เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
จิปาถะtubtimptt
Heliophilia
  • ทิวากร (Daniel)

    เอื้อมจันทร์ (Seongwu)

     

    เอื้อมจันทร์กำลังสะกดกลั้นตัวเองไม่ให้ถอนหายใจระบายความอึดอัดที่มีในอกออกมายามที่เห็นร่างที่คุ้นเคยยืนนิ่งในสภาพที่ชวนหดหู่ใจ ใบหน้าก้มต่ำจนเส้นผมสีอ่อนปรกดวงตาและบดบังความรู้สึกบนใบหน้าไปจนหมด มือเล็กยื่นไปเบื้องหน้าก่อนจะโอบประคองกรอบหน้าให้เงยขึ้น

     

    หม่นหมองจนน่าปวดใจ

     

    เธอไล้ปลายนิ้วกับแก้มก่อนจะเลื่อนไปไล้เปลือกตาสีอ่อนด้วยความเห็นใจเมื่อเห็นร่องรอยของการอดหลับอดนอนอยู่ในนั้น ดวงตาแดงก่ำที่บ่งบอกว่าร่างกายพักผ่อนไม่เพียงพอ ทิวากรเอียงหน้าเข้าหาฝ่ามือของเธอราวกับว่าต้องการไออุ่นและการปลอบประโลม

     

    ถ้าเพื่อเขาแล้ว เธอเป็นให้ได้ทุกอย่าง

     

    บานประตูบานใหญ่สีดำถูกปิดลงเหมือนกับจะปิดซ่อนเร้นภาพที่จะเกิดขึ้นหลังจากนี้ เบื้องหลังบานประตูที่มีหญิงสาวผมยาวสีดำสนิทถึงกลางหลังในเสื้อเชิ้ตสีขาวตัวใหญ่กับชายหนุ่มร่างสูงในเสื้อเชิ้ตสีดำสนิท เป็นความแตกต่างที่ชัดเจนไร้ซึ่งความคล้ายคลึงหรือเสมอเหมือนที่ตรงไหน

     

    ร่างสูงก้าวเท้ามาชิดใกล้ เธอขยับถอยหลังตามจังหวะการก้าวเข้าหาก่อนจะยอมหยุดลงเมื่อสบกับดวงตารีคมที่มองมาเหมือนกับจะถามว่าทำไม เอื้อมจันทร์ตอบไม่ได้หรอกว่าทำไม มันอาจเป็นสัญชาตญาณเล็กๆหรือจิตใต้สำนึกที่สั่งให้เธอทำแบบนั้น

     

    แขนแกร่งเอื้อมคว้าตัวเธอเข้าไปกอด ความอบอุ่นเข้าโอบล้อมร่างกายแทบจะทันที เอื้อมจันทร์ขยับศีรษะเพื่อหาตำแหน่งที่จะทำให้เธอรู้สึกเป็นสุขและสงบลง

     

    ตำแหน่งที่เสียงหัวใจเต้นดังที่สุด

     

    เธอแนบหูกับมัน ทอดฟังเสียงที่เป็นจังหวะมั่นคงและหนักแน่นเพื่อกลบเสียงที่อึกทึกครึกโครมภายในหัวใจของเธอ แขนเรียวบางที่ตกอยู่ข้างลำตัวในคราแรกถูกยกขึ้นโอบกอดเอวสอบกระชับอ้อมกอดอุ่นให้แนบสนิทมากยิ่งขึ้น

     

    “ทะเลาะกับเขามาอย่างนั้นเหรอ”

     

    เธอได้ยินเสียงของตัวเองที่อู้อี้เพราะริมฝีปากแนบกับแผ่นอกเบื้องหน้า นิ่งรอคำตอบของคำถามที่ความจริงแล้วเธออาจจะรู้ได้ด้วยตัวเองโดยที่ไม่จำเป็นต้องเอ่ย

     

    “อืม”

