" บทความนี้ แปลแบบกูเกิ้ลทรานสเลทงู ๆ ปลา ๆ + เกลาคำเท่าที่เกลาได้ไม่ได้ตรวจทานมากนะคะ
บางประโยคอาจไม่เป๊ะกับต้นฉบับ เพราะเราแปลไม่ออกเลยทู่ซี้ดำน้ำมั่วประโยคลงไปเอง แล้วก็ไม่แน่ใจว่าสำนวน สรรพนามที่ใช้ควรเป็นยังไงด้วย
หากมีคำแนะนำเกี่ยวกับประโยคที่เราแปลไม่ได้ แปลมั่ว หรือสรรพนาม คำเฉพาะพวกชื่อ สถานที่ ที่เราแปลผิดเพราะอ่านจีนไม่ออกเลย (ดำน้ำให้กูเกิ้ลแปลจีนเป็นอังกฤษกับไทยแล้วทาบดูเพื่อเกลี่ยคำอีกรอบ) สามารถแจ้งในคอมเม้นต์ได้ทันที
ส่วนเรื่องความสละสลวยของภาษา สามารถติชมได้ แต่อาจจะแก้เฉพาะเวลาสะดวกจริง ๆ เพราะเราแปลเล่น ๆ เลยไม่ได้อ่านทวนเท่าไหร่ พอจะรู้ตัวว่ากูเกิ้ลมันแปลมาแข็งอยู่ค่ะ
อื่น ๆ สามารถเม้าท์มอยเนื้อเรื่องได้ สปอยได้ ไม่เป็นปัญหาค่ะ เพราะทั้งบทความน่าจะเป็นการสปอยภาค 2 ทั้งหมด คนที่ไม่ต้องการสปอย รอมีคนซื้อแปลไทยมา ไม่ควรเข้ามาอ่านค่ะ ปิดเดี๋ยวนี้! "
SPOILER * สปอย TSM ภาค 2
ฟิคออฟฟิเชี่ยล เรื่อง Never go far ค่ะ เป็นคู่เจี้ยงชิงเจี้ยง พี่เจี้ยงเฟิงกับชิงหลานนั่นเองค่ะ ทั้งคู่เป็นตัวละครในภาค 2 ดังนั้นอาจจะไม่คุ้นกัน ส่วนใครที่อ่านตอนที่แล้วไป ก็จะรู้เองว่าชิงหลานเป็นใครเนอะ
คุณสุ่ยระบุว่าฟิคนี้ไม่ใช่แคนนอนนะคะ ดังนั้นห้ามเอาไปอิงกับเรื่องหลัก เด็ดขาด!
.
.
.
--------------------------------
[Never go far] (เจี้ยงชิงเจี้ยง) ทดลองอ่าน 2*
ความรู้สึกเหล่านั้นเกิดขึ้นและผ่านไปอย่างรวดเร็ว ในไม่ช้าชิงหลานก็ร่าเริงขึ้นและเลิกคิดถึงเรื่องที่น่าหดหู่ใจ
เมื่อใจเย็น ๆ แล้วลองคิดดู ท่านอาจารย์เป็นคนฉลาดในสถานการณ์เช่นนั้น เขาควรแค่รู้สึกว่า "ทำได้ดี" และไม่จำเป็นต้องตำหนิติเตียนอะไร
เขาออกไปดูบริเวรภายนอก เนื่องจากไม่สามารถสื่อสารกับผู้คนโดยตรงได้ เขาจึงเอ่ยปากถามไม่ได้เช่นกัน ทำได้เพียงหาวิธีสังเกตโลกปัจจุบัน และแล้วเขาก็ได้รับคำตอบที่ทำให้ตกใจ
วันสะบาโตเกิดขึ้นเมื่อร้อยปีที่แล้ว
สิ่งที่ทำให้เขาประหลาดใจ ไม่ใช่การที่เขาต้องใช้เวลาถึงร้อยปีในการได้สติกลับมา แต่คือการค้นพบว่าเจี้ยงเฟิงหลับใหลมาเป็นเวลาร้อยปีแล้ว
อาการบาดเจ็บอะไรที่มากมายจนทำให้เขาหลับไปเป็นเวลาร้อยปีโดยไม่ตื่นขึ้นมา?
หากคาดว่าเวทมนตร์แห่งการทำลายล้างของขบวนอัคเรียนมีสภาพเป็นเวทมนตร์ต่อเนื่องที่ไม่เคยหยุดลง ชิงหลานก็ไม่สบายใจ
ถ้ายังบาดเจ็บอยู่...ก็จะไม่มีวันตื่นขึ้นมาได้ตลอดไปหรือไม่?
