“เราจะตายกันตอนอายุเท่าไหร่วะ?”
คำถามเรียบง่าย แต่แฝงไปด้วยความโดดเดี่ยวภายในจิตใจ ถูกส่งออกไปในความเงียบงัน ขณะที่รอบข้างมีเพียงความมืดมิดในคืนเดือนดับ ที่มีเพียงแสงไฟจากตึกฝั่งตรงข้ามให้รู้สึกไม่เหงาจนเกินไป กับสายลมที่พัดเอื่อย ๆ เข้ามา คล้ายพยายามจะโอบกอดเราเอาไว้
ไม่มีคำตอบกลับมา
ไม่ว่าจากใคร หรือสิ่งใดทั้งนั้น มีเพียงความทรงจำสายหนึ่งที่วิ่งวนในหัวของเรา คล้ายม้วนเทปที่เล่นไปข้างหน้าจนสุด ก่อนจะค่อย ๆ ย้อนกลับไปสู่จุดเริ่มต้นอีกครั้ง
เป็นอย่างนี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า คล้ายจะไม่มีจุดสิ้นสุด
ขวดแก้วในมือที่ใครต่อใครบอกว่าสามารถช่วยเยียวยาความรู้สึกในจิตใจของเราได้ กลับไม่เป็นอย่างที่หวัง ความขมที่ปลายลิ้น ไม่ได้เท่าให้เราหยุดคิดถึงมัน แต่กลับยิ่งทำให้กระแสความทรงจำยิ่งไหลไปในทิศทางที่เราเคยหลงลืมไป
ขุดความทรงจำเหล่านั้นให้กลับมาชัดขึ้นเรื่อย ๆ
วันที่ไปโรงเรียนครั้งแรกโดยไม่ร้องไห้ การเดินเข้าโรงหนังด้วยตัวคนเดียว การหัดนั่งกินข้าวคนเดียว ไปเที่ยวในที่ ๆ ไม่รู้จัก และอีกหลาย ๆ ครั้ง ที่ทำมันด้วยตัวของเราเอง โดยไม่มีใครมามีส่วนร่วมในการตัดสินใจ
มันนานแค่ไหนแล้วนะ? ที่เราเริ่มทำอะไรด้วยตัวคนเดียว
มันนานแค่ไหนแล้วนะ? ที่เรารู้สึกโหยหาอะไรบางอย่าง ที่แม้แค่ตัวเราก็ไม่รู้ว่ามันคืออะไร
และก็ไม่รู้ว่านานเท่าไหร่กันแล้ว ที่คำว่า ‘ความตาย’ ไม่ใช่เรื่องน่ากลัวสำหรับเราอีกต่อไป
ไม่รู้ว่าความตายของคนอื่น ๆ เป็นอย่างไรกันบาง แต่ความตายสำหรับเราดูเป็นสิ่งที่สามัญธรรมดาเกินกว่าที่ใครจะคาดคิด
ในทุก ๆ คืน ของช่วงเวลาก่อนเข้าสู่โลกแห่งความฝัน การจินตนาการถึงความตาย กลายเป็นเพื่อนคนสำคัญที่มักจะแวะมาทักทายกันอยู่เสมอ ไม่เว้นแม้กระทั่งในคืนนี้
หากถามใครหลายคนว่าอยากตายตอนอายุเท่าไหร่ เชื่อว่าหลายคนคงอาจจะยังไม่เคยคิดถึงสิ่งนี้อย่างจริงจัง หรืออาจจะอยากอยู่บนโลกใบนี้ให้ได้นานที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้
แต่สำหรับเรา 40 เป็นตัวเลขกลม ๆ ที่เราวางไว้ในใจเสมอมา
ระยะเวลาชีวิตที่เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ค่อย ๆ สั่งสมความเลวร้ายในโลกนี้ให้เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ เช่นเดียวกัน หลายครั้งที่เรามองว่าสิ่งนี้ช่างเลวร้ายจังเลย แต่เมื่อคุณลืมตาขึ้ยมาในวันใหม่ กลับเจอว่าความเลวร้ายของเมื่อวาน แทบจะเทียบไม่ได้กับสิ่งที่คุณต้องเผชิญอยู่ในวันนี้ด้วยซ้ำ
10 ปี ที่อยู่ในบ้านที่เต็มไปด้วยเสียงทะเลาะและข้าวของตกแตก
20 ปี ที่ค่อย ๆ สูญเสียความเป็นตัวเองไปเรื่อย ๆ
30 ปี ที่ก้มหน้าเผชิญกับสังคมและกลายเป็นคนที่ตัวเองในวัยเด็กเกลียด
และ 39 ปี กับการมองเรื่องความตายให้กลายเป็นเรื่องทั่วไป
ครืด ครืด
เสียงสั่นของโทรศัพท์มือถือภายในมือ ที่จำไม่ได้แล้วด้วยซ้ำว่าเสียงรอสายในเครื่องเป็นเสียงอะไรกันแน่ แต่แค่การสั่นสะเทือนก็เพียงพอแล้วที่จะดึงให้กระแสความทรงจำที่ไหลวน กลับเข้าสู่โลกแห่งความเป็นจริงสักที
หน้าจอที่สว่างท่ามกลางความมืดมิด
ตัวเลข 00:00 เป็นตัวบอกว่าได้เวลาของวันใหม่ที่สดใสแล้ว
“สุขสันวันเกิดปีที่ 40” ฉันเอ่ยกับตัวเองอย่างแผ่วเบาด้วยรอยยิ้ม
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in