    “เลิกกันแล้ว”

     

    น้ำเสียงทุ้มนุ่มดังขึ้นเหนือหัว เอื้อมจันทร์รับรู้ถึงการวางคางลงบนหัวของเธอ สัมผัสของมือหนาเลื่อนจากแผ่นหลังมาจับที่ท้ายทอย แทรกนิ้วเข้าไปที่เรือนผมของเธอที่ปล่อยสยายเหมือนกับว่าจะสางผมให้เธอด้วยมือคู่นั้น

     

    หลับตารับรู้ถึงสัมผัสที่อ่อนโยนจนเต็มตื้นในหัวใจ

     

    ความอบอุ่นจากสัมผัสที่ลบเลือนความหนาวเหน็บจากความผิดบาปในหัวใจ

    ความสุขที่แลกกับความทุกข์ทนที่ไม่อาจให้ใครรู้

     

    หากเธอเป็นพระจันทร์ เขาจะเป็นพระอาทิตย์

    หากเธอเป็นความมืด เขาก็เป็นเหมือนแสงสว่าง

     

    เราเป็นกระจกของกันและกัน

    เป็นอีกครึ่งหนึ่งที่สายใยสัมพันธ์ลึกซึ้งยิ่งกว่าพี่น้อง

     

    ฝาแฝด

    คือคำนิยามของพวกเธอ

     

    ทิวากรเป็นน้องชายที่เกิดห่างจากเธอเพียงห้านาที เราไม่มีอะไรที่เหมือนกันเลย รูปร่างหน้าตาแม้กระทั่งเพศสภาพ ใครที่มองเราต่างก็ไม่มีใครทายถูกแต่แรกว่าเราเป็นฝาแฝดกัน และนั่นคือสิ่งเดียวที่เอื้อมจันทร์อยากจะขอบคุณพระเจ้า

     

    เธอไม่อยากเหมือนเขา

    ไม่อยากเป็นส่วนหนึ่งของเขา

    ไม่อยากเป็นอีกครึ่งหนึ่งของเขา

    ไม่อยากใช้แม้กระทั่งสายเลือดร่วมกับเขา

     

    แต่เธออยากมีเขาตั้งแต่ครั้งแรกที่ลืมตา

    เธออยากเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตของเขา

    เธออยากเป็นอีกครึ่งหนึ่งในห้วงอารมณ์ของเขา

     

    เธอ…อยากจะมีสายเลือดที่เกิดขึ้น….จากเขา

     

    เธอมอบหัวใจให้กับคนในกระจก

    เธอตกหลุมรักเงาที่อยู่เคียงข้างมาตลอดชีวิต

    เธอปรารถนาอีกครึ่งหนึ่งของตัวเองจนแทบบ้า

     

    เธอรักฝาแฝดของตัวเอง

     

    “นอนนี้มั้ย”

     

    “อืม”

    “คงต้องอยู่ด้วยซักระยะ จนกว่าเขาจะย้ายออกไป”

    “รบกวนเธอรึเปล่า”

     

    “เปล่าๆ เธอจะอยู่นานแค่ไหนก็ได้”

    “เค้าไม่ลำบากใจหรอก”

    “เธอเป็นน้องของเค้านะ”

     

    “ขอบคุณครับ”

    “เธอใจดีตลอดเลย”

     

    “แน่ล่ะ”

    “แต่แค่เฉพาะกับเธอนั่นแหละ”

     

    เอื้อมจันทร์วางคางบนอกแกร่ง เงยหน้ามองใบหน้าที่ก้มลงมองมาเช่นเดียวกัน ส่งยิ้มให้กับใบหน้าหม่นหมองนั่นจนตายิบหยี อยากจะแบ่งปันความสดใสจากตัวเธอให้มากที่สุด

     

