุยเรื่องนึงแต่ได้ความรู้เรื่องอื่น /หรือหลุดประเด็นไปอย่างอื่นแทน  ข้อสอบ TOEFL จะแยก speaker ญ - ช เสมอ บ้างก็เป็นนร.-อาจารย์ หรือผู้ช่วยแล็บ เป็นได้หลายอย่าง
    ++ ส่วนถัดมาจะเป็น Academic Lecture เหมือนยกบทเรียนมาจากในห้องเรียน ถ้าคนดวงสมพงศ์ได้เรื่องที่ตัวเองถนัดก็โชคดีไป (ส่วนข้าพเจ้านั้นเจอประวัติศาสตร์ศิลป์บ่อยมาก 5555 /ร้องไห้)

    --- break 10 mins--- 
    ++ ตรงนี้ break ไม่พร้อมกัน เพราะบางคนตั้งค่าหูฟัง / ไมโครโฟน หรืออ่าน instructions นาน ก็จะเลิกไม่พร้อมคนอื่น 

    - Speaking 
    ++ ความร็อคอยู่ตรงที่คนเริ่มไม่พร้อมกันนี่แหละ มันจะมีช่วงที่ทั้งห้องมีแต่ noise กับช่วงผีเดินผ่าน (เงียบทั้งห้อง) ใครพูดอะไรมาตอนนั้นคง concentrate ได้ดี แต่ก็โชว์สำเนียงกันในห้องเลย // อย่างไรก็ตาม ไม่ต้องห่วงไป ทุกคนเครียดกับข้อสอบตัวเองจนอะไรที่คนอื่นพูดมันทะลุหูซ้ายขวาไปหมด 
    ++ พาร์ตนี้เราว่ายากสุด.. ได้ยินมาว่าค่าเฉลี่ยที่โอเคของคนเอเซียจะอยู่ที่ 22/30
    ++ มีคำถาม 6 ข้อ ให้เวลาคิด 15 วิ พูดตอบ 45วิ ตอบกับคอม ร็อคเข้าไปสิ  / ข้อที่ยาวๆหน่อยก็ 60 วิ
    ++ ถามเรื่องทั่วไปคล้ายๆ IELTS แต่ต้องมี specific example เช่น ตัวอย่างจากประสบการณ์ส่วนตัว (ยากส์!) , ถามให้เลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง (พรุ่งนี้สอบแต่ไม่มีความรู้ในหัว คุณจะนอนหรือจะไฝว้อ่านทั้งคืนนั้น?) , ฟังหนุ่มสาวบ่น/ชมเห็นด้วยกับแผนของมหาลัย, ฟังบทเรียนในห้องแล้วสรุป, ฟังหนุ่มสาวมีปัญหาหาวิธีแก้ร่วมกัน -- ว่าไป

     - Writing 
    ++ พิมพ์ในคอมหมดเลยจ้า มี 2 พาร์ต พาร์ตแรกให้อ่านบทความสั้นๆ 3 นาที บทความจะดูดีเป็นเหตุเป็นผลแจกแจงได้ทีละข้อ แล้วฟังอาจารย์พูดแย้งเหตุผลแสนดีพวกนั้นทีละข้อ หน้าที่ของเราคือสรุปว่าอาจารย์ไม่เห็นด้วยกับเหตุผลแต่ละข้อเพราะอะไร // เราว่าพาร์ตนี้ง่าย
    ++ พาร์ตสอง คล้ายๆของ IELTS แต่เน้นประสบการณ์ส่วนตัว + specific example โดยให้เราเลือกตอบจาก choice ที่เขามีให้ เช่น
    - คิดว่านักเรียนที่ประสบความสำเร็จในการเรียนระดับมหาวิทยาลัยมาจากอะไร (แบ็คสมัยมัธยมดี / เพื่อน+ครอบครัวคอย support / มีิติวเตอร์เตรียมเอกสารให้)
    - อะไรที่สำคัญที่สุดที่ควรให้เด็กอายุ 5 ขวบเรียนรู้ (ช่วยเหลือคนอื่น / ซื่อสัตย์ / รับผิดชอบ)
    - รัฐบาลควรสนับสนุนงบประมาณให้งานศิลปะ(Art Musuem / Exhibition/ Music Performance) หรือสาธารณประโยชน์ (Recreational Facilities: public swimming pools, park, etc.) 

