2
สามสี่เดือนถัดมา ผมลืมเรื่องคุณพี่เกาหลีท่านนั้นไปเสียสนิท ก็แหม! คุณพี่เกาหลีไม่ใช่เรน จีวอน หรือดาราเกาหลีหล่อเหลากล้ามบึ้กอะไรนี่ครับ ถ้าจะเหมือนใครสักคน ก็คงเหมือนคนที่แต่งเพลง Gangnam Style มากกว่า (แน่ะ! เลือกปฏิบัติด้วยการจำชื่อเขาไม่ได้อีก...โอ๊ย! ไม่รู้หรือไงว่าเขาชื่อ ไซ หือ!) (เอ่อคนอะไรฟระชื่อไซ) (แน่ะ ยังเถียงอีก!)
อย่างไรก็ตาม คุณพี่ไซของเรา (จริงๆ เขาชื่ออะไรก็ไม่รู้หรอกนะครับ) ยังวิ่งอยู่อย่างนั้น ไม่ว่าผมจะเห็นหรือไม่เห็น สังเกตหรือไม่สังเกต จนกระทั่งจำเนียรกาลผ่านมาสามสี่เดือน แม่ของผมก็ได้เอื้อนเอ่ยวจีกรรมขึ้นมาว่า
“เฮ้ย! ผอมลงจริงๆ ด้วยเว้ย”
ผมเอามือลูบพุงตัวเอง แทบจะลุกไปส่องกระจก แต่ให้บังเอิญว่าตอนลูบพุงนั้น เนื้อย้อยใต้แขนมันย้วยไปกระทบกับสีข้างเสียก่อน เลยรู้สึกตัวว่า แม่ไม่ได้พูดถึงเราแน่ๆ อันตัว ข้าพเจ้านั้นก็ยังอ้วนปี๋เหมือนเดิม จึงเกิดพุทธิปัญญาพวยพุ่งเงยหน้าขึ้นมองแม่ และเห็นแม่มองออกไปนอกหน้าต่าง
ที่นั่น คุณพี่ไซกำลังวิ่งเหย่าๆ ผ่านหน้าบ้านไป แต่คราวนี้ไม่ได้มาในมาดหนุ่มอ้วนอวบวิ่งเหนื่อยหอบเหงื่อเต็มตัวอีกแล้ว เขากลายเป็นหนุ่มที่ดูแข็งแรง พุงยุบ และวิ่งขึ้นเนินไปช้าๆ แบบฉิวๆ ดูไม่ได้เดือดเนื้อร้อนใจอะไรเลยกับทางชันนั่น
โอ้พระเจ้าจอร์จ มันยอดมาก!
นับแต่วันนั้น ผมคอยเฝ้าดูคุณพี่เกาหลีด้วยความพิศวงอัศจรรย์ใจ เห็นคุณพี่ผอมลงพลางแข็งแรงขึ้น
แต่เด็กที่อ้วนจนติดลมบนแล้วอย่างผม มีหรือจะคิดใช้เป็น Lesson Learnt ใดๆ
คาบพละยังน่าเหนื่อยหน่ายเช่นเดิม หาได้มีสำนึกสำเหนียกใดๆ ไม่
นี่คือเรื่องวิ่งแต่ครั้งบรมสมกัปป์ เมื่อเนิ่นนานมาแล้วจนกระทั่งถึงอายุ... เอ่อ... ไม่บอกดีกว่า เอาเป็นว่าเข้าสู่ Coming of Age ครั้งที่สามพันสิบสองก็คงได้—ผมจึงนึกถึงคุณพี่เกาหลีท่านนั้นขึ้นมา
เมื่อผมเริ่มต้นการวิ่งของตัวเองขึ้นมาบ้าง
มันเป็นเรื่องที่ไม่มีใครคาดคิดมาก่อน,
แม้กระทั่งตัวผมเอง!
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in