    ฝาแฝดช่างน่าอัศจรรย์

    เอื้อมจันทร์รับรู้ความรู้สึกสีเทาจากทิวากรได้อย่างแจ่มชัด เธอไม่รู้ว่ามีแฝดคู่ไหนเป็นแบบเธอรึเปล่าเพราะช่วงชีวิตนี้เธอพบเจอคนที่เป็นฝาแฝดน้อยมาก แต่ก็เคยอ่านเจอในอินเทอร์เน็ตถึงสายใยของฝาแฝด

     

    ทิวากรยิ้มมุมปาก มือหนาวางลงบนกลุ่มผมของเธอแล้วลูบไล้ตามความยาวนั้นอีกครั้งและอีกครั้ง เธอรู้ว่าเขาชอบมันและนั่นเป็นเหตุผลที่ทำให้เธอดูแลผมตัวเองอย่างดีเสมอ เธอดูแลตัวเองเพื่อความพอใจของเขา

     

    น่าตลกแต่มันเป็นความจริง

     

    ผู้หญิงที่หันมาสนใจความสวยงามเพียงเพราะอยากให้ใครสนใจ

    ผู้หญิงที่มีความรักก็เป็นแบบนั้นกันไม่ใช่เหรอ

     

    “เอาเสื้อเค้ามาใส่อีกแล้ว”

    “แทบจะไม่เคยเห็นเธอใส่เสื้อตัวเองเลยนะ”

    “แบบนี้ต้องเก็บค่าเสื้อแล้วล่ะมั้ง”

     

    เอื้อมจันทร์เบะปากใส่ก่อนจะใช้นิ้วคีบเสื้อตรงช่วงไหล่

     

    “ให้เค้าถอดคืนเลยมั้ย เด็กขี้หวง”

    “เค้าชอบเสื้อตัวใหญ่ๆ แล้วเพิ่งจะส่งผ้าไปซักเลยไม่มีใส่หรอก”

     

    “รู้แล้วครับๆ ล้อเล่นหรอกน่า”

    “รู้อยู่แล้วว่าชอบเสื้อตัวใหญ่ๆ ใส่ได้เค้าไม่ว่าหรอก”

     

    “เธอหิวมั้ย”

     

    “นิดหน่อย”

     

    “เดี๋ยวไปดูก่อนว่ามีอะไรกินเปล่า เค้าไม่รู้ว่าเธอจะมาเลยไม่ซื้อของอะไรไว้”

    “ถ้าไม่มีจริงๆ ไปกินข้างนอกกันนะ”

     

    “สามทุ่มแล้ว ดึกแล้วนะ”

     

    “แต่เธอจะหิว”

     

    “ลองไปดูในตู้ก่อนก็ได้”

    “มาม่าเค้าก็กินได้ครับ”

     

    เอื้อมจันทร์พยักหน้า ซุกซบใบหน้ากับแผ่นอกของทิวากรอีกครั้ง แอบสูดดมความหอมจากน้ำหอมที่เธอจำได้ว่าเธอซื้อเป็นของขวัญให้เขาก่อนจะผละออกมา จับจูงให้อีกคนมานั่งในห้องครัวที่เธอแอบโล่งใจที่ไม่มีอะไรเลอะเทอะให้เห็น

     

    เปิดตู้เย็นก็พบผักไม่กี่อย่าง ไข่และเนื้อหมูอีกนิดหน่อย ทั้งหมดล้วนเป็นสิ่งที่เธอซื้อมาเพื่อกินกับมาม่าทั้งนั้น เธอไม่ใช่ผู้หญิงที่เก่งเรื่องการทำอาหาร พอทำได้บ้างตามเมนูพื้นฐานทั่วไปแต่คนที่เก่งตัวจริงคือคนที่กำลังเดินมาซ้อนหลังเธอ ผูกผ้ากันเปื้อนให้ที่เอวทั้งที่เธอไม่ใส่ใจจะใส่มันแบบดีๆ

     

