เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
etienne de silhouette180.626.099
กรีดเลือดแขนขวา ไม่เจ็บปวดเท่าเกิดมาในสังคมปิตาธิปไตย
    • เลือดข้น

               ฉันเกิดมาในครอบครัวคนจีน, อันที่จริง จะเรียกว่าเป็นครอบครัวคนจีนก็ไม่ถูกนัก ต้องเรียกว่าบ้านทางฝั่งพ่อเป็นคนจีนเสียมากกว่า แต่ก็แปลกดีที่พอทุกคนรู้ว่าฉันมีพ่อเป็นคนจีน ก็พลอยโมเมไปว่าฉันเป็นคนไทยเชื้อสายจีน โดยที่ไม่มีใครเคยคิดจะถามถึงครอบครัวทางฝั่งแม่เลยว่ามีพื้นเพมาจากไหน เป็นคนไทยอย่างที่หลายคนตีความไปอย่างนั้นหรือเปล่า เหมือนกับว่าการดำรงอยู่ของตัวตนฉันเป็นเพียงหลักฐานการมีอยู่ของสายเลือดที่สืบสายกันมาในตระกูลของพ่อแต่เพียงเท่านั้น มีศักดิ์เป็นเพียงลูกสาวของพ่อ เป็นหลานคนแรกจากลูกชายคนโตของตระกูล เป็นทุกสิ่งที่ครอบครัวฝั่งนั้นต้องการให้เป็น รวมถึงสิ่งที่พวกเขาไม่ต้องการให้เป็น

               หนึ่งในนั้นคือการเกิดมาเป็นเด็กผู้หญิง คงเป็นเพราะด้วยเหตุผลบางอย่าง พวกเขาจึงตั้งความหวังและเฝ้ารอกับการตั้งท้องครั้งต่อไปของแม่มากขึ้นเป็นพิเศษ แม่เคยบอกเอาไว้ว่าจะเป็นลูกสาวหรือลูกชายก็ไม่เคยเกี่ยง เพียงแต่เป็นกังวลถึงความคาดหวังของครอบครัวฝั่งพ่อที่มีต่อเด็กที่จะเกิดมา ในวันที่ได้รู้เพศของเด็กที่อยู่ในท้อง แม่ได้แต่ร้องไห้เพราะไม่กล้าบอกพ่อว่าครั้งนี้ก็ยังได้ผลลัพธ์เหมือนเดิม แม่ถามว่าพ่อว่า ถ้าเกิดครั้งนี้เป็นลูกสาวอีก จะทำยังไง ถึงคำตอบของพ่อจะเป็นคำว่าไม่เป็นไร แต่ลึกๆ ในใจ ฉันและแม่รู้ว่ามันเป็น

               หลังจากที่แม่คลอดน้องสาว ปู่ที่เดิมทีไม่ค่อยชอบใจกับพ่อสักเท่าไหร่ก็ยิ่งดูหมางเมินเข้าไปใหญ่ ประกอบกับปัญหาเรื่องการแบ่งมรดกและการสืบทอดธุรกิจที่ทำให้สถานการณ์ครอบครัวในตอนนั้นตึงเครียดราวกับอยู่ในเรื่องเลือดข้นคนจางเสียอย่างไรอย่างนั้น ติดเพียงแค่ว่ายังไม่มีการฆ่าแกงกันเกิดขึ้น ตัวแม่เองก็มีความคิดจะหย่ากับพ่ออยู่หลายครั้ง ด้วยปัจจัยและความกดดันหลาย ๆ อย่าง ที่คงหนักหนาเกินทน หรือด้วยเหตุผลส่วนตัวก็ไม่อาจทราบได้ แต่สุดท้ายทุกอย่างก็จบลงที่คำพูดของคนรอบตัวว่าเด็กจำเป็นต้องมีพ่อ ครอบครัวจึงจะสมบูรณ์ — ไร้สาระชะมัด ฉันเองก็ไม่ได้จงเกลียดจงชังอะไรพ่อนัก แต่มันคงดีกว่านี้ถ้าแม่มีสิทธิเลือกที่จะแยกทางไม่ใช่หรอ