ด้วยความตื่นตระหนก ชิงหลันรีบกลับไปที่วิหารและไปที่ห้องปิดผนึกเพื่อดูสถานการณ์ของเจี้ยงเฟิงให้แน่ชัด
โชคยังดี ดูเหมือนว่าสถานการณ์จะไม่เป็นไปในแง่ร้าย ผลของการหลับใหลคงจะเกิดขึ้นตามปกติ และความเร็วในการซ่อมแซมร่างกายก็รวดเร็วกว่าความเร็วของการบาดเจ็บเช่นกัน เขาควรจะตื่นขึ้นมาในสักวันหนึ่งไม่ช้าก็เร็ว
เมื่อมองไปที่ใบหน้าที่หลับใหลของเจี้ยงเฟิง ชิงหลานก็รู้สึกโล่งใจ แต่เขายังมีอีกหนึ่งคำถาม
ตอนนี้ข้าจะทำอะไรได้อีก ข้าจะไปที่ไหนได้บ้าง
เก็บตัวอยู่ในวิหารที่ปกคลุมไปด้วยผลึกน้ำแข็ง ชิงหลานอดไม่ได้ที่จะรู้สึกเสียศูนย์ไปชั่วขณะ
ถ้าเพียงแค่สามารถแกล้งทำตัวเป็นผีเพื่อทำให้ผู้คนหวาดกลัวได้ อย่างน้อยก็ยังสนุกได้
ไม่สิ ข้าเป็นผีไปแล้ว นี่ไม่ใช่การแกล้งทำเป็นผี...
ในความเป็นจริง หลังจากได้สติกลับมา ชิงหลานมีความรู้สึกที่คลุมเครืออยู่เสมอว่าตราบใดที่เขาเต็มใจจะจากไป เขาสามารถไปสู่สุคติและเข้าสู่การเกิดใหม่ได้ แต่เขาไม่เต็มใจทำแบบนั้น
จะเกิดเป็นอะไร จุติแบบไหน ใครจะอยากกลับชาติมาเกิดเป็นชาวหุยซา ข้าเกิดเป็นคนในราชวงศ์ และตายเป็นผีในราชวงศ์ แทนที่จะรับโจรมาเป็นพ่อ ข้าขอไม่เกิดใหม่ตลอดไปดีกว่า
ลืมไปเลยเรื่องพรรค์นั้น เสียดายที่ข้าสื่อสารกับคนอื่นไม่ได้ อย่างนั้นข้าก็จะอยู่ในวิหาร ตั้งใจเรียนหนังสืออย่างเชื่อฟัง และเมื่อเจี้ยงเฟิงตื่นขึ้นมา...ข้ากังวลมากหากไม่ได้เห็นเขาตื่นขึ้นมา
ไม่มีทางที่เขาจะถือหนังสือในสภาพจิตวิญญาณได้ แต่เขาพบว่า เขาสามารถอ่านเนื้อหาผ่านหนังสือด้วยมือของเขาได้ ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องดีในยามเคราะห์
ถ้าท่านอาจารย์รู้ว่าข้าขยันขันแข็งแบบนี้ เขาคงจะภูมิใจมาก แต่จริง ๆ แล้วข้าก็แค่ไม่มีอะไรทำและเบื่อเกินไปเท่านั้น
ด้วยเหตุนี้ ชิงหลานจึงอาศัยอยู่ในสถานศึกษาของวิหาร หากเขาไม่มีอะไรทำ เขาก็จะไปที่ห้องปิดผนึกเพื่อพบเจี้ยงเฟิงโดยหวังว่าจะเห็นอีกฝ่ายตื่นขึ้นโดยเร็วที่สุด
ในเวลานั้น เขาไม่รู้ว่าสิ่งเหล่านี้จะดำเนินต่อไปอีกห้าร้อยปี...