    ทิวากรยื่นหน้าผ่านไหล่ของเธอมาดูของในตู้เย็น เอื้อมจันทร์หันไปยิ้มแห้งๆใส่เมื่อในตู้เย็นนอกจากของที่เพิ่งหยิบออกมาเมื่อตอนต้น ก็มีเพียงนม น้ำเปล่าและเบียร์สี่ห้ากระป๋องเท่านั้น สำหรับคนที่ใส่ใจเรื่องการกินอย่างทิวากรคงไม่พ้นจะดุเธอเรื่องนี้

     

    “เอาอีกแล้วนะ”

    “เพราะแบบนี้เธอเลยตัวผอมเหมือนจะปลิวลมไง”

     

    “คนอื่นบอกว่าหุ่นดีหรอก”

     

    “คนอื่นจะเป็นห่วงสุขภาพของเธอเหมือนเค้ารึเปล่าล่ะ”

     

    ทิวากรมักใช้คำพูดประเภทนี้กับเธอเสมอ ถ้อยคำหรือประโยคที่ทำให้ยอมโอนอ่อนตามใจ พ่ายแพ้แม้กระทั่งการพูดคุยในบทสนทนาเล็กๆทั่วไป เอื้อมจันทร์หยุดปากที่จะเถียงกลับ ทำเป็นไม่ใส่ใจก่อนจะหันไปจัดการของที่จะเอามาทำ แต่ก็โดนแย่งไปจนหมด

     

    กลายเป็นว่าเจ้าของห้องที่ใส่ผ้ากันเปื้อนเรียบร้อยไม่ได้ทำ คนที่ทำกลับเป็นคนที่ใส่แค่เสื้อเชิ้ตตัวเดียงแถมยังเป็นแขกที่เพิ่งมาถึงอีกด้วย

     

    “กินด้วยกันดิ เธอจะให้เค้ากินคนเดียวเหรอ”

     

    “เธอหิวเธอก็กินซี่ เค้าไม่หิว”

     

    “งั้นเธอนั่งรอเค้าหน่อย”

    “นะ”

     

    “เฮ้อออออ เป็นผู้ชายซะเปล่า”

     

    “เค้าเป็นน้องเธอไง”

     

    “รู้แล้วน่า”

     

    รู้แล้ว

    รู้ว่าเป็นพี่น้องกัน

    รู้แล้ว

    รู้ว่าผิดแค่ไหน

    รู้แล้ว

    แต่ถึงอย่างนั้น

     

    หัวใจก็ยังเต้นรัวอยู่ดี

     

     

    “เป็นไงบ้างอะ”

    “ทำไมรอบนี้เลิกกันเร็วจัง”

     

    “ไม่รู้สิ”

    “เหตุผลแบบเดิมๆล่ะมั้ง”

    “เค้าไม่ค่อยใส่ใจ ไม่ค่อยมีเวลา อะไรทำนองนั้น”

     

    ทิวากรยักไหล่ประกอบ

     

    ท่าทีที่ดูเฉยเมยผิดกับใบหน้าหม่นหมองที่เอื้อมจันทร์เห็นตอนเปิดประตูชวนให้รู้สึกสับสนและติดขัดในหัวใจ แต่เธอก็ทำเป็นปล่อยผ่านเลย เอื้อมมือไปขยี้เส้นผมสีอ่อนที่รอบนี้คนตัวสูงกัดจนเป็นสีบลอนด์สว่าง น่ากลัวว่าสุขภาพผมจะแย่เอาซักวัน

     

    “จะพูดตั้งแต่แรกแล้ว”

    “ผมสีนี้เหมาะกับเธอดี”

    “อันที่จริงผมสีไหนก็เหมาะกับเธอ”

     

    “เค้าก็จะพูดเหมือนกัน”

    “เธอตัดหน้าม้าใหม่ใช่มั้ย”

    “มันสั้นกว่าครั้งก่อนที่เจอ น่ารักดี”

     

