ในงานสัปดาห์หนังสือบางปี
บางวัน ผมเดินเบียดเสียดฝูงชนครึ่งค่อนวัน
แต่หยิบหนังสือติดมือมาได้ไม่กี่เล่ม
วันหนึ่ง ในบางปีที่ว่า
พบหนังสือชื่อชวนงง เราไม่ได้อยู่คนเดียวอยู่คนเดียว
หน้าปกหนังสือสะอาดตา จนสะดุดตา
ท่ามกลางห้วงมหาสมุทรแห่งมหกรรมหนังสือ
บางทีอาจเป็นเพราะความเรียบง่ายของมัน
ที่เตะตาได้ในท่ามกลางฝูงหนังสือหลากสีสัน
ซึ่งพยายามเรียงตัวอวดปกสีสวยๆ
อาจเพราะสำนวนอันพอเหมาะพอดี
ผสมกับประเด็นของเรื่องซึ่งหยิบยกมาเขียนช่างง่ายงาม
ละเอียดลออโปร่งเบา และไม่มีอาการอวดโอ่
หนังสือเล่มน้อยนั้น กลายเป็นหนังสือโดนใจแห่งปี
เป็นหนังสือที่โดดเด่น และนับว่าดีที่สุดเท่าที่ได้ซื้อมาวันนั้น
เนื่องจากวันนั้นผมซื้อมาเล่มเดียว
อ่านไม่นานก็จบด้วยความลื่นไหล
พอติดใจในรสชาติ ก็เฝ้ารอ...ผลงานชิ้นต่อๆ ไป
แอบพลิกดูลีลาการเขียนในนิตยสารที่เขาทำคอลัมน์บ้าง
อ่านทวิตเตอร์แก้ขัดไปพลางๆ
ถ้าว่างมาก ก็หัดเขียนเลียนแบบมันเสียเลย
แต่กลัวว่าจะชืดจนเชย
ของแบบนี้ใช่ว่าจะเลียนแบบกันได้ง่ายๆ
เขาส่งเรื่อง ความทรงจำอยู่ที่ไหน ความคิดถึงอยู่ที่นั่น มาให้อ่าน
ผมเบิกบาน และอยากเขียนคำนิยมให้
อยากนิยมให้สมใจกับวิธีการเล่าเรื่องที่โปร่งเบา
ไม่เน้นน้ำหนักมือของเขา
เรื่องราวที่เรียงราย เรียบง่ายราวเป็นเพียงเสียงรำพึงรำพัน
มิได้โวยวายโหวกเหวก
จะว่าเราหลงใหลในความจืดชืดก็กระไร
อุปมาเหมือนตัวอักษรของเขา เป็นเสมือนน้ำมะลิหอมๆ
หรือน้ำใบเตยอวลๆ ไม่หวานเอียน
ไม่อวดฟองฟู่เหมือนน้ำอัดลมซึ่งผู้คนนิยมกัน
ยิ่งไม่ใช่ชาเขียวที่ปรุงแต่งรสผสมคาเฟอีน
ขอเพียงให้ผู้อ่านมีเวลา ทำความเข้าใจกับวิธีการเล่าของเขา
บางครั้งการพูดเบาๆ ก็ทำให้คนสนใจได้ไม่แพ้การตะโกนเสียงดัง
(ไม่เชื่อลองสังเกตสิ หลวงตาคนไหนพูดเบาๆ
บางทีลูกศิษย์ลูกหาก็ล้อมวงฟังอย่างตั้งใจ)
ผมไม่เคยมีอี๊เป็นของตัวเอง
นึกในใจว่า
ถึงเราไม่มี ‘อี๊’ แต่บางที
เราก็ยังมีสิทธิ์ เป็น ‘กู๋’
ขอให้หลานจงเบิกบานกับการเขียน และการขายตัวอักษร
ขอผู้อ่านสดับรับชม อย่างตั้งใจ ไม่ร้อนรน
กู๋ จุ้ย ศุ บุญเลี้ยง
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in