บทที่ 1 : โลกที่ตื่นขึ้น
"มีดวงวิญญาณมากมายในโลกใบนี้ แต่เหลือเพียงแค่ข้าอยู่เพียงดวงเดียว ข้าเชื่อว่าสิ่งนี้จะต้องมีความหมายบางอย่าง"
"ราวกับว่าเราจะได้พบและกลายเป็นเพื่อนกัน"
ห้าร้อยปีเป็นเวลาที่ยาวนานมากสำหรับชิงหลานที่มีอายุเดิมเพียงสิบเก้าปี
แม้ว่าวิญญาณจะแตกต่างจากคนที่มีชีวิต แต่บางครั้งเขาก็ยังอยากนอน เพราะแต่ละวันนั้นน่าเบื่อเกินไป แต่เขาไม่กล้าปล่อยให้ตัวเองหมดสติ มันคงไม่ดีถ้าเจี้ยงเฟิงตื่นขึ้นมาในตอนนั้น ไม่ว่าด้วยเหตุผลใด เขายังคงหวังว่าตัวเองจะสามารถอยู่กับเจี้ยงเฟิงได้ในเวลานั้นและเฝ้าดูเขาตื่นขึ้นมา
เขาอ่านหนังสือเกือบทั้งหมดในวิหารจนได้รับความรู้มากมาย และรู้สึกว่าตนเองสามารถเปรียบเทียบตัวเองกับเจี้ยงเฟิงที่มีความรู้มากกว่าได้ เพราะเขาเบื่อเกินไป สุดท้ายจึงออกไปข้างนอกเพื่อตรวจสอบดูว่าเกิดอะไรขึ้นในโลกที่ถูกปกครองด้วยชาวหุยซา เขายังไปดูเหตุการณ์ที่เจ้าหน้าที่รับสินบนหรือฉากสงครามความขัดแย้งกลางเมืองและเขาก็ยิ่งประหลาดใจที่หุยซามีการกินเนื้อคน...
ในตอนแรกทุกวันเขาหวังว่าเจี้ยงเฟิงจะตื่นขึ้นมา แต่ต่อมาเขาก็ผ่อนคลายลงและบอกตัวเองว่าเป็นเรื่องปกติที่อีกฝ่ายจะไม่ตื่น และเขาอาจต้องรอเป็นเวลานาน
ถ้าวิญญาณสามารถสั่งสมพลังได้ ตอนนี้ข้าควรจะมีพลังสูงส่งมากหรือไม่?
เพราะเขากลัวว่าอดีตที่ผ่านมานานเกินไปจะถูกลืม เขาจึงมักจะพยายามนึกถึงเรื่องราวในอดีต แต่ภายหลังเขาค้นพบว่าการลืมอาจเป็นสิทธิพิเศษของคนที่ยังมีชีวิต วิญญาณสามารถสร้างความทรงจำใหม่ ๆ ได้ แต่ความทรงจำเก่า ๆ เหล่านั้น ดูเหมือนจะไม่เคยหายไปไหนเลย
วันนั้น เขายังอยู่ในห้องปิดผนึก ทันใดนั้นก็มีการเคลื่อนไหวในห้องปิดตายที่ไม่เคยมีการเปลี่ยนแปลงเป็นเวลาห้าร้อยปี เมื่อเขาได้ยินเสียง เขาคิดว่าเจี้ยงเฟิงได้ตื่นขึ้นมา แต่เมื่อเขามองดี ๆ ผู้ตื่นขึ้นมาก็คือเลี่ยซุย
เลี่ยซุยตื่นขึ้นมาก่อน? ทำไมถึงเป็นอย่างนี้ เจี้ยงเฟิง เจ้าอ่อนแอเกินไป เจ้าแพ้น้องชายตัวเอง* เจ้าเคยแพ้เขามาก่อนหรือเปล่านะ?
หลังจากตื่นขึ้น เลี่ยซุยมองรอบตัวเขาเองอย่างว่างเปล่า ในตอนแรกเขาแสดงสีหน้าที่ทำอะไรไม่ถูก จากนั้นจึงรีบเดินไปที่ที่เจี้ยงเฟิงหลับไหลอยู่ เมื่อเห็นอย่างนั้น ชิงหลานจึงเข้าไปหาด้วยเช่นกัน เขาต้องการเห็นสถานการณ์นี้อย่างชัดเจน
เลี่ยซุยยื่นมือออกไปและเขย่าเจี้ยงเฟิง จากนั้นรัศมีรอบตัวของเจี้ยงเฟิงที่ปรากฏเมื่อเขาหลับก็หายไป เห็นได้ชัดว่าเลี่ยซุยใช้วิธีการบางอย่างเพื่อปลุกเขา
เมื่อเจี้ยงเฟิงลืมตาขึ้น ชิงหลานก็บีบหน้าของอีกฝ่าย (ตรงนี้ไม่แน่ใจประโยคมาก ๆ) เกือบจะลืมไปแล้วว่าตอนนี้เขาเป็นเพียงแค่วิญญาณ
“เจี้ยงเฟิง!"
