มันเริ่มต้นมาจากวันที่เรานอนเปื่อยๆ กับชีวิตแห้งๆ ไถไทม์ไลน์ทวิตเตอร์ไปเรื่อยๆ จนเจอเข้ากับข้อความหนึ่งที่ถูกรีทวิตไปถืงสามพันกว่าครั้ง ซึ่งสิ่งนั้นไม่ได้ตราตรึงใจเราเท่ากับคำบรรยายที่ว่าร้านตั้งอยู่ซอยลาดพร้าว 18 ในใจมันร้อง "เห้ย! เราพลาดสิ่งดีๆ แบบนี้ไปได้ยังไงทั้งๆ ที่ตัวเราก็อยู่ซอยนี้ตลอด" เอาจริงจะเดินทางมาร้านนี้ก็ง่ายแสนง่าย นั่ง MRT ลงสถานีลาดพร้าวทางออก 2
จากนั้นเราก็เดินออกมาจาก MRT แล้วเลี้ยวซ้ายจะเจอเต๊นท์รถมือสอง ถ้าขี้เกียจเดินแนะนำให้ขึ้นพี่วินแถวนั้น บอกเขาว่าไปลาดพร้าว 18 แยก 3 ร้านจะตั้งอยู่ซ้ายมือ
ความรู้สึกแรกเมื่อได้เดินเข้ามาในร้านคือ... อะไรวะของเล่นเยอะแยะไปหมด เมนูอาหารก็ไม่ใส่ราคาคือก็บ่นในใจ แต่มาถึงแล้วบวกกับความหิวก็สั่งอาหารกับกาแฟไปนิดหน่อย ความจริงแล้วเราอยากมาถ่ายรูปเล่นมากกว่า เปิดโน๊ตบุคส่งงานนิดหน่อยนั่งอ่านหนังสือบ้างประมาณนี้ จากนั้นไม่นานพนักงานก็เรียกเราไปรับกาแฟ ความรู้สึกต่อมาคือในถาดนี่ยังไงโปรยทุกสิ่งอย่างลงไปงี้ หรือไง
ไม่นานอาหารก็มาเสิร์ฟทั้งของเราและของเพื่อนอาหารก็ปกติทั่วไปไม่หวือหวามากนัก
พอเรากินเสร็จทุกอย่างเเล้วก็เริ่มมองไปรอบๆ ร้าน พี่เจ้าของร้านก็คุยกับลูกค้าคนอื่นอยู่อย่างสนุกสนาน เรากับเพื่อนก็ผลัดกันหามุมโปรดถ่ายรูปกัน จุดพีคมันอยู่ตรงที่เรากับเพื่อนกำลังจะเดินออกจากร้าน พี่เจ้าของก็เดินมากักตัวเราไว้เนื่องจากเขาอยากพูดคุยด้วย บทสนทนาเกิดขึ้นอย่าง งงๆ ที่ฟังจากพี่เขามาคือพี่เขาชื่อมะลิ เห็นเรากับเพื่อนเดินเข้ามาคิดว่าเป็นคนแถวนี้แน่ๆ เลยอยากเข้ามาพูดคุยทำความรู้จัก โดยความตั้งใจของเขาในการทำร้านนี้คือทำขึ้นมาเพื่อคนวัยทำงานโดยเฉพาะ เขาไม่โปรโมทร้านให้ร้านเป็นกระแส เขาต้องการสวนกระแสโดยการอยู่นิ่งสงบ เพราะฉะนั้นคนที่จะเดินเข้าร้านเขาจะเดินเข้ามาแบบ งงๆ ถ้าไม่รู้มาก่อนแบบเรากับเพื่อน ซึ่งพี่เขาก็บอกว่าคนที่ทวิตเป็นลูกน้องเก่าแต่ไม่คิดว่าพลังโซเชียลจะมากมายขนาดนี้ ไอเดียของคาเฟ่นี้คือให้คนที่เข้ามาได้เกิดความรู้สึก ถึงแม้มันจะเป็นความรู้สึกเล็กๆ แต่มันก็คือความรู้สึก ที่มันจะเป็นแรงผลักดันอะไรบางอย่างให้คนๆ นั้นก้าวข้าวเรื่องบางอย่างไปได้ เริมรู้สึกกับคำพูดของพี่เขามากเลยนะว่า เออวะ อย่างน้อยมันก็มีที่ที่ทำให้เราได้คิดอะไรบางอย่างได้