    ที่น่าสนใจคือ พาร์ตสองนี่ อาจารย์บางท่านก็แนะนำให้เขียนพอดีกับ words limit 350 คำ บางท่านก็แนะนำให้โซโล่เขียนแบบบ้าคลั่งไปเลย เฉียด 700 ยิ่งดี.. ข้าพเจ้าพบว่าเขียนแบบหลังคะแนนขึ้นมากกว่า แต่ก็อาจจะเพราะตอนสอบครั้งแรกๆ Logic ข้าพเจ้าไม่ค่อยดีด้วยเลยยังสรุปไม่ได้มากนัก ถือว่าเป็นความเห็นจากประสบการณ์ส่วนตัวแล้วกัน

    สรุปคะแนนจากการสอบ 3 ครั้งในปีนี้.. 
    ครั้งที่ 1 - R 21 L 22 S 17 W 22 = Overall 82 
    ครั้งที่ 2 - R 24 L 24 S 17 W 22 = Overall 87
    ครั้งที่ 3 - R 23 L 22 S 20 W 27 = Overall 92
    ครั้งที่ 4 ... to be continued.. 
    เป้าหมายคือ 100+ แต่ดูท่าหนทางจะยังอีกยาวไกล และยังมีสถานี GMAT ทำให้ข้าพเจ้าอยู่ในช่วงเครียดว่าคงยื่น Application ในปีนี้ไม่ทัน .. แต่เรื่องนั้นขอให้เป็นเรื่องของอนาคตแล้วกัน..

    ทั้ง 3 ครั้งข้าพเจ้าสอบที่ Paradigm Language Institute ณ ตึก Alma Link ใกล้ BTS ชิดลม ความร็อคก็ยังมีอยู่ตรงที่การสอบเริ่ม 9.00น. แต่ผู้เข้าสอบต้องถึงที่สอบก่อน 8.30 เพื่อรายงานตัวและฟัง instruction. อนึ่ง Alma Link อยู่ฝั่งเดียวกับ Central ชิดลม แต่ Sky Walk ที่ดิ่งเข้าฝั่ง Central ชิดลม นั้นไม่มีบัันไดเดินลง.. และห้างยังไม่เปิด :D ดังนั้นผู้สอบต้องเดินลงก่อนถึง Central และข้ามสี่แยกนะ 5555
    Paradigm Language Institute @ BTS Chit Lom

    Review / รีวิว : TOEFL ibT Test Center: Paradigm Language Institute (PLI)
    + เปิด 8.00 ไปนั่งรอรายงานตัว + เขียนเอกสารรับทราบข้อตกลงและบทลงโทษ ใช้ตัวพิมพ์ได้
    + ตอนสอบครั้งที่ 2 มีคนเอาบัตรนร.มาใช้รายงานตัว ซึ่งเข้าห้องสอบไม่ได้ ข้าพเจ้าใช้พาสปอร์ตตลอด แต่บัตรประชาชนก็ใช้ได้เหมือนกัน
    + ครั้งแรกที่สอบได้ดินสอ 3 แท่ง กับกระดาษ 3 แผ่น (เปลี่ยนทุกเบรค หรือ ยกมือขอเพิ่มได้) ครั้งล่าสุดให้ดินสอแท่งเดียว เขียนจนกุด ได้เปลี่ยนตอนเบรค ฮึก .. /ชอบดินสอแหลมๆงะ
    + ห้องเล็ก นั่งเรียงแถว 4 แถว (ซ้ายขวาขนาบผนังห้อง และตรงกลางหันเข้าหากัน 2 แถว) ถ้าเดินออกพร้อมกันอาจจะเบียดกันหน่อย แต่ตอนสอบหลังไม่ชนกันแน่นอน จุผู้เข้าสอบได้ประมาณ 15-16 คน
    + แอร์เย็น ถ้าเป็นวันฝนตกจะโหดเป็นพิเศษ
    + มีฉากพลาสติกกั้น แน่นอนว่าไม่กั้นเสียงเท่าไหร่หรอก แต่ถ้า concentrate ดีก็น่าจะโอเค
    + เพื่อนร่วมห้องขึ้นอยู่กับดวง ครั้งแรกที่ข้าพเจ้าสอบเจอคนจีนตะคอกใส่ไมค์จนทุกคนในห้องสติแตก (เชื่อว่าข้าพเจ้าไม่ได้เป็นคนเดียว) ครั้งที่ 3 มีแม่นางที่เข้า Part Speaking ตั้งแต่ตอนที่ข้าพเจ้าเพิ่งเริ่ม Part Listening. มีมิตรสหายเล่าว่าศูนย์สอบที่เชียงใหม่มีแต่คนจีน
    + อุปกรณ์ใหม่ (หูฟัง โต๊ะ คอม คีย์บอร์ด เก้าอี้) แต่หูฟังไม่ใช่ Noise-Cancellation แน่นอน ได้ยินเสียงทุกคนชัดครบค้อนทั่งโกลน
    + เจ้าหน้าที่น่ารัก ใจดี ไม่ยัดเยียดขายคอร์ส
    + ห้องน้ำอยู่ใกล้และสะอาด มี 3 ห้อง (ญ) ในห้องน้ำติดแอร์ด้วย 555 
    + มีที่นั่งรอในศูนย์สอบ เพราะตัวศูนย์สอบเองก็เป็นสถาบันสอนภาษาอังกฤษ
    + ล็อคเกอร์รวม เป็นตู้สีขาวในห้องสอบ เปิด-ปิดทีเสียงค่อนข้างดัง หากเมตตาเพื่อนร่วมห้องสอบกรุณาอย่าปล่อยประตูตู้ปิดเองตามแรงโน้มถ่วง
    + มีน้ำ+ขนม+ของว่างขายนิดหน่อย ราคาไม่แรง
    + ข้าพเจ้าไปจาก BTS ตลอดเลยไม่เคย survey ที่จอดรถ
    + ศูนย์สอบอยู่ชั้น 2 ไม่มีบันได ต้องขึ้นลิฟต์แม้จะแค่ชั้นเดียว
    + ก่อนมาสอบข้าพเจ้าสอบถามจนท.ทาง facebook เกี่ยวกับการเดินทางและขอไปดูห้องสอบก่อนวันจริง จนท.ก็ซัพพอร์ตดี 
    / รวมๆแล้วอยากสอบที่นี่อีก แต่ปัญหาคือเต็มยาวไปถึงตุลาฯ โอ๊ย ทำไงดีเนี่ย /ร้อง
    หากได้เขียนเอนทรี่ครั้งต่อไปจะเขียนเรื่องหนังสือที่ใช้อ่าน , คอร์สเรียน 
    แต่ถ้าขี้เกียจหรือเฟลหนักก็อาจไม่มีสักอย่าง
    ขอให้ทุกท่านโชคดีกับการสอบ
    sarail