เขาร้องเรียก หวังว่าเจี้ยงเฟิงจะตอบสนองต่อเขาบ้าง
อย่างไรก็ตาม ดวงตาของเจี้ยงเฟิงจ้องมองไปที่เลี่ยซุยเท่านั้น เขาหยุดนิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนจะหรี่ตาลง ทำให้เกิดเป็นบรรยากาศที่ดูอันตราย
"เจี้ยงเฟิง..."
ชิงหลานตะโกนเรียกอีกครั้ง คราวนี้มีเสียงค่อนข้างเบาลงมา
เขารู้ว่าเจี้ยงเฟิงไม่ได้ยินเขา เขารู้ว่าเจี้ยงเฟิงมองไม่เห็นเขา
แม้ว่าครั้งหนึ่งเขาจะมีความหวังอันริบหรี่ว่าเขาอาจจะมีพลังของโลก แต่เจี้ยงเฟิงผู้เป็นดั่งพระเจ้าของโลกอาจจะสามารถรับรู้วิญญาณได้แตกต่างจากคนอื่น แต่ตอนนี้เขายืนยันได้แล้วว่ามันไม่ได้เป็นเช่นนั้น ความหวังของเขา สุดท้ายแล้วมันก็เป็นเพียงความปรารถนา
ข้าอยู่ที่นี่
ข้าอยู่ตรงนี้ดั่งเช่นทุกครั้งตลอดมา รอคอยเจ้าที่หลับใหล วาดหวังให้เจ้าลืมตาตื่นขึ้นมา รอมานานแสนนาน
ทว่าเวลานี้ ข้ากลับไม่อาจได้รับรอยยิ้มที่เจ้าเผยออกมาเสมอ ยามที่เจ้าได้พบหน้าข้า
"เจ้าออกไปดูข้างนอกแล้วหรือ?"
"ยัง ข้าเพิ่งจะตื่นขึ้นมาก็พยายามปลุกเจ้าก่อน"
"อืม"
หลังจากที่เจี้ยงเฟิงหลุดพ้นจากพันธนาการและลุกออกไป เขาก็คุยกับเลี่ยซุยเงียบ ๆ เมื่อจี้หยู่ถูกเลี่ยซุยปลุกให้ตื่น ชิงหลานก็ไม่ได้สนใจพวกเขา เขาไม่ได้เห็นการเคลื่อนไหวและการพูดคุยของเจี้ยงเฟิงเป็นเวลานาน และตอนนี้ความสนใจของเขาอยู่ที่เจี้ยงเฟิงเพียงเท่านั้น เมื่อเห็นพวกเขาเปิดห้องปิดผนึกและออกไป เขาจึงเดินตามไปโดยไม่ได้คิดอะไรทั้งนั้น
เมื่อห้าร้อยปีก่อน ตอนที่เขาได้เห็นนักบวชแช่แข็งเหล่านี้ในวิหารครั้งแรก ชิงหลานมีความรู้สึกมากมายที่เอ่อท้น ทว่าห้าร้อยปีต่อมาชิงหลานที่ปฏิบัติกับวิหารเหมือนเป็นแค่สวน การได้เห็นผู้คนในผลึกน้ำแข็งเหล่านี้จึงไม่ได้ทำให้เขารู้สึกอะไรอีกต่อไป แต่เจี้ยงเฟิงและคนอื่น ๆ เพิ่งจะได้เห็นเป็นครั้งแรก
เนื่องจากเจี้ยงเฟิงไม่ได้อยู่ที่นั่นนาน เขาไม่ได้มองดูนักบวชเหล่านั้นมากมายนัก และใบหน้าของเขาก็ไม่มีอะไรผิดปกติ ชิงหลานไม่คิดว่าภาพเหล่านี้มากพอที่จะสั่นคลอนอารมณ์ใด ๆ ของราชวงศ์ได้ จนกระทั่งเจี้ยงเฟิงเดินไปทางลานกว้างของวิหาร
เขาเห็นเจี้ยงเฟิงก้าวเร็วขึ้น แต่ก็หยุดอีกครั้งในจุดที่เขาสามารถมองเห็นจัตุรัสได้
จากนั้นเขาก็ตระหนักได้ว่าเจี้ยงเฟิงต้องการหาอะไรเป็นอย่างแรกหลังจากตื่นขึ้น