    ครั้งก่อนที่เจอคือสามวันก่อน

    หน้าม้าที่เธอตัดก็แค่เล็มออกเพียงเล็กน้อยไม่ให้มันบังตา

     

    ผู้หญิงพวกนั้นพูดออกมาได้ยังไงว่าทิวากรไม่ใส่ใจ

    พวกเธอทำร้ายทิวากรด้วยคำพูดประเภทนั้นได้ยังไง ทั้งที่ความจริงมันไม่ใช่แบบนั้นเลย

     

    “จะอาบน้ำเลยมั้ย เดี๋ยวเค้าไปเตรียมเสื้อให้”

     

    “ครับผม”

     

    เอื้อมจันทร์ลุกจากโต๊ะเดินเข้าไปในห้องนอน เปิดตู้เสื้อผ้าที่ฝั่งหนึ่งเป็นของเธอและอีกฝั่งหนึ่งเป็นของคนที่ยังนั่งกินมื้อดึกในครัว หยิบชุดที่คิดว่าน่าจะใส่ได้ออกมาแล้วไปจัดไว้ในห้องน้ำ เธออาบน้ำแล้วเลยเหลือแต่คนที่เพิ่งมานั่นแหละ

     

    ได้ยินเสียงล้างจานในครัว เอื้อมจันทร์รู้สึกง่วงนอนขึ้นมาหลังจากที่จัดเตรียมทุกอย่างไว้จนหมดแล้ว เดินไปชะโงกหน้าบอกคนที่กำลังหันหลังล้างจานอยู่ว่าขอตัวนอนก่อน เธอปั่นโปรเจ็คจนนอนน้อยมาหลายวันแล้วเลยอยากจะพักผ่อน เสียงตอบรับในลำคอของทิวากรทำให้เธอทิ้งตัวลงบนเตียงอย่างสบายใจ

     

    ร่างกายปิดสวิทช์ทันทีที่หาท่าที่เหมาะๆได้

     

     

     

     

     

     

     

    นานเท่าไหร่ไม่รู้ที่เธอหลับไป จู่ๆร่างกายก็รู้สึกถึงสัมผัสแผ่วเบาบริเวณใบหน้า สัมผัสอุ่นจัดจนเกือบร้อนวนอยู่ที่แก้ม เปลือกตา กรอบหน้าแล้วมาหยุดที่ริมฝีปาก ไล้วนจนเธอนึกอยากจะกัดให้รู้แล้วรู้รอด

     

    เธอทำมันจริงๆ

     

    ก้านนิ้วชะงักหยุดเมื่อเธอกัดเบาๆ เอื้อมจันทร์งัวเงียลืมตาขึ้นมาพบกับเจ้าของนิ้วในปากที่อยู่ใกล้แค่เอื้อม ทิวากรนอนตะแคงเอามือรองศีรษะหันมาทางเธอ กลิ่นแอลกอฮอล์ที่ลอยออกมาจากตัวเขาทำให้รู้ว่าเครื่องดื่มนอกจากนมของเธอคงตกลงไปอยู่ในกระเพาะของผู้ชายคนนี้หมดแล้ว

     

    “เป็น อ๊ะ”

     

    นิ้วเรียวยาวเข้ามาสัมผัสกับเรียวลิ้นทันทีที่เธอเปิดปากพูด เธอไม่กล้ากัดนิ้วเขาแรงๆทำเพียงแค่จับข้อมือไว้แม้ว่านิ้วที่อยู่ในปากจะยังคงหยอกล้อกับลิ้นของเธออยู่

     

    เดาไม่ออกเลยว่าตอนนี้ทิวากรกำลังคิดจะทำอะไร

     

    “อื้อ อึ๊”

     

    นิ้วเรียวถูกถอนออกไป หยาดน้ำที่เคลือบนิ้วพวกนั้นชัดจนเอื้อมจันทร์รู้สึกน่าอาย รีบจับมือมาเช็ดกับเสื้อให้อย่างคนที่คิดอะไรไม่ค่อยออกยามเพิ่งตื่นหรืออยู่ในระยะครึ่งหลับครึ่งตื่นตอนนี้