    อ่านสอบวนไป : สอบ Toefl iBT 3 ครั้งก็ยังไม่แตะ 100 Part 2
  • ความเดิมตอนที่แล้ว: เปรียบเทียบความแตกต่างของ TOEFL - IELTS + Review ศูนย์สอบ
    Summary ของตอนนี้: สอบ TOEFL ครั้งสุดท้าย + IELTS UKVI Computer-based

    ตอนแรกก็ลืม account minimore ไปแล้วเลยไม่ได้กลับมาอัพเลย มู้ดตอนเขียนคราวที่แล้วก็หดไปหมดแล้ว เพราะงั้นจะสรุปสั้นๆ (...)

    สุดท้ายสอบ TOEFL ได้ 103 คะแนน และเปลี่ยนสถานที่สอบจาก Paradigm เป็น MUIC มหิดลอินเตอร์ฯ
    ส่วนที่คะแนนขึ้นมาคือ Reading + Listening ส่วน Writing ที่เคยแข็งสุดกลับคะแนนตก (ฮา) อาจจะเพราะโฟกัสกับการเขียนให้เยอะเกินไปจนลืมเรื่องโลจิค แต่ก็ผ่านมาแล้ว ไม่สอบใหม่แล้วเฟ้ย!

    Review ศูนย์สอบ MUIC
    + แอร์เย็น ห้องกว้าง โต๊ะ Partition ตัวละประมาณ 4-5 คน หูฟังใช้งานมาพอสมควรแต่เสียงโออยู่
    + คุณภาพการบริการในห้องดี เจ้าหน้าที่ดูเหมือนเป็นนักศึกษาจ้างมา ยังมีจุดที่ไม่ค่อยแน่ใจตอนตรวจเท่าไหร่ 
    + ใครเข้าห้องสอบก่อนก็เริ่มทำได้เลย
    + มีล็อคเกอร์เล็กๆฝากของหน้าห้อง มี 7/11 อยู่หน้า ม.
    + มีห้องน้ำใกล้ห้องสอบ ห้องน้ำตามมาตรฐานมหาลัย
    + ผู้ร่วมสอบส่วนใหญ่เป็นนักศึกษากับนักเรียนมัธยม
    + ม. มีที่จอดรถมากมาย ต้นไม้เยอะ (คราวนี้ไปรถส่วนตัว)

