เสียงดนตรีแจ๊สจากนักดนตรีบนเวทีบรรเลงขับกล่อมบรรยากาศภายในห้องจัดเลี้ยงของโรงแรมหรูใจกลางมหานครลอนดอน ผู้คนชายหญิงในเสื้อผ้าหรูหราล้วนถือแก้วทรงสูงในมือ เดินทักทายสนทนากัน ทุกใบหน้าแต้มรอยยิ้มสดใส
ช่างชื่นมื่นจนน่าสะอิดสะเอียน
“หน้าเป็นตีนเลยนะทอมโม่ ยิ้มหน่อยๆ นี่งานของสถานีเลยนะ ของแดกฟรีเพียบ”
เสียงทักกลั้วหัวเราะมาพร้อมกับไหล่หนาๆเข้ามาชนต้นแขนเบาๆ เรียกคนหน้าบูดหันไปมองหน้า ฉีกยิ้มแบบเห็นฟันทุกซี่ให้
“พอใจยังครับคุณคลิฟฟอร์ด” ถามพลางเลิกคิ้วขึ้นสูงใส่มือกีตาร์ผมสีเขียวมะนาว ไหวไหล่ให้เสียงหัวเราะร่วนจากเพื่อนร่วมวงอีกสองคนที่นั่งเอนหลังล้อมโต๊ะตัวเดียวกัน
ให้วงดนตรีร็อคใส่สูทมาร่วมงานแนวคุณหญิงคุณชาย...ไม่รู้พวกตาแก่บนบอร์ดบริหารคิดอะไรอยู่
ลูอิสกลอกตาอย่างเบื่อหน่าย หันไปถามผู้จัดการวงตัวโตที่เพิ่งปลีกตัวจากวงล้อมของพวกภรรยานักธุรกิจ
“เลียม...เมื่อไหร่ถึงจะกลับได้”
หัวหน้าวงควบตำแหน่งมือกลองเปิดปากถามเสียงยานคาง มีลูกน้องอีกสามหน่อชะโงกมาด้านหน้าอย่างรอคอย
เลียม เพย์นยกนาฬิกาข้อมือขึ้นดู ก่อนถอนหายใจยาว
“ให้มันไม่น่าเกลียด ก็ซักห้าทุ่มแหละ”
“นี่นายล้อเล่นใช่ไหม...” เซน มาลิค นักร้องนำครางเสียงหลง ดวงตาสีน้ำตาลคมใหญ่ช้อนมองคุณผู้จัดการอย่างมีความหวังหากเลียมทำลายมันอย่างไม่ไยดีด้วยการส่ายหน้าช้าๆ
“อดทนหน่อยน่า แปบเดียวเอง” คุณพ่อประจำวงปลอบศิลปินในปกครอง วางมือตบบนไหล่เซน ก่อนจะย้ายขึ้นมาลูบผมสีดำตัดสั้นที่จัดทรงอย่างดี
กิริยาเอาใจใส่เป็นพิเศษนั้นทำให้ลูอิสหันไปสบตากับไมเคิลและคาลัม กระตุกยิ้มรู้กัน ยกแก้วไวน์ในมือขึ้นชนเบาๆ
ทุกคนต่างรู้...ยกเว้นเจ้าตัว
จากยิ้มๆก็ต้องกลับมาชักสีหน้าเหม็นเบื่อเมื่อคุณผู้จัดการวงไม่ละความพยายามที่จะชักชวนให้มีส่วนร่วมในงานเลี้ยง
เหมือนผู้ใหญ่เอาผักให้กินแล้วบอกว่ามันเป็นเยลลี่สีเขียวอย่างนั้นละ
“ใจคอพวกนายจะนั่งอยู่เฉยๆจนกลับเลยหรอ ลุกขึ้นไปทักทายเพื่อนวงอื่นบ้างก็ได้นะ วันนี้ก็มากันเยอะแยะ”
“พวกนั้นก็นั่งเบื่ออยู่โต๊ะเหมือนกันแหละ” คาลัมแย้ง พยักพเยิดไปโต๊ะที่อยู่เยื้องไปทางขวาซึ่งสมาชิกเป็นชายหนุ่มสี่คนที่คุ้นหน้าคุ้นตากันพอสมควรเพราะเป็นวงดนตรีประเภทเดียวกัน กำลังนั่งจับเจ่ากับโต๊ะไม่ต่างจากพวกเขา สองคนจับคู่นั่งคุยกัน คนหนึ่งก็นั่งหมุนแก้วไวน์เปล่าอยู่เงียบๆ ส่วนอีกคนกำลังลุกออกไปจากโต๊ะ
