บางทีเราจะรู้ว่าตัวเองชอบไม่ชอบอะไรก็จนกว่าจะได้ทดลองอยู่กับมัน
เรื่องนี้เราค่อนข้างมีประสบการณ์นะ ตอนเด็กๆอยากเป็นสัตวแพทย์มาก แต่พอได้ไปลองผ่าตัดน้องหมาครั้งหนึ่ง เราถึงกับอ้วกและรู้ตัวว่าต่อให้รักสัตว์มากแค่ไหน สัตว์แพทย์กับเราก็ไปกันไม่ได้จริงๆค่ะ
กับญี่ปุ่นเอง ตอนเข้ามาเรียนญี่ปุ่นนี่ก็ชอบในระดับนึงเลยนะ แต่ปรากฏว่าความชอบเราไม่มากพอที่จะสู้กับความยากของมัน
คือญี่ปุ่นเป็นภาษาที่มีอะไรจุกจิกเยอะมาก คำช่วยบ้างล่ะ tenseบ้างล่ะ ระดับภาษาบ้างล่ะ
กว่าจะอ่านออกเขียนได้คือเหนื่อยอ่ะค่ะ แล้วเราเป็นคนที่ค่อนข้างเรียนรู้ช้า คือต้องค่อยๆเป็นค่อยๆไป แต่พอมาเจอโดนอัดแกรมม่าให้หมดภายในสี่เทอม ทำเอาเราเหนื่อยและตามไม่ทันจริงๆ (ถามเพื่อนที่เรียนศิลป์-ญี่ปุ่นมาคือแกรมม่าที่สอนตอนมัธยมทั้งหมดมันมาถึงเนื้อหาแค่เทอมที่สองของมหาวิทยาลัยเองค่ะ)
เข้าใจว่าที่ต้องอัดขนาดนี้เป็นเพราะเราต้องเก่งและออกไปทำงานให้ได้โดยมีเวลาเตรียมตัวแค่สี่ปี อาจารย์เลยต้องอัดรัวๆแบบนั้น
แต่หนูจะตายแล้วค่ะ... Orz
จะเรียนญี่ปุ่นได้คือต้องมีPassionและขยันในระดับmaxเลยล่ะ
ที่เราเจอจนจบปีสองจะเป็นเบสิก1-4 แล้วก็ ฟัง-พูด1-2
เบสิกนี่ก็ไวยากรณ์ล้วนๆ มีบทอ่านปะปนบ้าง ซึ่งเราค่อนข้างสนุกกับบทอ่านเลยค่ะ ได้เรียนรู้วัฒนธรรมญี่ปุ่นเยอะดี แล้วก็เวลาเรียนเบสิกนี่ก็จะได้ยินอาจารย์พูดตลอด
"ไม่ไหวก็ถอนได้นะคะนักศึกษา"
"เอ๊ะ วันถอนหมดเขตเมื่อไหร่นะ"
"ตอบงี้ ไปถอนเถอะค่ะ"
และอีกสารพัดคำว่าถอน ที่เราได้ยินจนชินหูไปแล้ว 555555 แต่เราก็หน้าด้านอยู่ต่อค่ะ
ฟังพูดจะเรียนการฟังกับอาจารย์ไทย แต่เรียนการพูดกับอาจารย์ชาวญี่ปุ่น ซึ่งสนุกมากเลยนะการพูดเนี่ย
ตอนปี1เทอม1เข้ามาใสๆ เจอให้พูดประโยคภาษาญี่ปุ่นที่พูดเร็วๆแล้วจะลิ้นพัน เหมือนพวกยักษ์ใหญ่ไล่ยักษ์เล็กอะไรประมาณนั้น
คือ แก...เราปีหนึ่งเข้ามาอ่านก็ยังไม่ค่อยคล่อง ให้พูดช้าๆยังตะกุกตะกัก แล้วต้องมาเจออะไรแบบนี้ก็ตายสิคะ
