เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
What I watchedpeanutspread
Stronger: ในวันที่หัวใจก้าวเดิน
  • มีสปอยล์จ้ะ

    Stronger เป็นภาพยนตร์ชีวประวัติของ เจฟฟ์ บาวแมน ชายผู้ที่เป็นหนึ่งในเหยื่อระเบิดกลางงานวิ่งมาราธอนในกรุงบอสตันเมื่อปี 2013 โดยที่ตัวหนังจะเล่าเรื่องในช่วงที่เขาประสบเหตุการณ์นี้และเรื่องราวหลังจากนั้น สร้างจากหนังสื่อที่เขาร่วมเขียนกับ เบรต วิทเทอร์ ในชื่อเดียวกับภาพยนตร์ กำกับโดย เดวิด กอร์ดอน กรีน นำแสดงโดย เจค จิลเลนฮาล และ ทาเทียนา มาลาสนี่

    ครั้งแรกที่ได้เห็นรายละเอียดของหนังว่าเจคมารับบทแสดงนำนั้น เราก็เกิดความคาดหวังกับหนังขึ้นมาทันที เพราะเชื่อฝีมือการแสดงของเขามาก ติดตามผลงานของเขามาอยู่ตลอด (และเป็นอีกคนต่อจากลีโอนาร์โดที่เราเชียร์ให้ได้รางวัลออสการ์สักที) และก็ไม่ผิดหวังจริงๆ แต่อาจจะติดอยู่นิดนึงตรงที่เจฟฟ์นั้นอายุ 28 ปี แต่คุณพี่เจคตอนนี้ก็อายุ 37 ปีได้แล้ว อาจมีบางมุมที่ทำให้เจฟฟ์ในเรื่องนั้นดูแก่กว่าอายุจริงไปสักหน่อย แต่ด้วยการแสดงที่ยอดเยี่ยมของเจคก็กลบส่วนนี้ไปจนเราเชื่อได้ว่าเขาคือเจฟฟ์จริงๆ 

    เจฟฟ์เดินทางไปชมงานวิ่งมาราธอนที่บอสตันเพื่อเชียร์อดีตแฟนสาวของเขา เอริน ขณะที่เธอใกล้จะถึงเส้นชัย เสียงระเบิดก็ดังขึ้น ผู้คนแตกตื่นชุลมุนไปทั่ว เขาตื่นมาพร้อมกับข่าวร้ายที่ว่าขาทั้งสองข้างของเขาตั้งแต่เข่าลงไปนั้นถูกตัดออกเนื่องจากเสียเลือดมากจนไม่สามารถทำอะไรได้ ถึงอย่างนั้นเขาก็ได้ให้เบาะแสกับเอฟบีไอทันทีว่าเขาเห็นหน้าคนร้าย จนในที่สุดคนร้ายก็ถูกตามล่าจนเจอ เจฟฟ์กลายเป็นฮีโร่ของบอสตัน ภาพของชายหนุ่มผู้เคราะห์ร้ายที่ถูกเข็นออกจากที่เกิดเหตุถูกพูดถึงและยกย่องในความเข้มแข็งที่สามารถช่วยบอสตันจากภัยร้ายได้

    เจฟฟ์เป็นคนมีอารมณ์ขัน เขาใช้คำพูดเก่ง เห็นได้ตั้งแต่ฉากแรกที่เขาต่อรองขอไปดูการแข่งขันเบสบอลกับหัวหน้าของเขา และฉากที่เขาเรี่ยไรเงินบริจาคกับคนในบาร์ให้เอริน แม้กระทั่งหลังจากที่เขาเพิ่งถูกตัดขามาหมาดๆ เขายังพูดกับเอรินที่นั่งบนเตียงโรงพยาบาลว่า "เฮ้ คุณนั่งทับขาผมอยู่นะ" เขาดูรับมือกับสถานการณ์ได้อย่างดีเยี่ยม

    หลังจากทุกอย่างคลี่คลายลง เจฟฟ์ก็กลายเป็นคนดังประจำเมือง รายการโทรทัศน์ต่างอยากสัมภาษณ์เขา เกมการแข่งขันกีฬาก็ขอให้เขาเข้าร่วม รวมทั้งตอนที่เขาไปสังสรรค์กับเพื่อนก็มีคนเข้ามาขอถ่ายรูป ครอบครัวของเขาต่างพากันปลื้มปิติกับชื่อเสียงข้ามคืนของเจฟฟ์ แต่สิ่งที่ผู้ชมได้เห็นกลับเป็นยิ้มแกนๆ ที่ไม่ได้แผ่ไปถึงดวงตาของเขาเลย จนเรารับรู้ได้ทันทีว่าเขาไม่ได้ยินดีไปกับความสนใจในตัวเขาเลย