     

    “จูบ…ได้มั้ย”

     

    คำถามที่ดังขึ้นทำให้เธอชะงักไปทั้งตัว เลื่อนสายตาจากมือที่กำลังวุ่นอยู่กับการเช็ดมือให้อีกคนมาที่ใบหน้าที่ถูกความมืดปิดบัง เธอมองไม่เห็นความรู้สึกบนใบหน้านั่นเลยจนอยากจะหันไปเปิดไฟหัวเตียงเพื่อเพิ่มแสงสว่าง

     

    แต่เธอไม่มีโอกาสทำแบบนั้น

     

    ทิวากรเลื่อนใบหน้ามาใกล้ กดจูบทันทีทั้งที่ยังไม่มีถ้อยคอนุญาติ รสขมของเครื่องดื่มที่ยังตกค้างอยู่ในโพรงปากส่งต่อให้เธอจนเหมือนกับว่ากำลังถูกมอมเมา เอื้อมจันทร์จูบตอบแทบจะทันทีตามที่หัวใจเคยปรารถนา

     

    เกี่ยวกระหวัดรุกไล่แบบที่รู้ด้วยสัญชาตญาณว่าอีกคนจะชอบ

     

    ลืมความขมปร่าของสายสัมพันธ์ชิดใกล้ของพี่น้องแล้วดื่มด่ำความหอมหวานของห้วงอารมณ์ความต้องการ

     

    เธอไม่รู้ว่าทำไมทิวากรทำแบบนี้ แต่สำหรับเอื้อมจันทร์ที่หลงรักพระอาทิตย์อย่างถอนตัวไม่ขึ้น เธอพูดได้เต็มปากว่าปฏิเสธไม่ใช่เรื่องยากแต่เพราะเธอไม่อยากทำ ไม่อาจถอนตัวในความรู้สึกที่ลึกล้ำนี้

     

    ริมฝีปากถูกกัดและดูดดึงตามแรงอารมณ์ที่พวยพุ่งขึ้น อากาศเย็นๆจากเครื่องปรับอากาศแทบจะไม่มีผลกับร่างกายที่อุณหภูมิสูงขึ้นเรื่อยๆ ริมฝีปากลากไล้ไปตามลำคอ ขบเม้มตามแต่ใจที่อยากจะทำและเธอให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี

     

    “เธอเมางั้นเหรอ”

     

    เอื้อมจันทร์ยั้งตัวเองไม่ให้ถามไม่ได้ เธอรู้ดีว่าแอลกอฮอล์แค่นั้นทำอะไรทิวากรไม่ได้ เขาไม่ใช่คนที่จะเมาง่ายขนาดนั้นเหมือนกับเธอ แต่การกระทำแบบนี้เธอเดาไม่ออกว่าถ้าไม่ใช่เพราะเมาแล้วจะเป็นอะไร

     

    “เปล่า”

     

    “….เธอรู้งั้นเหรอ”

     

    ร่างหนาที่ขึ้นคร่อมเธอไว้ทั้งตัวเลื่อนจากการซุกไซร้ที่ลำคอขึ้นมาประคองใบหน้าของเธอไว้ ประกบจูบเหมือนกับว่าไม่อยากให้เธอถามอะไรอีก

     

    ลืมว่าเคยเป็นใครและเป็นอะไร

    ลืมสถานะต่างๆทุกสิ่งอย่างไป

     

    เสื้อเชิ้ตสีขาวถูกถอดออกอย่างง่ายดาย

    เสื้อตัวใหญ่นี้ไม่ใช่ของเธอ มันอาจจะสมควรแล้วก็ได้ที่ถูกถอดออกโดยเจ้าของมัน

     