พี่มะลิละเอียดอ่อนถึงขั้นที่ว่าเด็กในร้านคาเฟ่ของพี่เขาต้องรู้จักการจัด Tray Art ลูกค้าคือบทเรียน ในแต่ละวันน้องๆ ในร้านจะจัดถาดกาแฟที่มาเสิร์ฟไม่เหมือนกันสักวัน ขึ้นอยู่กับว่าเขาไปเจออะไรมา เขาไปได้รับอะไรมา มันก็จะออกมาเป็นงาน Creative บางอย่าง ซึ่งพี่มะลิยังอธิบายเพิ่มเติมอีกว่า ในตัวของคนเราทุกคนมันมีความ Creative อยู่ในตัวอยู่แล้วไม่มากก็น้อย แต่แค่พวกเขาไม่รู้จะปล่อยมันที่ไหน จะปล่อยมันออกมายังไง เขาอยากให้ร้านนี้เป็นจุดเริ่มต้นเล็กๆ ให้คนวัยทำงานที่ใช้ชีวิตทำงานจนแทบจะลืมความรู้สึกอะไรบางอย่างไป ให้กลับมามีความรู้สึก การที่คนเรามีความรู้สึกถึงแม้จะเป็นความรู้สึกเล็กๆ แต่มันก็ทำให้รู้ว่าเรามีชีวิต ได้ยืนคุยกับพี่มะลิแล้วได้แต่ร้องโอ้โห...
เราก็ได้สวนกลับไปมะลิไปว่าจริงค่ะ... เข้ามาก็รู้สึกเลยรู้สึกงง ว่าทำไมเมนูไม่มีราคา แอบหงุดหงิดหน่อยๆ ซึ่งพี่เขาก็ตอบเรากลับมาว่านั่นแหละ เราก็เป็นบทเรียนให้พี่แล้วก็ให้น้องๆ ในร้านของพี่อีกหนึ่งบทเรียนว่าถ้าลูกค้ามาแบบนี้เขาต้องรับมือยังไง แต่จริงๆ เมนูที่มีราคามันหายไป สิ่งหลักที่พี่มะลิคำนึงถึงคือความมีคุณภาพของสินค้าในร้านเขาเมนูอาหารเขาจะคัดสรรสิ่งดีๆ เข้ามา สิ่งดีๆในที่นี้ไม่ได้จำกัดแค่คุณภาพดีแต่ยังลึกลงไปถึง texture ของอาหาร อย่างเช่นกาแฟ ทางร้านก็คั่วเอง
นอกจากนั้นพี่มะลิยังใจดีสุดๆ ด้วยการพาทัวร์บริษัทของเขา และพาไปดูห้อง workshop ด้านบนร้านที่กำลังปรับปรุงอยู่แต่ข้อแม้คือการห้ามถ่ายภาพนั่นเอง เรากับเพื่อนยืนคุยกับพี่มะลิด้านบน พี่มะลิพาเดินไปชมต้นไม้ซึ่งตั้งชื่อตามพนักงานในบริษัท ความรู้สึกเราเรารู้สึกอบอุ่นมาก คือน่ารัก
สำหรับใครที่วันหยุดนี้ไม่ได้ไปไหน แวะไปนั่งคุยกับพี่มะลิที่นี่ คุณอาจจะได้รับความรู้สึกดีดีแบบที่พวกเราได้รับก็ได้ :)
ปล. สุดท้ายแนบรูปบรรยากาศร้านให้ดูกันนิดหน่อย :D
ส่วนนี้จะเป็นหน้าร้านทางเดินเข้าไป
ส่วนทางนี้จะเป็นบันไดขึ้นไปห้อง workshop แต่กำลังปรับปรุงอยู่
มุมนี้คิดว่าน่าจะเป็นมุมของขวัญที่ส่งมาเป็นกำลังใจ
เราเรียกมุมนี้ว่ามุมรับแดด
หรือจะมานั่งหลบแดดมุมนี้ก็ได้
ชอบสุดคือน้องต้นไม้ต้นนี้
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in