    จนเมื่อเขาได้รับเชิญให้ไปโบกธงในเกมสำคัญนัดหนึ่ง เขามองไปรอบๆ สเตเดียมด้วยความหวั่นระแวง ตัวของเขาเริ่มสั่น จนอารมณ์ทั้งหมดถูกระเบิดออกมาขณะที่เขากำลังขึ้นลิฟต์กลับที่นั่ง เขาพูดซ้ำๆ กับเอรินที่เข้ามาดูด้วยความเป็นห่วงว่า "ไม่เป็นไร คุณไปช่วยคนอื่นก่อนเถอะ ผมโอเค ไม่ต้องมายุ่งหรอก" 

    เรามาเข้าใจในครึ่งหลังของเรื่องว่าประโยคที่เขาเอาแต่พูดซ้ำไปมานั้นคือคำที่เขาพูดเมื่อมีคนจะมาช่วยเหลือเขาหลังจากเกิดระเบิดขึ้นแล้ว ซึ่งอาการเช่นนี้เป็นส่วนหนึ่งของภาวะความเครียดหลังจากเกิดเหตุการณ์สะเทือนใจ (PTSD: Post-traumatic Stress disorder) เขายังคงเห็นภาพในช่วงนั้นอยู่เรื่อยๆ มีอารมณ์แปรปรวน ปล่อยปละละเลย ไม่ดูแลตัวเอง ไม่มีแรงใจที่จะไปกายภาพบำบัด เขายังโทษเอรินว่าเป็นสาเหตุที่ทำให้เขาต้องเสียขาไปอีกด้วย

    คนรอบข้างเขาดูเหมือนจะไม่ได้สังเกตเห็นอาการของเจฟฟ์นอกจากเอริน อาจเป็นเพราะภายนอกนั้นเจฟฟ์ยังคงทำตัวเหมือนปกติ สามารถพูดเรื่องตลกเกี่ยวกับขาของตัวเองได้อยู่ตลอด จนคนอื่นคิดว่าเขาไม่ได้รู้สึกเจ็บปวดอะไร แต่นั่นก็คล้ายกับจะเป็นการทำให้ความรู้สึกสูญเสียของเจฟฟ์นั้นยิ่งถูกกดทับไม่ให้แสดงออกมาอีกด้วย

    ในขณะที่คนนอกมองว่าเขาเป็นวีรบุรุษที่น่ายกย่อง แต่เจฟฟ์มองตัวเองว่าเป็นคนพิการคนหนึ่งเท่านั้น เขายอมรับตัวเองในสภาพนี้ไม่ได้ แม้แต่จะเอื่อมไปหยิบทิชชู่หลังจากเสร็จธุระในห้องน้ำเขายังทำไม่ได้เลย

    การที่ผู้คนนำเจฟฟ์ขึ้นมาเป็นสัญลักษณ์ของความเข้มแข็งแห่งบอสตันนั้นน่าจะมาจากความรู้สึกหวาดกลัวของผู้คนกับสิ่งที่เกิดขึ้น จนต้องหาอะไรที่เป็นนามธรรม เป็นสิ่งที่ผู้คนมองเห็นและจับต้องได้ หยิบยกขึ้นมาเพื่อเป็นสิ่งบรรเทาความกังวลของตนเอง เมื่อพวกเขาเห็นว่าอาการของเจฟฟ์ดีขึ้นเรื่อยๆ มีการไปบำบัดและทำขาเทียม ก็เหมือนกับพวกเขาได้เห็นเมืองของตัวเองที่กำลังดีขึ้นตามไปด้วย แต่นั่นก็เป็นเพียงแค่ภายนอกที่พวกเขาอยากเห็นเท่านั้น และอาจเป็นการนำภาระที่หนักอึ้งไปมอบให้กับคนคนหนึ่งที่ผ่านเหตุการณ์สะเทือนใจยิ่งกว่าที่พวกเขาจะจินตนาการได้

    เจฟฟ์ได้สติของเขากลับมาในตอนที่เอรินบอกว่าเธอท้องลูกของเขาอยู่ ในตอนแรกนั้นเขาบอกว่าเขาเป็นพ่อไม่ได้แน่ๆ เขาปฏิเสธที่จะเป็นพ่อคน จนเกิดเป็นฉากปะทุอารมณ์เด่นๆ อีกฉากของเรื่อง การที่เจฟฟ์ถูกทิ้งให้ตะเกียกตะกายกลับขึ้นบ้านด้วยตัวเอง และเอรินทิ้งเขากลับไปที่บ้านของเธอเองนั้นก็เป็นแรงฮึดให้เขาลุกขึ้นมาทำให้ตัวเอง แข็งแกร่ง ดังภาพที่ทุกคนวาดไว้ เพียงแต่เขาไม่ได้ทำเพื่อชาวเมือง เขาทำเพื่อครอบครัวของเขา

