เสื้อคาร์ดิแกนสีเบจทำให้รู้สึกอุ่นใจมากกว่าความมั่นใจในตัวเองเสียอีก
อย่างหลังนั่นน่ะ เธอแทบจะไม่มีมันเลย แถมเมื่อเทียบอัตราส่วนระหว่างความสบายใจกับความประหม่าทั้งหมดทั้งมวลที่มี อย่างแรกก็ช่างน้อยนิดเสียจนแทบถูกกลืน เธอชอบที่มันไม่เด่น ไม่เป็นจุดสนใจให้แยกต่างจากคนอื่น ไม่ดึงให้ใครหันมามองแล้วตั้งข้อสงสัย ถึงคนอื่นจะบอกว่ามันเชยไม่น่ารักเหมือนอย่างที่พวกดาราบนปกเซเว่นทีนส์ใส่ก็ช่างเถอะ ความทรงจำเกี่ยวกับถ้อยคำล้อเลียนเรื่องชุดกระโปรงสีเหลืองสมัยยังเป็นเด็กน้อยยังฝังใจ และมีอำนาจเหนือความคิดที่จะหยิบจับเสื้อผ้าสีสดใส
ในทีแรกรูบี้บอกตัวเองอย่างมุ่งมั่น – มันจะไม่มีอะไร เธอผ่านอะไรอย่างนี้มาหลายครั้งหลายหนในทุกครั้งที่ย้ายโรงเรียนใหม่ คราวนี้ก็จะเหมือนกัน ความคิดเรื่องหาเพื่อนคนแรกในวันแรกของการเรียนนั่นยังไม่ได้หายไปไหนไกล สิ่งที่ต้องทำคือเลิกอายแล้วเอ่ยคำว่าสวัสดี พอกันทีกับเรื่องปรับตัวยากเหมือนปลาไม่ชินน้ำ
เธอคิดว่าจะทำได้
แต่อย่างที่รู้กันดีอยู่ ใช่ว่าคนเราจะหวังให้อะไรในชีวิตเป็นไปสมใจอยากได้เสียเมื่อไรเล่า เช้านั้นรูบี้เจอแต่เรื่องวุ่นวายอย่างการย้ายตารางสอน มิหนำซ้ำยังมีเรื่องรหัสล็อกเกอร์เจ้าปัญหา (ที่เธอยังแก้ไม่ตกว่าจะทำอย่างไรดี) ราวกับโรงเรียนมีจิตวิญญาณไม่ยินยอมต้อนรับนักเรียนใหม่ยังไงยังงั้น เพราะเรื่องวุ่นพันประการนั้นเอง เธอจึงมาถึงห้องเรียนโดยไม่มีแม้แต่เวลายืนทำใจก่อนเปิดประตู สภาพไม่เรียบร้อยนัก ผมเผ้ากระเซอะกระเซิงหน้าตาตื่นแถมยังหายใจหอบ เสียงที่เปล่งออกจากลำคอตอนถามครูว่าที่นั่งของตัวเองอยู่ตรงไหนคงฟังดูแล้วตลกน่าดู
เรื่องที่จะเข้าไปนั่งเงียบๆ ทำความรู้จักกับคนที่นั่งที่ติดกันอย่างที่ตั้งใจไว้นั้นลืมไปได้เลย ตอนนี้คนในห้องมองเธอเหมือนมาจากโลกอื่น สนใจยิ่งกว่าหนังสือตรงหน้าที่ต้องใช้เรียนเสียอีก รูบี้กลั้นหายใจ หวังให้ไม่มีสายตาคู่ไหนมองมาที่เธอ และเกือบจะหลอนไปเองว่ามีคนหัวเราะ เธอได้แต่ยืนตัวแข็ง ฟังเสียงพูดเรียบเรื่อยของครูวิชาเคมีที่เห็นนักเรียนใหม่ทำอะไรไม่ถูกดังผ่านหู แนะนำตัวแทนเสร็จสรรพว่าควรเรียกด้วยชื่ออะไร เพิ่งจะย้ายมาใหม่กลางเทอมด้วยเหตุผลไหน ก่อนจะชี้มือชี้ไม้ให้เธอเข้าที่นั่งได้เสียที
สิบห้านาทีแรกผ่านไปโดยที่รูบี้แทบไม่ได้ละสายตาจากกระดาษสมุด พื้นห้อง หรือรองเท้าผ้าใบสีขาวของตัวเอง คนที่นั่งข้างๆ เป็นใคร หน้าตาเป็นอย่างไรก็ไม่รู้เธอนึกอยากเห็นอยู่หรอก แต่ก็ไม่กล้าพอที่จะเงยหน้าให้พ้นจากกลุ่มเส้นผมสีบลอนด์ยาวที่ตกระปิดผิวแก้มแดงๆ เพราะความประหม่าที่ประสบเมื่อครู่
มุมปึกกระดาษที่ทิ่มข้อศอกทำเอาสะดุ้งโหยง รูบี้หันหน้าไปมองอัตโนมัติแล้วยกมือยันมันไว้ เห็นคิ้วขมวดๆ กับใบหน้าบูดบึ้งของฝ่ายนั้นแล้ว ก็อนุมานเอาได้ว่าเขาคงพยายามทำแบบนั้นมาหลายที จึงได้แต่ยิ้มจืดๆ ให้ทีนึงอย่างขอโทษขอโพย
“เอาไปเขียนเลย อย่าคิดจะกินแรงกันเชียว”
“อือ” เธอส่งเสียงตอบรับในลำคอสั้นๆยังไม่ทันจะได้ขอโทษอะไร เขาก็หันหน้ากลับไปนั่งเท้าคางอย่างเดิม เลื่อนเฮดโฟนขึ้นแนบหูได้ยินแค่เสียงเพลงงึมๆ ลอดออกมา ทำเหมือนว่าการที่จะมีคนนั่งอยู่ข้างๆ หรือไม่มีใครนั่งอยู่ก็เหมือนกันทั้งนั้นไม่ออกปากถามอะไรแม้แต่นิด
รูบี้ไม่ได้รู้ตัวหรอก แต่เธอก็ยิ้มออกมา ยิ้มทำไมก็ไม่รู้เอาเสียด้วยแน่ะ
พอได้เงยหน้าสังเกตดูดีๆ คนข้างเธอนี่เหมือนถาดสีน้ำที่มีสีหลายสีแต้มอยู่ตรงนู้นทีตรงนี้ทีไม่มีผิด ทั้งน้ำเงินทั้งแดง แต่ให้เลือกที่เด่นสุดคงเป็นเหลืองจากผมบลอนด์เข้มจัด เทียบอย่างง่ายๆ แล้ว คงเกือบจะใกล้กับดอกแดนดิไลออนโดนแดดอย่างนั้นล่ะมั้ง
ในวันนั้นไม่มีคำว่าสวัสดีหรือไถ่ถามกันว่าชื่ออะไร อลัน ไวท์ (ชื่อในกระดาษเขียนมาว่าอย่างนั้น) – เพื่อนร่วมชั้นเรียนคนแรกของเธอพูดสองประโยค ส่วนรูบี้พูดแค่พยางค์เดียว
แต่เธอก็คิดว่ามันเป็นไปได้อยู่หรอกนะ บางทีพวกเขาอาจจะทำความรู้จักกันได้
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in