               มีอยู่หลายครั้งเหมือนกันที่ฉันนึกสงสัยว่าทำไมแม่ถึงต้องถูกผูกยึดติดกับตัวตนของพ่อ ทำไมต้องทำตัวอ่อนน้อม ยอมอยู่ภายใต้อาณัติของเขาเสมอมา มันน่าโมโหไม่ใช่หรือไง ที่ใครต่อใครก็เรียกแม่ว่าภรรยาของพ่อ แต่ในทางกลับกัน เพื่อนของแม่กลับไม่เคยเรียกพ่อว่าสามีของแม่เลย อย่าว่าแต่สิทธิในการให้ลูกใช้นามสกุลเลย เพียงแค่ชื่อยังไม่ถูกเอ่ยถึงเลยด้วยซ้ำ

               แม้ในกระทั่งวินาทีที่พวกเขาตัดสินใจที่จะหย่ากันเป็นครั้งที่ ๒ ฉันที่ยืนกรานว่าจะใช้นามสกุลแม่ กลับถูกเจ้าตัวดุว่าเป็นลูกก็ต้องใช้นามสกุลของพ่อสิ — อะไรกัน ทั้งที่กำลังจะหย่ากันแท้ ๆ ทั้งที่เป็นคนเอ่ยขอสิทธิการเลี้ยงดูลูก แต่ก็ยอมให้ใช้นามสกุลของทางฝั่งนั้นงั้นหรอ การเป็นคนของตระกูลพ่อไม่เห็นจะสมเหตุสมผลตรงไหนเลย ทำไมมีแค่ผู้ชายเท่านั้นล่ะที่ให้ลูกใช้นามสกุลตัวเองได้

               ถ้าอย่างนั้น ในวันหนึ่งถ้าเกิดฉันมีลูกขึ้นมาล่ะ ตัวตนของฉันจะถูกลบออกเป็นเพียงภรรยาของใครสักคนหรือเปล่า หรือเมื่อตายไป จะถูกลบหายจากตระกูลไม่เหลือไว้แม้กระทั่งนามสกุลให้จดจำไหม เหมือนกับที่แม่กำลังจะเป็น

               ความคิดแบบนี้อันตราย แม่เคยบอกเอาไว้

               แต่การยินยอมถูกลบเลือนตัวตนน่ะ อันตรายยิ่งกว่า ฉันได้เพียงแต่เก็บไว้ในใจ ไม่ได้พูดมันออกไป


    • ถึงคุณแม่

               แม่มักจะพูดเสมอว่า ได้เห็นลูกเรียนโรงเรียนหญิงล้วนก็หายห่วง

               แต่ว่าคุณแม่คะ คุณแม่เป็นห่วงหนูจากอะไร

               จากโลกภายนอกที่มันโหดร้าย หรือว่าจากปิตาธิปไตยที่กดหัวผู้หญิงอย่างเราจนจมมิดเท้ากันแน่ ทำไมเด็กผู้หญิงอย่างหนูถึงต้องเป็นฝ่ายระวังตัวเอง ทำไมถึงไม่ใช่เด็กผู้ชายที่ควรเป็นฝ่ายระวังการกระทำ

               คุณแม่คะ ผู้ใหญ่พูดกันอยู่เสมอว่ามีลูกสาวเหมือนมีส้วมหน้าบ้าน พวกเขากลัวว่าลูกสาวของตัวเองจะท้อง แต่ไม่เคยกลัวว่าลูกชายจะไปทำใครท้อง อย่างนี้มันไม่ค่อยจะยุติธรรมเลยนี่คะ

               โรงเรียนเองก็มักจะบอกให้พวกเราระวังตัวจากโรคจิตแอบถ่ายรูป รวมถึงคนสติไม่ดีที่ช่วยตัวเองต่อหน้าพวกเรา แต่การให้พวกเราระวังตัวต่อสิ่งที่อยู่เหนือการควบคุม ไม่นับว่าเป็นการยัดเยียดความรับผิดชอบจากเหตุที่เราไม่ได้เป็นคนก่อไว้บนบ่าหรือ

