แต่ยิ่งไม่ชอบหน้า ผมยิ่งหนีวรรณไปไม่พ้น
เพราะพอขึ้น ป.2 ผมก็ยังต้องเรียนอยู่ห้องเดียวกับเธอเหมือนเดิม ยิ่งกว่านั้น คุณครูประจำชั้นยังจัดให้เรานั่งคู่กันอีกต่างหาก
แม้จะระหองระแหงกันเมื่อปีที่แล้ว แต่พอถูกจับให้นั่งติดกันตลอดทั้งสองภาคการศึกษา ผมจึงเริ่มสนิทสนมกับวรรณมากขึ้น ขณะเดียวกัน ก็พยายามแข่งขันกับเธอในหลายๆ ด้าน
ด้านการเรียน เทอมแรก ผมสอบได้ที่หนึ่ง แซงเอาชนะวรรณซึ่งได้ที่สองอย่างพลิกความคาดหมายของใครหลายคน ผมรู้สึกสะใจมากที่เด็กเรียนปานกลางเช่นตัวเอง สามารถมีชัยเหนือหัวกะทิลูกครูอย่างเธอได้สำเร็จ
แต่เทอมต่อมา ผมต้องตกไปเป็นที่สอง เพราะวรรณพลิกสถานการณ์กลับมาสอบได้ที่หนึ่งอีกครั้ง
โรงเรียนสมัยประถมฯ ของผม จะมอบทุนการศึกษาให้แก่นักเรียนที่สอบได้ลำดับหนึ่งของระดับชั้น โดยพิจารณาจากคะแนนรวมของทั้งสองเทอม
คุณครูประจำชั้นของผมและวรรณตอน ป.2 จึงพยายามปลุกปั้นและเคี่ยวเข็ญเราสองคนอย่างหนัก เพราะแกหวังจะเห็นนักเรียนในห้องได้เป็นผู้รับทุน
ทว่า แกกลับต้องผิดหวัง เมื่อผมและวรรณ ซึ่งได้คะแนนรวมสองเทอมเท่ากันพอดี ต้องพ่ายแพ้ให้แก่เพื่อนต่างห้อง ที่เป็นผู้ได้รับทุนการศึกษา ไปเพียงแค่หนึ่งคะแนนเท่านั้น
ถือว่าผมกับวรรณ “เจ๊า” และผิดหวังร่วมกันไปในเรื่องการเรียน
อีกสมรภูมิหนึ่ง ซึ่งผมกับวรรณเริ่มขับเคี่ยวกันอย่างดุเดือดเข้มข้น ก็ได้แก่ สนามรบเรื่องความเจริญเติบโต ในฐานะที่เราทั้งคู่เป็นนักเรียนหญิง-ชาย ที่ตัวสูงเบอร์ต้นๆ ของห้อง
ก่อนหน้านั้น ผมไม่เคยนึกเปรียบเทียบเชิงแข่งขันว่าระหว่างตนเองกับวรรณ ใครสูงกว่ากัน? และวรรณก็คงไม่เคยนึกถึงประเด็นดังกล่าวเช่นเดียวกัน เพราะพวกเรายังเด็กเกินไปที่จะมาเอาเป็นเอาตายกับเรื่องราวทำนองนี้
“เดือน” เพื่อนร่วมห้องที่นั่งอยู่ด้านหน้าเรา เล่าย้อนอดีตให้ฟังว่า วรรณเป็นนักเรียนที่ตัวสูงมากๆ สมัยอนุบาล
นี่อาจเป็นอีกหนึ่งเหตุผลที่ทำให้เพื่อนร่วมรุ่นส่วนใหญ่พร้อมใจกันยอมเรียกเธอว่า “พี่วรรณ” นอกจากปัจจัยเรื่องการมีนิสัยเย่อหยิ่ง ถือดี ชอบกดขี่คนอื่นของเธอ ดังที่ผมบอกเล่าไปบ้างแล้ว
และอาจเป็นไปได้ว่าวรรณน่าจะเคยตัวสูงกว่าผมมาก่อน
ผมจำไม่ได้แน่ชัดว่าตอน ป.1 ผมสูงกว่าวรรณหรือวรรณสูงกว่าผม? แต่น่าเชื่อว่ารูปร่างของเราสองคนคงสูสีพอฟัดพอเหวี่ยงกัน มิฉะนั้น ผมคงไม่หาญกล้าไปผลักอกวรรณ เพื่อเป็นการตอบโต้แก้เผ็ดที่เธอมาตบหัวผม
ไม่ว่าเรื่องราวก่อนหน้านั้นจะเป็นอย่างไรก็ตาม จู่ๆ เมื่อเราอายุ 8 ขวบ เรียนชั้น ป.2 ผมกับวรรณก็เริ่มพยายามยืนวัดตัวประกวดประชันกันว่าใครสูงกว่าใคร? โดยให้เดือนเป็นผู้ตัดสิน
ผมไม่แน่ใจว่าอะไรคือปัจจัยกระตุ้นเร้าให้เรามาแข่งขันกันในเรื่องนี้?