    หลังจากนั้นมาแน่นอนว่าทุกอย่างก็ค่อยๆ ดีขึ้น เขาง้อเอรินสำเร็จ เริ่มเดินด้วยขาเทียมได้ และได้ขว้างบอลลูกแรกในเกมของบอสตันเรดซอกส์ที่เขาชื่นชอบ ซึ่งหลังจากที่เกมจบก็ต่างมีผู้คนเข้ามาคุยกับเขาเกี่ยวกับเรื่องที่พวกเขาทุกข์ใจและลุกขึ้นมาสู้ใหม่ได้อีกครั้ง เขาเป็นกำลังใจให้กับผู้คนมากมายโดยที่เขาไม่รู้ตัวมาก่อน

    ในตอนนี้เจฟฟ์ยิ้มอย่างยินดีได้แล้ว เพราะเขายอมรับตัวเองและเข้มแข็งพอที่จะเป็นพลังให้กับผู้อื่นได้ในที่สุด

    เจค จิลเลนฮาล และ เจฟฟ์ บาวแมน

    ในเรื่องของการภาพ การถ่ายแบบโคลสอัพหน้าในเรื่องนี้เน้นให้เราเห็นอารมณ์ของตัวละครได้ดีขึ้น โดยเฉพาะเจฟฟ์ที่จะถูกโคลสอัพบ่อยกว่าใคร และนอกจากจะทำให้เราเห็นสีหน้าได้ชัดเจนแล้ว การถ่ายเข้าใกล้ใบหน้ามากๆ จนไม่ค่อยเห็นช่องว่างนั้นยังพาให้รู้สึกอึดอัดได้เช่นกัน หากไม่เข้าถึงบทบาทจริง การถ่ายมุมกล้องแบบนี้ก็อาจทำให้คนดูหลุดจากอารมณ์ของเนื้อเรื่องได้

    วันที่เราดูหนังเรื่องนี้เรากำลังอยู่ในช่วงเครียดกับชีวิตตัวเองมาก นั่งดูไปได้ไม่เท่าไหร่ก็ร้องไห้แล้ว และก็ร้องไห้ไปเรื่อยๆ ตลอดทั้งเรื่อง มันไม่ได้เศร้าอะไรเท่าไหร่หรอก อาจเป็นเพราะเราเห็นคนที่กำลังลำบากกับชีวิตไม่ต่างกัน หนักกว่าเสียด้วยซ้ำ แต่เมื่อดูจบแล้วก็ทำให้เรารู้สึกอิ่มเอมใจได้อยู่นะ

    เสียงของนักวิจารณ์และคนดูบางส่วนพากันบอกว่าการแสดงของ เจค จิลเลนฮาล ในเรื่องนี้อาจทำให้เขาได้เข้าชิงรางวัลออสการ์ในปีนี้ก็ได้ ถึงเราจะยังไม่ได้ดูหนังรางวัลที่น่าจะทยอยเข้าโรงให้ชมกันในช่วงปลายปีนี้ถึงต้นปีหน้า แต่ก็ขอบอกว่าชูป้ายเชียร์เจคอยู่เสมอนะ

    น่าเสียดายที่หนังเรื่องนี้เข้าโรงชนกันหนังซุปเปอร์ฮีโร่ฟอร์มใหญ่อย่างธอร์พอดี เลยทำให้รอบฉายค่อนข้างจะน้อย และกระแสก็เงียบกว่าเยอะ ตอนนี้ยังพอมีรอบฉายเหลืออยู่บ้าง อยากชวนให้ไปดูกันค่ะ


    note: เราไปดูหนังเรื่องนี้ตั้งแต่วันศุกร์ที่แล้ว ถ้าหากมีข้อมูลจากในหนังส่วนไหนที่ผิดพลาดก็ขออภัยด้วยนะคะ อันนี้ขุดมาจากความจำล้วนๆ เพราะชอบมาก แต่ช่วงก่อนหน้านี้อย่างว่าว่าเป็นไครซิสในชีวิตอยู่ พอตอนนี้เพิ่งมีเวลาหายใจได้เลยอยากจะมาพิมพ์เอาไว้ก่อนที่จะลืมไปมากกว่านี้ค่ะ
Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in