               คุณแม่คะ ทำไมพวกผู้ใหญ่ชอบพร่ำบอกให้หนูแต่งงานเข้าบ้านผู้ชายดี ๆ สักคน หรือว่าเป็นเพราะพันธะของหนูกับผู้ชายคนอื่นนั้นสำคัญกว่าเสียงของตัวหนูเอง ถ้าหากว่าหนูไม่ใช่ลูกสาวของพ่อ ภรรยาของสามี หรือว่าแม่ของลูก หนูจะยังมีคุณค่าอยู่หรือเปล่า

               โรงเรียนสตรีนั้นบ่มเพาะความไม่มั่นใจในตัวเอง ความกลัวต่อการแสดงออก และความรู้สึกไม่ปลอดภัยให้หนูมากเกินไป จนหนูเริ่มไม่แน่ใจว่าโรงเรียนสตรีมีไว้เพื่อฝึกฝนผู้หญิงให้ใช้ชีวิต หรืออบรมสั่งสอนเราก่อนออกสู่เรือนกันแน่

               ผู้หญิงน่ะ โง่จนสมควรได้รับการสั่งสอนจริง ๆ หรือเป็นหนูเองที่มีอคติต่อการผูกคุณค่าของตัวเองไว้กับคนอื่น เป็นหนูเองไหมนะที่คิดเล็กคิดน้อยมากเกินไป ถ้าหนูเป็นคนไม่คิดอะไรเลย หนูจะมีความสุขมากกว่านีี้หรือเปล่า


    • นักบินอวกาศ

               ครั้งแรกที่ได้ยินเพื่อนร่วมห้องพูดว่าอยากเป็นนักบินอวกาศ พวกเราทุกคนล้วนรู้ดีว่ามันเป็นความฝันที่ไร้สาระ ฟุ้งเฟ้อและเพ้อเจ้อ ไม่ใช่เพราะว่าเธอไม่ได้มีสัญชาติอเมริกา แต่เป็นเพราะว่าเธอเป็นผู้หญิง แหงละ ใครเคยเห็นนักบินอวกาศผู้หญิงบ้าง แต่ถึงอย่างนั้นเราก็เลือกที่จะเก็บความจริงข้อนั้นเงียบเอาไว้ และปรบมือเป็นกำลังใจให้แทน

               จริงอยู่ที่พวกเราได้รับอนุญาตให้มีความฝัน แม้ว่าเป็นฝันที่ไม่ไกลเกินเอื้อม แต่เด็กผู้หญิงอย่างเรา ๆ กลับอยู่รั้งถอยหลังจากจุดที่ยอมรับได้มานิดหน่อย แม้แต่เด็กประถมยังดูออกว่าระดับผู้บริหารในองค์กรยังเป็นผู้ชายมากกว่าผู้หญิง ทั้งที่ในห้องเรียน มักจะเป็นผู้หญิงเสียมากกว่าที่ได้คะแนนอันดับดี ๆ จะว่าด้วยข้ออ้างการเรียนในห้องเรียนไม่ใช่ทุกอย่าง ก็ใช้ไม่ได้กับกรณีนี้หรอก เพศกำเนิดต่างหากที่เป็นใบเบิกทางสำหรับโอกาสต่าง ๆ ให้ รวมทั้งยังเป็นตัวกำหนดอุปสรรคที่กีดขวางเส้นทางประสบความสำเร็จ ไม่จริงอย่างนั้นหรอ? งั้นจะมีลูกชายสักกี่บ้านที่ต้องช่วยพ่อแม่ทำงานบ้านกััน ไม่สงสัยบ้างหรือไง ว่าทำไมภาระงานภายในบ้านทุกอย่างจะต้องตกอยู่กับลูกสาว แต่ก็ไม่แปลกใจหรอกที่ไม่เคยคิดตั้งคำถาม ก็ไม่ได้เป็นฝ่ายเสียเปรียบเองนี่นา

