เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
RUN ME TO THE MOONSALMONBOOKS
คำนำ
  • ตามประสาของพวกไม่นิยมออกกำลังกาย การผละตัวเองจากหน้าจอคอมพิวเตอร์ไปสู่ลู่ ลาน สนาม สระ ไม่ใช่สิ่งที่คล่องใจเรามากนัก

    ก็ช่วงที่ทุกคนเตะฟุตบอล เรานิ่ง ช่วงที่ทุกคนตีแบดฯ เรานิ่ง ช่วงที่ทุกคนขี่จักรยาน เรานิ่ง

    พูดได้ว่า—ช่วงที่ทุกคนออกไปเล่นกีฬา เรานิ่ง

    นิ่งจนแทบจะเป็นนักนิ่งมาราธอน

    การอ้างหน้าที่การงานหรือบอกว่าเล่นกีฬาไม่เก่งอาจฟังไม่ขึ้นเท่าการพูดตรงๆ ว่าขี้เกียจ เพราะกีฬาหลายประเภทไม่ได้จำกัดเวลาในการเล่นและไม่ได้มีเอาไว้ให้คนเก่งมาแข่งขัน หากคิดจะเล่นมัน แค่ให้เหงื่อออกก็น่าจะพอ


    ตามประสาของคนที่นั่งอยู่หน้าคอมพ์แทบทั้งวัน ภาพและเรื่องราวของผู้คนที่ออกกำลังถูกนำมาเสิร์ฟผ่านตาผ่านหูเสมอ

    เราถูกรายล้อมด้วยเรื่องเล่าของเม็ดเหงื่อราวกับว่าข้างกายเป็นลู่ ลาน สนาม สระ

    ในยุคที่ผู้คนถูกหาว่าเป็นทาสเทคโนโลยี มีสิ่งอำนวยชีวิตให้สะดวกมากมาย ทำไมคนเราถึงพร้อมใจกันออกกำลัง คิดถึงวิชาพละกันเหรอ—เราสงสัย

    ตามประสาของคนตามเทรนด์ เราแยกย้ายกันไปทดลองรีดเหงื่อ บ้างก็ลองเป็นนักปั่น บ้างก็ลองเป็นนักตบ บ้างก็ลองเป็นนักกิน (เดี๋ยว!) และบ้างก็ลองเป็นนักวิ่ง

    เท่าที่พูดคุยกันในทีม เราวิ่งด้วยความคิดว่ามันง่าย ไม่ต้องมีอุปกรณ์ใดๆ แค่เสื้อยืด กางเกงขาสั้น รองเท้าผ้าใบก็ออกวิ่งได้

    แต่อะไรที่ว่าง่ายมักไม่เป็นอย่างนั้น

    ในหมู่พวกเรา น้อยคนนักที่ยังวิ่งอยู่ แต่ละคนต่างมีเหตุผลให้ตัวเองนั่งอยู่นิ่งๆ ทั้งไม่มีสถานที่ งานเลิกดึก รองเท้าไม่นุ่ม ไม่มีอุปกรณ์นับกิโลฯ และไม่ได้คิดถึงวิชาพละ

    เราบ่นโอดโอยว่าเหนื่อย แต่ในหัวก็เริ่มเข้าใจว่า ทำไมคนเราถึงชอบออกกำลังกาย



    เรามักชื่นชม โตมร ศุขปรีชา กันอยู่เสมอว่าเขาเป็นสปอร์ตแมนตัวจริง (จริงหรือเปล่าไม่รู้ เราตั้งให้เขาเอง) เพราะแทบทุกสัปดาห์ เราเห็นเขาออกกำลังกายเป็นประจำ กีฬาอื่นอาจเห็นเป็นพักๆ แต่กับการวิ่งเราเห็นอยู่บ่อยๆ

    เราเห็นตั้งแต่เขาเริ่มวิ่งกิโลเมตรแรก จนตอนนี้ ไม่รู้กี่กิโลเมตรแล้ว เขาก็ยังวิ่งอยู่

