เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
(Fanfic) #คู่ที่ไม่รู้จะเรียกอะไรeasy like Sunday
"No Words Needed"
  • Talk: มันงอกว่ะ 5555 ช่วยด๊วยย


    - ไม่ต้องอ่านตอนก่อนหน้าก็ได้ ไม่ได้ต่อกันขนาดนั้น แค่เป็นพาร์ทมุมมองของอีกคนมากกว่า

    - แต่อ่านก็ได้นะ


    /จิ๊กชื่อพาร์ทมาจากวน.

    ------------



    ความสัมพันธ์ของเราไม่มีชื่อเรียก...แต่มันชัดเจน

     

    การยืนอยู่ที่มุมเดิม ๆ บนเวทีมุมที่สามารถมองเห็นแผ่นหลังเล็ก ๆ ภายใต้แสงไฟสว่างจ้า ได้ฟังน้ำเสียงที่ติดแหบแต่มีสเน่ห์ดังกังวานคลอเคล้าไปกับเสียงเครื่องดนตรีในมือพร้อมเหล่าสหายร่วมทางฝัน เหมือนเป็นความรู้สึกสบายใจเล็ก ๆ นอกเหนือจากความสุขความสนุกของการได้เล่นดนตรี บรรเลงบทเพลงสร้างรอยยิ้มให้ผู้คน

     

    แค่เห็นอยู่ในสายตาแค่ได้ยินเสียงก็สบายใจ 

     

     

    จำไม่ได้เหมือนกันว่ามันเกิดขึ้นตอนไหน แต่คงเพราะความใกล้ชิดกันมานาน ทำให้เราเริ่มมีอิทธิพลต่อกัน 

     

    เริ่มรับรู้ได้ถึงความรู้สึกของกันและกัน และรู้ตัวอีกทีก็เคยชินกับการอยู่ข้าง ๆ กันแบบนี้เรื่อยไป

     

    ยอมรับว่าเป็นความรู้สึกที่มากกว่าเพื่อน แต่ก็ไม่รู้ว่าจะให้คำตอบมันว่าอะไรดี

     

    เราทั้งคู่เลยเลือกที่จะเว้นคำ ๆนั้นเอาไว้ แล้วใช้การกระทำบอกทุกอย่าง

     

    .....

     

    เสียงดนตรีบรรเลงดุเดือดอะดรีนาลีนหลั่งไหล พร้อมกับความรู้สึกสดชื่นเหมือนกลับไปเป็นวัยรุ่นเสียงผู้ชมปรบมืออื้ออึงจนรู้สึกเหมือนหัวใจกำลังพองโต

     

    และแผ่นหลังของคนที่ยืนเยื้องไปทางซ้ายมือก็ยังคงดึงดูดความสนใจให้จ้องมองไม่วางตาเช่นทุกครั้ง

     

    เหมือนจะรู้ว่าถูกจ้องนานเกินไป เจ้าของร่างเล็กกว่าหันกลับมาสบตากัน ริมฝีปากเผยรอยยิ้มเผล่ไม่น่าไว้ใจใส่ ท่าทางชอบอกชอบใจที่จับได้ว่าตัวเองกำลังถูกมอง

     

    รีบยิ้มกลบเกลื่อนแล้วส่ายหน้าทำเป็นก้มมองสนใจเครื่องดนตรีในมือ 

     

    แต่ก็ไม่ได้ช่วยอะไรมากนัก 

     

    กำลังตั้งอกตั้งใจอยู่กับการปรับสายตอนที่อีกฝ่ายเคลื่อนตัวเข้ามาหา ฝ่ามือเรียวที่ใคร ๆก็ชอบนักชอบหนาแตะหมับบนสะโพก ทำเอาสะดุ้งเฮือก 

     

    พอหันไปทำถลึงตาใส่เจ้าคนตัวเล็กกว่าก็ฉีกยิ้มแป้นเป็นเด็ก ๆ ดูสนุกที่ทำคนอื่นเสียสมาธิได้

     

    "วอแวจังวะ" บ่นอุบอิบเสียงเบายังไงเสียงดังขนาดนี้คนอื่นก็ไม่ได้ยินกันหรอก

     