               ฉันเคยถามพ่อ ว่าทำไมไม่เคยช่วยเก็บล้างจานชามเลย ทั้งที่ก็ตัวเองก็เป็นคนกินเองแท้ ๆ เขาตอบกลับแค่ว่า แล้วไม่งั้นจะมีลูกสาวไว้เพื่ออะไร เอาไว้ส่งเรียนหนังสือสูง ๆ ไง ฉันตอบกลับไป แล้วหลังจากนั้นก็ดูเหมือนว่าเขาจะรับผิดชอบเก็บจานชามของตัวเองได้ขึ้นมาทันที ราวกับว่าที่ผ่านมาการปล่อยปละละเลยที่ผ่านมานั้น เป็นเพียงการลองเชิงอำนาจ และความเคารพยำเกรงที่พึงมีภายในบ้าน — หรือไม่ ฉันก็คิดมากไปเอง เหมือนอย่างที่ใครต่อใครเขาพูดกัน

               แต่จะว่าไปแล้วก็ตลกดีนะ ที่งานบ้านและงานในครัวถูกมองว่าเป็นงานของผู้หญิง เชฟมิชชินสตาร์เองก็เป็นผู้ชายไปเกือบครึ่งแล้วไม่ใช่หรือไง ห้าอันดับแรกเองก็เป็นผู้ชายทั้งหมดนี่นา แปลกดีที่ผู้ชายเองก็ทำงานของผู้หญิงได้ ถ้าพวกเขาอยากทำ แต่ผู้หญิงกลับทำงานที่ถูกมองว่าเป็นของผู้ชายไม่ได้ ไม่ว่าจะเก่งแค่ไหนก็ยังคงต้องพยายามพิสูจน์ตัวเองเพื่อลบคำสบประมาทอยู่ดี ดูอย่างนายกรัฐมนตรีหญิงคนแรก (และคนเดียว) ของประเทศสิ โดนด่าสาดเสียเทเสียเลยไม่ใช่หรือไงกัน ถ้ามองข้ามเรื่องความขัดแย้งไป คำด่าส่วนใหญ่ก็เต็มเปี่ยมไปด้วยถ้อยคำกดคุณค่าของเพศหญิงไม่ใช่หรอ น่าสมเพชเสียจริงที่ฉันหัวเสียทุกครั้งที่มีคนเอ่ยถามว่า ผู้หญิงจะบริหารประเทศได้ยังไงกัน แต่กลับไม่สามารถตระหนักถึงปัญหาเดียวกันนี้เมื่อเป็นเรื่องใกล้ตัวได้ หากขีดจำกัดความสามารถนายกรัฐมนตรีนั้นนับว่ายิ่งใหญ่ แล้วนักบินอวกาศล่ะต่างกันตรงไหน

               มาลองนึกย้อนดูแล้ว บางทีถ้าเพื่อนที่อยากเป็นนักบินอวกาศคนนั้นเป็นผู้ชาย ฉันในตอนนั้น อาจปรบมือให้โดยไร้ซึ่งความเคลือบแคลงใจเลยก็ได้นะ ก็ผู้ชายน่ะ น่าเชื่อถือกว่าเป็นไหน ๆ ไม่ใช่หรือไงกัน ถึงจะไม่ได้มีสัญชาติอเมริกาก็เถอะ ยังไงก็คงหาทางเป็นได้อยู่ดี บางทีฉันอาจนึกถึงข้อจำกัดเรื่องสัญชาติไม่ออกเลยก็ได้ ถึงเขาบอกว่าอยากจะเป็นประธานาธิบดีก็คงไม่ดูอวดดีด้วยซ้ำไป ก็เพราะว่าเป็นผู้ชายนี่นา ก็ผู้ชายน่ะ มีทั้งความน่าเชื่อถือ และอภิสิทธิ์ในทุก ๆ เรื่องนะ ถึงแม้จะเป็นแค่เรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ อย่างการวาดฝันก็เถอะ

Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in