เขาว่ากันว่า...ชีวิตคือการเรียนรู้
ทำไมต้องขึ้นต้นประโยคแบบคลิเช เอาใหม่ !
จริงๆคืออยากเขียนเรื่องชีวิตการเรียนของตัวเองเอาไว้ อยากเล่าเรื่องของเราให้ใครสักคนฟัง ก็ไม่รู้ว่าใครมันจะมาอ่าน
55555555555 แต่ก็จะเขียนแหละ
ชีวิตไม่เคยคิดว่าตัวเองจะกระหายการเรียนรู้ขนาดนี้มาก่อน เพราะตอนเรียนตั้งแต่อนุบาลมาจนจบปีหนึ่ง ชีวิตเราเฉื่อยมาก เรียนให้จบไปวันๆ ม.ต้นเรียนโครงการวิทย์-คณิต เพราะเขาบอกว่าดี(เขาไหนก็ไม่รู้) ม.ปลายก็ต่อสายวิทย์-คณิตอีกเพราะพ่อแม่บอกว่ามันมีทางเลือกมากกว่า ก็โอเค เรียนๆไป
จนกระทั่งจะเข้ามหาวิทยาลัย เรายอมรับว่าตัวเองไปด้านวิทย์-คณิตไม่ไหวแล้ว ม.6เทอมสุดท้ายเราดร๊อปฟิสิกส์(ดร๊อปได้เพราะหน่วยกิตเกินแล้วนะ) ที่ดร๊อปเพราะเราแม่งโคตรเหี้ยฟิสิกส์ จริงๆคืออะไรที่เป็นคำนวนเราย่ำแย่หมด คณิตเสริม เคมี ก็เช่นกัน(เคมีพอถูไถได้นะ) แต่ก็จบมาด้วยเกรด3.5กว่าๆ แต่คิดว่าเราคงลาขาดจากกันนะวิทย์-คณิต
แน่นอนว่าถ้าไม่ใช่วิทย์-คณิตก็ต้องเข้าสายภาษา เราพุ่งเป้ามาที่อักษรฯ ศิลปศาสตร์ อะไรแบบนั้น ก็สุดท้ายติดโควต้า อักษรฯ ศิลปากร ภาคปกติ เราไม่ลังเลและเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของบ้านหลังนี้ทันที
ทีนี้ก็มาคิดต่อว่า "เราจะเรียนภาษาอะไร" ด้วยความที่เคยเรียนจีนมาตอนประถมและมันยังพอฝังอยู่ในหัวบ้าง หนี่ห่าว ชือฟั่นเลอมา? ได้อยู่ ก็คิดว่า เรียนจีนดีมั้ย แต่ใจก็เอนเอียงไปทางญี่ปุ่นเพราะตัวอักษรฮิรากานะ คาตาคะนะ มันน่ารัก(ดูเหตุผลมันสิ) จริงๆคือมีเรื่องอนาคตมาเกี่ยวด้วยแหละ คิดว่าเรียนญี่ปุ่นจบไปเงินเดือนงามมาก(หรือไม่จริง?) ก็เลยโอเค เรียนญี่ปุ่นนะ
พอตัดสินใจปุ๊บ แม่งงงง!
ต้องมาสอบภาษาต่างด้าวเพื่อวัดว่าเรามีเซ้นส์ทางภาษามั้ย ซึ่งภาษาต่างด้าวมันก็คือการสร้างระบบไวยากรณ์ขึ้นมา(โดยอาจารย์) แล้วดูว่าเราเขื่อมโยงมันได้แค่ไหน คิดว่าสอบเข้ามาแล้วไม่มีสอบคัดอีก โนวววววว ฝันแล้วค่ะ
แต่เออ เราก็สอบผ่านว่ะ 5555555
แต่ช้าก่อน....
ยังไม่จบแค่นั้นนะ ได้เข้าไปเรียน ใช่ว่าจะได้ญี่ปุ่นเป็นเอกนะคะ ยังงงงง ชีวิตมันโหดร้ายกว่านั้น
คือระบบของอักษรฯที่นี่จะเป็นแบบเรียนเอก-โท ก่อนจะเข้าเอก-โท ต้องเก็บขาวิชาอย่างน้อยสามขาในสามเทอม (จะเก็บสี่ห้าหกเจ็ดแปดขาก็แล้วแต่ใจเธอ) แต่คืออักษรฯที่นี่เป็นอะไรที่จับฉ่ายมาก ขึ้นชื่อว่าอักษรฯอย่าคิดว่ามีแต่ภาษา ที่นี่ยังมีปรัชญา ศิลปะ สังคมศาสตร์ ภูมิศาสตร์ นาฏยศาสตร์ บลาๆๆ เยอะมาก เยอะจนแบบ เชี่ย นี่อักษรฯจริงๆเหรอ?