“คนนั้นชื่ออะไรนะที่เชิ้ตขาว” มือเบสสะกิดถามเขา ลูอิสเหลือบมองตาม
“แอชตัน ตีกลอง ที่คุยกันอยู่ก็ไนออล กีตาร์ เหม่อๆหมุนแก้วนั่นลุค เบส แล้วตัวใหญ่ๆที่เพิ่งลุกไปก็แฮร์รี่ ร้องนำแล้วก็กีตาร์อีกคน”
เขาอยากไปจากที่นี่เต็มที
เสียงเพลงแจ๊สบรรเลงต่อเนื่องคาดว่าคงมาจากรสนิยมส่วนตัวของเจ้าภาพงาน
คิดแล้วน่าขันดีแท้...ดนตรีที่ทาสผิวดำเล่นในแหล่งเสื่อมโทรม คลายความทุกข์จากการถูกกดขี่โดยคนขาว แต่วันนี้กลับเป็นคนขาวนำเพลงเหล่านี้มาบรรเลงในงานเลี้ยงสวมหน้ากากของตน
“เดี๋ยวมานะไปห้องน้ำแปบนึง” กระซิบบอกเพื่อนร่วมวง ลุกเดินไปยังประตู ก้าวตามป้ายบอกทางจนถึงห้องน้ำ เสร็จกิจก็ถอนหายใจยาว เมื่อนึกถึงความเบื่อหน่ายอันต้องกลับไปเผชิญอีกกว่าชั่วโมงในห้องจัดเลี้ยง
ชะงักเท้าครั้นเห็นม่านรูดเปิดอยู่ เผยประตูกรุกระจกเปิดออกไปสู่ระเบียงกว้างด้านนอก...ที่มีแผ่นหลังกว้างคลับคล้ายคลับคลาว่าเห็นเจ้าของมันเดินออกไปจากงานจับจองอยู่ก่อนแล้ว
แฮร์รี่ สไตลส์...
ลูอิสหันซ้ายมองประตู สลับกับหันขวาที่เป็นทางเดินปูพรมกลับไปยังห้องจัดเลี้ยง ลังเลอยู่ครู่ใหญ่
แล้วตัดสินใจเปิดประตูก้าวออกไปยังระเบียง
เหมือนเสียงรองเท้าหนังกระทบพื้นหินอ่อนจะรบกวนคนยืนตรงระเบียง ทอดสายตามองสวนแบบบาโรคเบื้องล่างอยู่ตามลำพัง นัยน์ตาคมใหญ่สีมรกตผินมา
ไม่รู้คิดไปเองหรือไม่...ที่แววกร้าวในดวงตาคู่นั้นอ่อนลงเมื่อเห็นว่าเป็นเขา มุมปากหยักเต็มเหมือนบรรจงตวัดวาดยกยิ้มน้อยๆ
“เบื่อเหมือนกันหรอครับลูอี”
เสียงทุ้มต่ำนั้นทำให้เจ้าของชื่อเลิกคิ้ว
“คุณรู้จักชื่อผมด้วยหรอครับ”
“ต้องรู้จักอยู่แล้วสิครับ วงเราเปิดตัวปีเดียวกันนะ”
คำตอบฟังหยอกเย้าลูอิสคลี่ยิ้มรับ รู้สึกว่ามันเริ่มดูแห้งแล้งเมื่อเอ่ยปากขอ
“ขอโทษที่มารบกวนนะครับ แต่ผมขอหลบอยู่ตรงนี้ด้วยแปบเดียวนะ เดี๋ยวก็ไปแล้ว”
เงยหน้าขึ้นสบสานสายตาสีสวย ดวงตาคมนั้นพราวระยับ รับกับริมฝีปากยกยิ้ม เผยรอยบุ๋มข้างแก้ม
เสียงเพลงแจ๊สจากภายในงานดังลอดออกมา จังหวะของมันเร่งขึ้น
แต่มันยังเทียบไม่ได้กับจังหวะหัวใจของเขา
“หลบอยู่ด้วยกันนานๆก็ได้ครับ”
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in