แถมอาจารย์เป็นคนญี่ปุ่นหน้าตาเหมือนSalary manที่จะขรึมๆอ่ะ นี่ก็กลัวสิ พูดโต้ตอบกับอาจารย์ก็ยังไม่ได้ อาจารย์พูดอะไรมาก็แปลไม่ออกต้องสะกิดเพื่อนข้างๆทุกที โดนเรียกทีไรมีสะดุ้ง
แต่มันก็ได้ผ่านไปแล้วค่ะ 55555555
พอปี2เทอม2 ประโยคเดิมๆที่เจอในวันแรกนั้นมันคัมแบคมาแล้วค่ะ แต่คราวนี้เราเห็นพัฒนาการของตัวเองเลยนะ คือเราทำได้ดีกว่าเดิมมาก(มีความอวยตัวเอง) และที่สำคัญคือเราฟังอาจารย์พูดรู้เรื่องด้วยอ่ะ ปลาบปลื้มมากกกกกก เหมือนดูอนิเมะแล้วเราฟังออกอ่ะ ให้ความรู้ดีมากจริงๆ 55555
ความโหดของปีสองเทอมสองคือตอนสอบจะเป็นการสอบแบบInterview เตรียมตัวไม่ได้เลย พูดด้นสดในห้องสอบ ขุดคลังศัพท์ในหัวให้ได้มากที่สุด ส่วนไวยากรณ์นั่นช่างแม่งไปเลยค่ะ แต่เรากลับชอบการสอบแบบนี้มาก เพราะปกติเราจะไม่ค่อยได้พูดญี่ปุ่น แล้วมันก็เหมือนไม่ได้ใช้ พอมาได้ทำอย่างนี้ก็รู้สึกสนุกมาก
ตัวอย่างการสัมภาษณ์ของเรา
อ. : ตอนนี้ชอบใครมากที่สุดครับ
เรา : ซึงฮุน วินเนอร์ค่ะ บอยแบนด์จากเกาหลี (ปลุกความติ่งในตัวคุณ 555555)
อ. : อ๋อ งั้นทำไม่เรียนเกาหลีล่ะ มาเรียนญี่ปุ่นทำไม
เรา : (ชิบหาย จะตอบไงวะ) เอ่อ ญี่ปุ่นหางานได้ง่ายกว่าในไทยค่ะ
อ. : แต่เดี๋ยวนี้คนก็เรียนเกาหลีเยอะนะ อาจารย์ภาคเกาหลีก็เยอะ เขาจะไปทำงานอะไรกันล่ะ
เรา : (ไม่รู้ว้อยยยย อัลไลเนี่ย) คงต้องไปทำที่เกาหลีอ่าค่ะ เป็นล่ามในบริษัท พวกแซมซัง ฮุนได
อาจารย์ก็พยักหน้า คือตอนสอบไม่ได้ราบรื่นขนาดนั้นนะคะ อีนี่ตอบตะกุกตะกักมาก แบบจะตอบไงดีวะ ศัพท์ในหัวก็ไม่ค่อยมี
แต่ก็ผ่านมาแล้วค่ะ เฮ้!
เป็นโทญี่ปุ่นจะดีตรงที่หลังจากจบเทอมหน้า(ปีสามเทอมหนึ่ง) เราก็เลือกอย่างเสรีได้เลยว่าจะเก็บตัวไหนบ้าง ซึ่งที่เรามองๆไว้ก็จะเป็นการแปลญี่ปุ่นเป็นไทย แล้วก็พวกวรรณกรรมญี่ปุ่นสมัยใหม่ จะขึ้นสวรรค์หรือลงนรกยังไงจะมาเล่าให้ฟังละกันค่ะ 5555555
ตอนนี้คือดีใจมากที่เราได้ญี่ปุ่นเป็นโท รู้สึกผ่อนคลายลง และมีความสุขมากขึ้นจริงๆค่ะ ไว้ตอนต่อไปจะมาพูดถึงขาประวัติศาสตร์ที่เป็นตัวเปลี่ยนความคิดบางอย่างของเราไปเลย
またね ❤︎
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in