อาจเป็นคุณครูที่มักพร่ำสอนให้เด็กๆ ดื่มนมเยอะๆ กินอาหารมีประโยชน์ เข้านอนไวๆ เพื่อจะได้เติบโตกลายเป็นผู้ใหญ่ร่างกายแข็งแรง สูงสง่าเหมือนฝรั่ง
อาจเป็นพ่อแม่ของเรา ที่เริ่มเอาใจใส่กับสุขภาพและขนาดร่างกายของลูกๆ อย่างละเอียดมากขึ้น โดยเฉพาะเมื่อพวกแกได้พบเห็นเพื่อนๆ วัยเดียวกันกับลูกที่โรงเรียน เป็นกรณีเปรียบเทียบ
อาจเป็นเพื่อนๆ ร่วมห้อง ซึ่งพอเห็นว่าผมและวรรณต่างเป็นนักเรียนชาย-หญิงรูปร่างสูงใหญ่ ก็เลยยุยงให้เราประลองกันในเรื่องนี้เสียเลย
หรืออาจเป็นเพราะความทะเยอทะยานส่วนบุคคลของเราสองคนเอง โดยเฉพาะในกรณีของผม ซึ่งปีนั้น มีส่วนสูงเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด (โตขึ้นราว 8 เซนติเมตร ภายในหนึ่งปี)
คลับคล้ายคลับคลาว่าผมและวรรณจะไปยืนตัวตรงชิดติดกัน โดยเอาหลังพิงแนบสนิทกับผนังห้องเรียน อยู่ 2-3 ครั้ง จาก ป.2 เทอมหนึ่ง ถึงเทอมสอง
ก่อนที่กรรมการกลางอย่างเดือนจะลงความเห็นเหมือนเดิมทุกหนว่า เราสองคนตัวเท่ากันเป๊ะอย่างไม่น่าเชื่อ!
ความเห็นของเดือนสอดคล้องกับตัวเลขในสมุดพกที่กรอกโดยครูวิชาพลศึกษา ซึ่งระบุว่า ณ ตอนวัดส่วนสูงครั้งสุดท้ายขณะเรียนชั้น ป.2 ผมกับวรรณสูง 133 ซม. เหมือนกัน
จบ ป.2 ผมและวรรณคือนักเรียนที่ตัวสูงเป็นลำดับ “สองร่วม” ของห้อง 2/1 เป็นรองแค่เพื่อนผู้ชายชื่อ “บิ๊ก” ที่สูงกว่าพวกเราอยู่ประมาณ 2 เซนติเมตร
แม้ศักดิ์ศรีของผมจะแลดูอ่อนด้อยกว่าวรรณอยู่เล็กน้อย เพราะเธอเป็นนักเรียนหญิงที่ตัวสูงที่สุดของห้อง ส่วนผมเป็นเพียงนักเรียนชายที่ตัวสูง “เกือบ” ที่สุดของห้องเท่านั้น
แต่ “สงครามส่วนสูง” ระหว่างเราได้เริ่มต้นขึ้นแล้วอย่างเป็นทางการ
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in