เพราะเขาเพิ่งจะรู้สึกตัวว่าตัวเขาเองก็อยู่ที่นี่ เขาเกือบลืมไปว่ามีร่างกายของตัวเองถูกแช่แข็งอยู่ในผลึกน้ำแข็งในจัตุรัส หลังจากรู้ตัว เขาอยากจะหยุดเจี้ยงเฟิงไม่ให้ไปที่นั่นจริง ๆ แต่นี่เป็นสิ่งที่เขาทำไม่ได้ในตอนนี้
ชิงหลานมองดูเจี้ยงเฟิงเดินตรงไปยังด้านหน้าของขบวน แม้ว่าเขาจะกลัวเล็กน้อยที่จะเห็นสีหน้าของอีกฝ่าย แต่ก็ยังไม่อยากหันหน้าหนี
ข้าไม่ไร้ความรับผิดชอบเกินไปจนต้องหลบหน้าเจ้าในเวลานี้
ในที่สุดเจี้ยงเฟิงก็เดินไปหยุดอยู่ตรงหน้า "ชิงหลาน"
แม้ว่าการแสดงออกของเจี้ยงเฟิงจะไม่เปลี่ยนไปมากนัก แต่ชิงหลานก็สังเกตเห็นความตึงเครียดบนใบหน้าและการเปลี่ยนแปลงในดวงตาของเขา
เขายื่นมือออกไปทางผลึกน้ำแข็ง แต่ไม่ได้สัมผัสมันจริง ๆ แสงริบหรี่สะท้อนเข้าตาเขาจากพื้นผิวน้ำแข็งวาววับในขณะที่เขาเคลื่อนไหว
เจี้ยงเฟิงนั้นมีดวงตาที่งดงามและแหลมคม ทว่าในเวลานี้มันเอ่อท้นไปด้วยความเศร้าที่เกือบจะล้นออกมา ชิงหลานที่เห็นภาพนั้นจึงรู้สึกหายใจไม่ออก
เอาชีวิตของตัวเองไปเสี่ยงเพื่อเปิดใช้งานวงเวท หลังจากรอมาเนิ่นนาน ในที่สุดเจี้ยงเฟิงก็ตื่นขึ้นมา นี่ควรเป็นเรื่องที่น่ายินดี
ความทุกข์ยากทั้งหลายจบลงแล้ว ร่างกายก็ฟื้นตัวแล้วเช่นกัน ทุกอย่างจะค่อย ๆ ดีขึ้น นี่คือผลลัพธ์ที่เขาคาดหวังว่าจะเห็น แม้ว่าเจี้ยงเฟิงจะเศร้าโศก ข้าควรจะมีความสุขใช่ไหม?
ความคิดของชิงหลานยุ่งเหยิง เขาไม่สามารถมองมันในแง่ดีได้เลย
อันที่จริง เขาลืมไปว่าหากเจี้ยงเฟิงเศร้า แล้วเขาจะมีความสุขได้อย่างไร?
หลังจากที่เจี้ยงเฟิงเศร้าผละมือออก เขาก็ไม่ได้ส่งเสียงอะไรอยู่ครู่หนึ่ง เขาไม่ได้ร้องไห้ แต่น้ำตาไม่ใช่หลักฐานเพียงอย่างเดียวของความเศร้าโศก
อย่ามอง ได้โปรดอย่ามองมัน! ข้าอยู่นี่ มองมาที่ข้าสิ! อย่ามองไปที่ศพนั่น ศพนั่นขยับหรือพูดไม่ได้ รูปปั้นน้ำแข็งนั่นไม่มีประโยชน์อะไรนอกจากเป็นแค่ของตกแต่ง!
เรื่องแบบนี้ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในชีวิตของชิงหลาน และเหตุการณ์นี้เป็นเรื่องที่เขาไม่อาจทนได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในตอนนี้
เลี่ยซุยและจี้หยู่กำลังคุยอะไรกัน! พวกเจ้ากำลังทำอะไรอยู่? อย่าเพิ่งงุนงง พาเขาออกไป── ดีที่สุดถ้าไม่มีร่างนั่น!