โอเค ต่อ
ตอนนั้นก็เก็บญี่ปุ่น ไทย อิ้ง สุดท้ายเราถอนอิ้งค่ะ(ยอมรับว่าโง่อิ้งในระดับนึง ให้มาเขียนพารากราฟอะไรก็ไม่รู้ หนูโง่แกรมม่าค่ะ 55555) เราเปลี่ยนไปเก็บขาประวัติสามตัวรวดในเทอมเดียว(เดี๋ยวจะเล่าให้ฟังทีหลังนะ)
กลับมาที่ปีหนึ่งเฟรชชี่ใสๆ เข้าไปเรียนญี่ปุ่นวันแรก อาจารย์ผู้น่ารักบอกว่า...
"ใครไม่ไหวถอนได้เลยนะคะ"
วันแรกก็โดนไซโคกันอย่างนี้เลยค่ะ และไซโคอย่างนี้ตลอดเทอมจนหมดเทอม ขึ้นเทอมใหม่ก็เจอมันอย่างนี้แหละค่ะ อาจารย์เป็นสายS เราก็ต้องเป็นสายM เข้าสู้ค่ะ เอาสิคะ
ตัดมาที่ปัจจุบัน...
ยอมแพ้แล้วค่ะ TwT
เออ จริงๆคือเรียนญี่ปุ่นสำหรับคนไม่มีพื้นมันเหนื่อยสัส เหนื่อยเหี้ย เหนื่อยโคตรๆ เหนื่อยแบบโคตรเหนื่อยอ่ะ แล้วยิ่งถ้าเราไม่มีpassionแบบ ฉันเรียนเพื่อนักร้องญี่ปุ่น เรียนเพราะชอบอ่านมังงะ ง่ายๆคือถ้าไม่ได้เรียนเรียนเพราะเริ่มจากติ่งอะไรบางอย่างเกี่ยวกับญี่ปุ่น คือมีสิทธิ์ท้อได้ง่ายมาก(เช่นฉันเอง)
กว่าจะฮึดสู้แต่ละทีคือเหนื่อย ร้องไห้ก็เยอะ มันไม่มีอะไรมาดึงเราไง และมันเลยทำให้รู้ว่าถ้าไม่มีpassionมากพอบางทีมันก็ไม่รอดนะ คำว่าเรียนๆไปเดี๋ยวก็ได้มันใช้ไม่ได้สำหรับทุกคนหรอก จะเรียนอะไรมันต้องใจรักด้วย
และสุดท้ายตอนนี้เราก็เลยเรียนโทญี่ปุ่นค่ะ ส่วนเอกนั้น...
เอกไทยค่ะ
ใครที่อ่านมาถึงตรงนี้และคิดว่า โหยยย เอกไทย ง่ายๆ กล้วยๆ
จง-หยุด-คิด-มัน-เสีย-ตั้ง-แต่-เดี๋ยว-นี้ !
เดี๋ยวจะมาเล่าให้ฟังว่าเอกไทยเป็นยังไง โทญี่ปุ่นเป็นยังไง และขาประวัติที่เราเก็บเป็นยังไง และชีวิตการเรียนที่ตอนนี้เราHappyกับมันมากเป็นยังไง
ปีสองเป็นทางสว่างของเรามาก เหมือนได้ตรัสรู้(ตัดภาพมาที่ไฟนอลกินเอ็มร้อยมันทุกคืน) ที่บอกว่าเหมือนได้ตรัสรู้ เพราะเราคิดว่าเราเจอตัวเองแล้ว(เฮนโหลวตัวเอง... หายไปไหนมา ให้ตามหาตั้งนาน)
และกว่าจะเจอตัวเองมันไม่ง่ายเลยจริงๆนะ (' ' )
ปล. จริงๆเราเพิ่งจบปีสอง ก็จะเล่าในส่วนปีสองให้ฟังก่อน ถ้าจบปีสามก็จะกลับมาเล่าอีก ถ้าจบปีสี่ก็จะมาเล่าให้ฟังอีก ต่อให้ทำงานถ้ามีเรื่องอยากบ่นก็จะมาเล่าอีก 555555555
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in