เรายื่นขอฝึกงานที่นี่มีเหตุผลบางข้อนอกเหนือจากเป็นสายงานที่ต้องการไปฝึก รูปแบบงานท้าทายและน่าสนใจแล้ว เราคิดเผื่อการเดินทางไปทำงานที่บริษัทว่าเราสะดวกเดินทางไปทำงานที่ออฟฟิศมากน้อยแค่ไหน
เพราะการเดินทางไปที่บริษัทนั้นง่ายแสนง่าย เพราะรถไฟฟ้า MRT ที่เราขึ้นไม่ต้องเปลี่ยนสาย และเมื่อลงจากสถานีสามย่านก็เดินไปถึงที่หมายได้ไม่ยาก ใกล้เสียยิ่งกว่าใกล้
ตั้งแต่วันที่ไปสัมภาษณ์ที่ออฟฟิศของบริษัท พี่หัวหน้าได้แจ้งกับเราไว้แล้วว่าจะสลับให้เรามาทำงาน
ที่ออฟฟิศ 2 วัน และอีก
3 วัน ทำงานที่บ้าน ช่วงแรกเรามีกำหนดให้เข้าไปทำงานที่ออฟฟิศทุกวันจันทร์กับวันพุธ ภายหลังได้ปรับเปลี่ยนวันเข้าไปทำงานที่ออฟฟิศให้ตรงกับพี่ที่ดูแลเราในแต่ละงาน แต่ยังคงเป็น 2 วันต่อสัปดาห์เหมือนเดิม
จากมุมมองของเรา การฝึกงานอยู่ที่บ้านให้ความรู้สึกแตกต่างจากการไปทำงานที่ออฟฟิศค่อนข้างมาก เราเรียนออนไลน์มาสักพักใหญ่ การใช้อุปกรณ์จึงไม่ได้มีปัญหาอะไรนัก
ช่วงแรก เราได้รับงานมอบหมายมาซึ่งใช้เวลาประมาณ 2 อาทิตย์หรือบางทีก็มากกว่านั้น แต่ละวันก็อัปเดตให้พี่ ๆ ทราบว่าวันนี้เราทำงานอะไร ทำไปถึงไหนพร้อมส่งภาพความคืบหน้าของงานให้ดูทางกลุ่มไลน์ให้พี่ ๆ หรือลูกค้ารับทราบ
หากมีข้อสงสัยเราก็จะส่งข้อความถามหรือโทรหาพี่ที่ดูแล แต่การทำงานอยู่บ้าน เพื่อน ๆ ที่เรียนออนไลน์คงเข้าใจดีว่าเราไม่ได้ต้องตื่นเช้า ไม่ได้เตรียมตัวมากเท่าตอนออกไปข้างนอก พร้อมกับลดความเสี่ยงที่ต้องออกไปเผชิญโควิดในช่วงนั้นด้วยก็ถือเป็นข้อดี
ส่วน
การทำงานที่ออฟฟิศ แน่นอนว่าเราขึ้นรถไฟฟ้าไปทำงาน ทุกครั้งก็ไม่ลืมพกเจลแอลกอฮอล์ หรือสเปรย์แอลกอฮอล์ติดตัว ติดกระเป๋าไปและฉีดหรือล้างมือทุกครั้งเมื่อต้องจับสิ่งของอย่างเช่น ลูกบิดประตู พี่ ๆ ที่ทำงานก็ใส่ใจเรื่องนี้เช่นกัน เพราะออกไปทำงานช่วงโควิดระบาดแบบนี้ต้องระวังตัวมาก ๆ พอเจอพี่ ๆ ถ้ามีข้อสงสัย หรือมีเรื่องพูดคุยก็จะง่ายกว่าตอนทำงานที่บ้านมาก บรรยากาศการทำงานไม่ได้เกร็งอย่างที่คิด มีเพลงเปิดฟังในออฟฟิศเกือบตลอดเวลา หรือเราจะเสียบหูฟังฟังเพลงที่เราชอบคนเดียวก็ได้ขอแค่เวลาพี่ ๆ เรียกแล้วเราได้ยินก็พอ รวมถึงการแต่งตัวไปทำงานก็สบาย ๆ แบบเสื้อยืด กางเกงยีนส์ก็ใส่ไปได้เลย (เราจึงใส่ไปเกือบทุกวันที่เข้าไปทำงาน แต่ในห้องแอร์เย็นมากจึงต้องพกเสื้อกันหนาวไปด้วย) ถ้าหิวข้าวหรืออยากออกไปยืดเส้นยืดสายก็ได้ทุกเมื่อ บางทีทำงานเพลินไปกินข้าวตอนบ่าย 2 ก็มี เพราะที่บริษัทไม่ได้บังคับว่าต้องเป็นตอนเที่ยงเท่านั้น
แล้ว
วันหนึ่งสถานการณ์การระบาดก็หนักขึ้น เราจึงได้ปรับเปลี่ยนเป็น
ทำงานที่บ้าน 100% ตรงกับช่วงที่เรากำลังทำงานที่ 3 ออกแบบเมนูอยู่นั่นเอง เราได้ส่งข้อความหาพี่ที่ดูแลเยอะมาก ข้อความที่ส่งหาลูกค้าก็เยอะไม่แพ้กัน แต่ก็สนุกและท้าทายไปอีกแบบ
เมื่อทำงานที่บ้านไปสักพักก็เริ่มเข้าประชุม Zoom และวิดีโอคอลกับพี่ ๆ ทุกวันเลย
การเป็นเด็กฝึกงานในช่วงนี้ต้องปรับตัวไปพร้อมกับสถานการณ์อยู่เสมอ แต่ไม่ว่างานจะหนักจะยาก หรือมีสถานการณ์ต่าง ๆ ที่ไม่เป็นใจ มีการเปลี่ยนแปลงและเรื่องที่คาดเดายากขนาดไหน ก็หวังว่าจะผ่านไปได้ในที่สุด
6 นาฬิกา 20 นาที ไม่ว่าจะทำงานที่ไหนก็ทำให้เต็มที่ไปเลย พยายามเข้านะ
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in