    นิ้วที่ลากผ่านไปทั่วร่างกายนั้นกำลังปลดเปลื้องทุกอย่างออกจากร่างกายและหัวใจของเธอ ชั้นในสีดำทั้งบนและล่างยังอยู่ครบแต่เอื้อมจันทร์รู้สึกราวกับเปลือยเปล่าเมื่อสบตากับตาคู่นั้น

     

    ความรู้สึกถูกค้นพบและดึงออกมาเพื่อเจอความจริงเบื้องหน้า

     

    จูบที่เร่งเร้ากับสัมผัสที่ร้อนแรงพวกนั้นไม่ได้ทำให้ความขมปร่าในหัวใจหายไป ต่อให้เต็มใจ ต่อให้รักแค่ไหนแต่ความผิดบาปที่กัดกินก็ทำให้น้ำตาหยาดหยดจากหางตา

     

    หัวใจร่ำร้องในความทรมานไร้ที่มา

    ทว่ายิมยอมและพลีกายให้ความรู้สึกหอมหวานที่อบอวล

     

    สัมผัสจากมือที่บีบเคล้นไปทั่วร่างกาย ชั้นในสีดำถูกถอดออกไปจนตอนนี้เธอไม่เหลืออะไรบนตัวอย่างแท้จริง ไม่มีอะไรมาคั่นกั้นความร้อนจากฝ่ามือที่ลากไล้ ยอดอกถูกดูดดึงแตะต้องเหมือนกับว่าขนมหรือของกินที่ชอบ ถูกละเลียดและกัดกลืน จนหวามไหวไปหมดทั้งตัว

     

    หอบหายใจกับแรงอารมณ์ที่ถูกป้อนใส่

     

    ทิวากรหยัดตัวขึ้นก่อนจะถอดเสื้อออกไป โยนไว้ที่ไหนซักแห่งอย่างไม่ใส่ใจจะมองตาม สายตาคมมองแต่ร่างที่บิดเร้าหนีฝ่ามือของเขา เป็นภาพความสวยงามที่แทบจะทำให้หายใจลำบาก

     

    เอื้อมจันทร์กระตุกทันทีที่ฝ่ามือลากไปยังจุดที่เป็นจุดอ่อนไหว เรียวขาหุบเข้าหาอัตโนมัติแต่ก็ถูกแขนแกร่งแทรกเข้ามาแหวกอ้าและพาตัวเองมาอยู่ในพื้นที่ว่างนั้น

     

    หัวสมองขาวโพลน เผลอยกสะโพกเมื่อนิ้วเรียวสอดใส่เข้าไปหลังจากที่สัมผัสภายนอกจนพอใจ ขยับถี่รัวจนร่างกายต้องขยับหนี แต่กลับสิ้นแรงเมื่อเรียวลิ้นที่ลากไล้ไปมาหยอกล้อกับจุดที่ทำให้ร่างทั้งร่างชาดิก ความรู้สึกมากมายหลากหลั่ง ในหัวมีแต่ความต้องการที่พุ่งทะยานขึ้น

     

    ร้องขอ

    อ้อนวอน

    มากกว่านี้

     

    ลืมเลือนความเจ็บลึกจากความผิดบาป

    มองข้ามความขมขื่นที่จะตามมา

     

    ยินยอม เดินบนเส้นทางที่ไม่หวนกลับ

    ยินยอม เปิดเปลือยทั้งตัวและหัวใจ

    ยินยอม กล้ำกลืนความเจ็บปวดไว้

    เพียงเพื่อ ความสุขชั่วครั้งที่ไม่อาจเปิดเผยให้ใครรู้

     

     

    เอื้อมจันทร์กำผ้าปูที่นอนไว้แน่นยามที่ความรู้สึกจุกและคับแน่นเล่นงาน อ้าปากหายใจจนหอบเพื่อที่จะผ่อนคลายตามเสียงกระซิบที่ข้างหู เอวสอบที่เข้ามาอย่างเชื่องช้าจนสุดนั้นทำให้เธอหอบหายใจแม้จะยังไม่มีการขยับตัวใดๆ