    "เหนื่อย"ได้ยินเสียงกระซิบกระซาบเบา ๆ ขณะที่ถูกคางแข็ง ๆ เกยบนหัวไหล่ลมหายใจอุ่นระต้นคอจนสมาธิยิ่งกระเจิง คนวอแวเบะปาก เอียงหน้าซบเข้ากับลาดไหล่หลับตาลงพักครู่หนึ่ง แล้วช้อนขึ้นมาสบกัน 

     

    น่ารักจนเผลอยิ้มตอบ


    น่าเอ็นดูจนอยากจะจับฟัดแรง ๆ

     

    เป็นแบบนี้ตลอดแหละ


    "เหนื่อยก็อยู่นิ่ง ๆ " ทำเป็นดุไปอย่างนั้น คนถูกดุทำปากยื่นใส่ แต่ก็ยอมอยู่นิ่ง ๆ ด้วยการเกาะหนึบเอาไว้แบบนี้


    สำหรับคนที่ชอบสกินชิป คงเหมือนได้รับการชาร์จพลังงาน

     

    เคยคิดอยู่เหมือนกัน ว่าอะไร ๆมันคงจะง่ายกว่านี้ ถ้าเรามีชื่อเรียกให้กับความสัมพันธ์พิลึกพิลั่นนี่

     

    ทำได้แค่มองตามปรับสีหน้าเรียบเฉยตอนที่อีกฝ่ายผละออกไปหาแฟนคลับ เลิกคิดอะไรฟุ้งซ่านแล้วโฟกัสอยู่กับหน้าที่ของตัวเองแทน 

     

    แม้ว่าภาพที่เห็นจากหางตาจะชวนให้หงุดหงิดใจอยู่ไม่น้อย

     

    จะว่าเห็นแก่ตัวก็ได้ แต่อย่างน้อยอารมณ์กรุ่น ๆ ที่แผ่ซ่านออกมาก็มีคำตอบของมันเองโดยไม่ต้องคอยอธิบาย

     

    แต่มันเป็นเรื่องของคนสองคนไม่ใช่คนเดียวหรือมากกว่านั้น 

     

    แม้ว่าเราจะถูกซักถามอยู่หลายครั้งจากคนรอบกายแต่เราก็ไม่ได้ให้คำตอบ

     

    รู้ดีว่าอีกฝ่ายสับสนและคิดมากกับเรื่องนี้ไม่ใช่ว่าไม่ต้องการ เพียงแค่ไม่รู้จะเริ่มต้นยังไง 

     

    รู้ดีว่าตัวเองก็วุ่นวายใจอยู่ไม่น้อยและอาจจะยึดติดกับสถานะภายนอกมากเกินไปหน่อย

     

    แต่ก็รู้ดีว่าเราทั้งคู่เข้าใจและชัดเจนกับมันมากพอ

    และแน่นอนมันสำคัญมากกว่าคำอธิบายหรือชื่อเรียกไหน ๆ บนโลก

     

    “ถ้าคิดแล้วมันปวดหัวก็ไม่ต้องคิดไม่ต้องเรียกอะไร”

     

    จำได้ว่าพูดออกไปแบบนั้น


    จำได้ว่าได้รับรอยยิ้มที่ดีที่สุดตอบกลับมาจนอดไม่ด้ที่จะเก็บรอยยิ้มนั้นเอาไว้ด้วยริมฝีปาก


     

    ไม่นานนักเจ้านักร้องจอมวอแวก็ปีนกลับขึ้นเวทีมาหลังจากลงไปวุ่นวายกับแฟนคลับทั้งหลายเจ้าตัวยังคงหันไปโบกไม้โบกมือให้คนข้างล่าง ใบหน้ายิ้มแย้มอารมณ์ดีตอนเดินมาเกาะแกะที่หัวไหล่อีกครั้ง


     

                ไม่ต้องมีคำอธิบายหรือชื่อไหนๆ แต่สุดท้าย เขาก็หันกลับมาหาอยู่ดี


     

    เราสบตากันครู่หนึ่ง ยิ้มให้กันแล้วส่งสัญญาณมือก่อนจะเริ่มบทเพลงใหม่ของค่ำคืนนี้


     

    End

     

     

     

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in