ชิงหลานกำลังจะระเบิด กระทั่งเจี้ยงเฟิงพูดขึ้นในที่สุด
"มาตรวจสอบสถานการณ์โลกปัจจุบันกันก่อน เกิดอะไรขึ้นกับราชวงศ์ มีเรื่องอะไรเกิดอะไรขึ้นบ้าง ผ่านมานานแค่ไหนแล้ว... ข้าอยากรู้ทั้งหมดนี่"
น้ำเสียงของเขาสงบ แต่เลี่ยซุยและจี้หยู่ไม่กล้าถามคำถามอะไรอีก และหลังจากตอบรับแล้ว พวกเขาก็แยกจากกันโดยอาจไปตามหาสถานที่ที่มีข้อมูล
เจี้ยงเฟิงไม่ยืนนิ่งอีกต่อไป แต่เขาไม่ได้จากที่แห่งนี้ไปทันที เขามุ่งหน้ากลับไปยังวิหารราวกับว่าเขาไม่ออกไปข้างนอกในตอนนี้
ชิงหลานเดินตามโดยไม่พูดอะไรสักคำ แม้ว่าเจี้ยงเฟิงจะมองไม่เห็นเขา แต่เขาก็ยังต้องการอยู่เคียงข้างเจี้ยงเฟิง
เขาเฝ้าดูเจี้ยงเฟิงเดินไปมาในวิหารราวกับว่ามีสถานที่ที่เขาต้องการไป แต่เจี้ยงเฟิงจะหยุดลงทุก ๆ สองสามก้าว และเหตุผลที่หยุดทุกครั้งก็เพื่อมองดูร่างอื่นในผลึกน้ำแข็ง
เขาเข้าไปใกล้ มองดูศพของพรรคพวกแต่ละคนอย่างใกล้ชิด หลังจากเดินและหยุดอยู่หลายครั้งเช่นนี้ เจี้ยงเฟิงก็เอื้อมมือไปปิดปากของเขา และไอออกมา เลือดไหลผ่านนิ้วมือของเขา แต่เขาไม่ได้ดูแปลกใจอะไร เหมือนมันเป็นแค่เรื่องธรรมดา หลังจากใช้พลังเพื่อหลอมละลายเลือดพวกนั้น เขาก็มุ่งหน้าต่อไป
ทำไมเขาถึงได้อาเจียนเป็นเลือด เขาควรจะรักษาตัวจนหายแล้วไม่ใช่เหรอ?
ชิงหลานตกใจอยู่หลายวินาที จากนั้นก็ตระหนักว่าเจี้ยงเฟิงไม่ได้ตื่นขึ้นมาด้วยตัวเอง
เจี้ยงเฟิงถูกปลุกโดยเลี่ยซุย การหลับใหลของเขายังไม่สิ้นสุด ดังนั้นอาการบาดเจ็บของเขาจึงยังไม่หายดี?
เขากังวลมากเกี่ยวกับอาการบาดเจ็บของเจี้ยงเฟิง แต่เจี้ยงเฟิงเองก็ดูเหมือนจะไม่สนใจมันเลย
ด้วยความร้อนรนและวิตกกังวล ชิงหลานจึงไม่ได้สนใจว่าเจี้ยงเฟิงกำลังจะไปที่ใด เมื่อเจี้ยงเฟิงหยุดอยู่หน้าประตู ชิงหลานก็ยังจำไม่ได้ว่าตอนนี้กำลังอยู่ที่ไหน เพราะเขาไม่ได้กลับมาที่นี่เป็นเวลาห้าร้อยปีแล้ว
เมื่อเจี้ยงเฟิงเปิดประตู เขาก็เพิ่งรู้สึกตัวว่าที่นี่คือห้องของเขาเอง
เจี้ยงเฟิงยืนอยู่ที่ประตูห้องและไม่ได้เข้าไป เขามองไปที่ห้องอันว่างเปล่าและไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่
ชิงหลานกลัวว่าเขาจะร้องไห้ แต่มันก็ไม่ได้เกิดขึ้น
ร้องไห้หรือไม่ร้องไห้อย่างไหนดีกว่ากัน เขาไม่อาจรู้ได้เลย
--------------------------------
* กูเกิ้ลมักจะแปลคำที่ชวนสับสนแบบนี้ว่าพี่ชาย เราเลยลองแกะจีนดู และมีตัวนี้อยู่ 弟 พยายามหาดูแล้วบอกว่าเป็นน้องชายหรือลูกศิษย์ เราไม่รู้เลยใช้ว่าน้องชายไปก่อนนะคะ เพราะก่อนหน้านี้ก็บอกว่าเลี่ยซุยเป็นคนในราชวงศ์ด้วย? แต่บางทีก็อาจเป็นลูกศิษย์หรือพี่ชายจริง ๆ ก็ได้แหะ 555 ใครรู้บอกที
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in