    เขาวิ่งจนทำให้เราต้องคิดว่า ทำไมไม่ไปวิ่งต่อ และทำไมเขาถึงจริงจังกับการวิ่งขนาดนี้

    ตามประสาของสำนักพิมพ์ เราคงต้องบอกว่านี่ไม่ใช่หนังสือฮาวทูบอกเคล็ดลับให้คุณวิ่งมาราธอนได้ภายในเจ็ดวัน หากแต่มันคือหนังสือที่บันทึกความคิดและสิ่งรายล้อมที่โตมรพบเจอจากการวิ่ง

    จากที่เคยคิดว่าวิ่งเป็นเรื่องง่ายๆ เพียงแค่พลิกหน้าถัดไปคุณก็จะพบมิติใหม่ของมัน


    ตามประสาของคนที่ได้อ่านต้นฉบับแล้ว เราอยากแนะนำ ให้คุณเตรียมรองเท้าผ้าใบไว้ให้พร้อม เพราะเมื่ออ่านจบ คุณอาจลองออกวิ่งดูสักครั้ง

    แรกๆ คุณอาจเหนื่อยและคงอยากเลิก แต่ถ้าลองวิ่งต่อไป

    คุณอาจได้เข้าใกล้ดวงจันทร์

    หรือดาวดวงอื่นๆ ในทุกก้าววิ่งของตัวคุณเอง

  • คำพูดสำคัญของฮารูกิ มูราคามิในหนังสือ What I Talk About When I Talk About Running ที่ผมมักจะนึกถึงบ่อยๆ ก็คือ

    Pain is inevitable, Suffering is optional.

    ผมเห็นด้วยกับเขา, ใช่ครับ—ความเจ็บปวดนั้นหลีกเลี่ยงไม่ได้ ถ้าจะบาดเจ็บหรือแม้กระทั่งปวดร้าว มันก็ต้องเป็นไป เช่นนั้น แต่เรา ‘เลือก’ ได้เสมอ—ว่าเราจะเป็นทุกข์กับสิ่งนั้นหรือไม่

    การค่อยๆ วิ่ง สอนผมแบบเดียวกัน

    จากเคยเป็นเด็กต้วมเตี้ยมเตาะแตะไม่เอาไหนเรื่องการออกกำลังกายในโรงเรียน จนถึงวันนี้ผมกล้าพูดได้ว่าพอจะแข็งแรงขึ้นมาบ้าง และน่าจะแข็งแรงที่สุดเท่าที่เคยเป็นมาในชีวิต

    ทั้งหมดนี้เป็นไปได้ก็เพราะการออกวิ่ง

    ที่ไม่คาดคิดเลยก็คือ—ความแข็งแรงทางกายนำมาซึ่งความแข็งแรงทางใจ อายุที่มากขึ้นทำให้ร่างกายเกิดการเปลี่ยนแปลงหลายอย่าง และหลายอย่างที่ว่านั้น ก็นำมาซึ่งความอ่อนแอภายใน เป็นตัวต่อประกอบร่างที่ทำให้เห็นว่ากายและใจทำงานร่วมกันใกล้ชิดมากเพียงใด

    อยากให้คุณได้อ่านหนังสือเล่มนี้ ไม่ใช่เพราะอยากอวดโอ่ว่าแข็งแรง แต่เพื่อให้เห็นการเรียนรู้ของคนคนหนึ่งในวัยที่แทบเรียกได้ว่าเป็นน้ำเต็มแก้วผู้เริ่มเพิกเฉยต่อการเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ ในชีวิต

    แต่การออกวิ่งสอนว่า—ไม่หรอก, ชีวิตยังมีอะไรอีกมากนักให้เรียนรู้

    ไม่ใช่แค่เรื่องวิ่ง

    แต่ทุกๆ เรื่อง…

Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in