     

    เจ็บปวดแต่ยินดีรับมัน

    เป็นความเจ็บปวดที่สุขสมและทรมานในช่วงเวลาเดียวกัน

     

    เสียงน่าอายดังขึ้นทันทีที่มีการเคลื่อนไหว เสียงร่างกายสอดประสานกัน เสียงครางต่ำที่ทำให้เอื้อมจันทร์ยกมือขึ้นปิดปากตัวเองเพียงอยากฟังเสียงที่คลับคล้ายกับว่าพึงพอใจนั้น

     

     

    ความรัก หลอกล่อ

    ผู้คน ช่างโง่เขลา

     

    ลวงหลอกให้ผู้คนยินดีบูชายันต์ตัวเองสังเวยแก่ความรักที่น่าชัง

     

    เธอถูกแผดเผาครั้งแล้วครั้งเล่า เหยียบย่างลงบนกองไฟที่ลุกโหมจนถูกไฟพวกนั้นลามเลียจนหลอมละลาย ก่อนจะถูกกอบโกยขึ้นมาใหม่เพื่อถูกแผดเผาอีกครั้งและอีกครั้ง จนเกือบรุ่งสาง

     

    ตื่นขึ้นมากับความรู้สึกที่แตกสลาย

     

    ความเหนื่อยล้าจู่โจมจนแทบลืมตาไม่ขึ้น ปวดเมื่อยไปทั้งร่างกายทันทีที่สติรู้ตัว ข้างเตียงว่างเปล่าไร้ร่องรอยของคนที่คลอเคลียไม่ห่างหายเมื่อคืน จู่ๆเนื้อเพลงที่เธอชอบฟังก็ผุดขึ้นมาในหัวจนอดจะหัวเราะเยาะตัวเองไม่ได้

     

    I know you’re leaving in the morning when you wake up 

    Leave me with some kind of proof it’s not a dream

     

     

    ความรู้สึกที่เก็บงำมาตลอดถูกกระชากออกมาเจอกับความจริงที่เจ็บปวด

    เกลือกกลิ้งตัวเองในความรู้สึกผิดบาปเมื่อนึกถึงความสุขสมยามสัมผัสกัน

     

    แหลกสลายไปทั้งหัวใจ

     

    เธอคือพระจันทร์ เขาคือพระอาทิตย์

    พระจันทร์ที่ตกหลุมรักพระอาทิตย์แม้ว่าไม่อาจเข้าใกล้ ไม่อาจไขว่คว้าไว้ตลอดกาล

     

    เสียงกดออดหน้าประตูทำให้เอื้อมจันทร์ที่ซุกใบหน้าร้องไห้กับฝ่ามือเงยหน้าขึ้น อาจเป็นแม่บ้านที่จะมาทำความสะอาด เธอลุกขึ้นสำรวจเนื้อตัวไม่ให้น่าเกลียดเกินไป เสื้อตัวใหญ่ยังอยู่บนตัวเพียงแต่ไม่ใช่เสื้อเชิ้ตสีขาวแต่เป็นเสื้อยืดที่ตัวใหญ่จนเหมือนกับว่าเป็นเดรส

     

    เธอชอบเสื้อตัวใหญ่แต่ไม่ใช่เสื้อตัวใหญ่ที่ไหนก็ได้ เธอแค่ชอบใส่เสื้อของเขาเพราะแค่อยากสัมผัสความรู้สึกยามถูกโอบล้อมด้วยอ้อมแขนเขา

     

    ไม่มีใครรู้ความจริงข้อนี้

     

    มีเพียงแต่เธอ

     

    คนเดียว

     

     

     

    เธอคือพระจันทร์ เขาคือพระอาทิตย์

    เราเกิดมาคู่กันแต่ไม่ได้รับอนุญาตให้ใช้ชีวิตร่วมกัน

     

Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in