    ------------------------

    สรุปว่าสอบ TOEFL ซ้ำแล้วซ้ำเล่า ทว่า.. มหาลัยที่ข้าพเจ้ายื่นคะแนน require IELTS ค่าาา /ร้องหั้ยย

    เนื่องจากคะแนนเดิมที่ได้ 6.5 สอบไว้นานจึงหมดอายุแล้ว คราวนี้สอบอีกรอบก็ยังได้ 6.5 อยู่ดี ก็เลยคิดว่าบางทีเราอาจจะไม่เหมาะกับสอบแบบเขียนๆ เลยสมัครสอบแบบคอมฯไป เป็น IELTS UKVI Internet Based ของ IDP

    อนึ่งที่คราวนี้สอบแบบ UKVI เพราะว่าเผื่อไว้ ในกรณีที่คะแนนเราไม่ถึง Minimum Requirement ของทางมหาลัย แต่ส่งรายละเอียดอื่นๆสมัครไปแล้วมหาลัยเห็นว่าเรามี Potential เขาอาจจะให้ Conditional Offer มาไปเรียนภาษาเพิ่มก่อนเปิดเทอม ซึ่งการขอวีซ่าไปเรียน Presessional Course เนี่ยต้องใช้คะแนนสอบแบบ UKVI ที่แพงกว่าปกติประมาณ 3-4 พัน เราก็เลยจัดทีเดียวเลย (...) ถ้าใครที่คิดว่าคะแนนตัวเองผ่านคล่องสบายๆก็สอบแบบเดิมได้นะ

    Review ศูนย์สอบ IELTS UKVI Internet Based ที่ IDP Center ตึก FYI
    - ห้องเล็ก สอบประมาณ 6 คน
    - Listening, Reading, Writing ทำในคอมฯหมด
    - Speaking ที่ศูนย์ในวันเดียวกันช่วงบ่าย จะมีห้องเล็กๆอีก 3 ห้องของ proctor
    - ห้องน้ำอยู่นอกศูนย์สอบ อยู่ในชั้นเดียวกัน มีสองจุด แต่ตึก FYI ทั่วไปเป็นตึกออฟฟิศทำงาน จ-ศ ก็จะร้างๆหน่อย
    - มีที่ฝากของ น้ำขวดฟรี
    - ชั้นล่างของตึกมีร้านอาหารหลายร้าน
    - ผู้ปกครองนั่งรอได้ มีที่จอดรถ
    - มาจากรถไฟใต้ดินสะดวกสุด
    สอบคราวนี้ได้ 7.5 ... ส่วนตัวเราคิดว่าคอมฯมีผลมากๆเพราะเวลาไปสอบแบบเขียนมือกับ British Council เรารู้สึกว่าเขียนไม่ทัน อ่านไม่ทันเลย การทำในคอมนี่จะ Highlight หรือ mark ข้อความ,คำถามกลับไปทำใหม่ก็ได้ด้วย แต่ถ้าเป็นคนที่ปกติไม่ได้ทำงานในคอมหรืออ่านหนังสือในคอมแล้วปวดตาอาจจะไม่เหมาะ

    ที่สำคัญคือวันสอบกับคอมมีน้อยมาก ต้องจองล่วงหน้าดีๆน่อ

    เนื่องจากทิ้งช่วงไปนานเลยลืมไปแล้วว่าควรจะเขียนอะไรบ้าง ถ้าสงสัยตรงไหนก็สอบถามมาได้ค่ะ


Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in
Ajay (@fb1015472498846)
@notchuek @notchuek เราก็เหมือนกันค่ะ สอบหลายครั้งแล้ว แต่ก็ยังไม่ถึง 100 คะแนนสักที พยายามด้วยกันนะคะ สู้ๆค่ะ
Dim October (@notchuek)
อยากกอดจขพมากเลยค่ะ นี่ไปสอบมาแล้วสามครั้งก็ยังไม่ถึงร้อยเหมือนกัน...
ครั้งที่ 1 ได้ 96
ครั้งที่ 2 87
ครั้งที่ 3 98 (เจ็บปวดมาก)
มาพยายามไปด้วยกันนะคะ Q-Q
sarail (@sarail)
@notchuek โฮฮฮ คะแนนใกล้ความจริงกว่าเราอีกค่ะ แต่เวลาร่วงที่มันน่าเจ็บใจจริงๆ oTL // เดี๋ยวสอบอีกรอบเดือนตุลาค่ะ555